ตอนที่ 107-2 ท่านสามชิงตัดหน้า

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

มเหสีรองเหวยสวมชุดแขนยาวถักทอด้วยดิ้นห้าสี สวมเสื้อคลุมขนมิงค์ติดหมวก ยืนถวายบังคมอยู่ข้างเตียงหรู

 

 

พอเห็นเจี่ยงฮองเฮาดื่มน้ำแกงระงับประสาทแล้ว สีหน้ายังคงซีดเซียวอยู่ ก็พยายามกลั้นหัวเราะที่กำลังจะระเบิดออกอยู่รอมร่อ ก่อนพูดอย่างนอบน้อม

 

 

“บาปกรรมแท้ๆ เสียแรงที่ไทเฮาทรงเอ็นดูคุณหนูอวี้มาตลอด ทรงพูดเสมอว่านางเป็นแบบอย่างที่ดีของกุลสตรีในเมืองหลวง! ตอนนี้ดีไหมเล่า กระทั่งเรื่องฆ่าเอาชีวิตคนยังทำไปได้ แล้วยังกล้าทำให้ฮองเฮาทรงเป็นเช่นนี้อีก! บาปหนาจริงๆ! หม่อมฉันเห็นพระองค์เป็นแบบนี้ ก็ปวดใจยิ่ง ระยะนี้อย่างไรเสีย ก็ต้องพักผ่อนให้มากๆ นะเพคะ ไม่ต้องกังวลพระทัยไป ด้านฝ่าบาท ก็มีนางในคอยติดตามปรนนิบัติตลอดทาง มีหม่อมฉันคอยจัดการ ทรงไม่ต้องห่วงนะเพคะ”

 

 

ประโยคหลังนี่ เป็นจุดประสงค์จริงๆ ที่มเหสีรองเหวยมาสินะ พอเห็นตนไม่สบายหน่อยเดียว ก็รีบแทรกตัวเข้ามา พอเจี่ยงฮองเฮาเห็นนางใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสคล้ายนกยูงก็มิปาน ไหนเลยจะเหมือนมาเยี่ยมไข้ตน จึงยิ้มเย็นชาเงียบๆ ในมุ้ง แล้วว่า

 

 

“ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอก ขอบใจที่มเหสีรองเหวยเป็นห่วง ข้าเป็นฮองเฮา เมื่อตามเสด็จประพาส ก็ต้องจัดการเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเอง ใช่ว่าพอตกใจอะไรนิดหน่อย ก็สามารถมอบหน้าที่ให้ผู้อื่นไปจัดการ”

 

 

มเหสีรองเหวยถ่มน้ำลายในใจ โทรมขนาดนี้แล้วยังกุมอำนาจไว้ไม่ปล่อยอีก ครองตำแหน่งแต่ไม่ทำงาน ชิ แต่กลับทำท่าตกอกตกใจตอบ พลางพูดด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย

 

 

“โหย พูดเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ เรื่องขวัญหนีดีฝ่อแบบนี้ จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ พระวรกายมีค่ายิ่ง รับเรื่องน่ากลัวไม่ได้หรอก ทรงมิใช่สตรีตามชนบทที่ผิวหยาบหนังหนานะเพคะ ใช่ว่าหม่อมฉันสาปแช่ง แต่ฮองเฮาในรัชสมัยก่อนคนหนึ่ง ถูกแมวตัวหนึ่งทำให้ตกใจ พอกลับวังไปก็ตัวร้อน ป่วยจนลุกไม่ขึ้น สุดท้ายก็สิ้นพระชนม์ไป! ทรงประมาทไม่ได้นะเพคะ หม่อมฉันเห็นว่า เรื่องจัดการไม่หมดไม่สิ้นหรอก พระวรกายสำคัญกว่า”

 

 

พอเจี่ยงฮองเฮาเห็นมเหสีรองเหวยนำเรื่องน่าขนลุกและการตายของฮองเฮาในรัชสมัยก่อนมาเปรียบเทียบ ก็เริ่มไม่พอใจ แต่เสียงที่ทรงพลังและมั่นคงของบุรุษที่อยู่นอกม่านกลับดังขึ้นก่อน

 

 

“มเหสีรองพูดไม่ผิด หมู่นี้ฮองเฮาพักรักษาตัวให้ดี ไม่ต้องกังวลใจไป เรื่องกำกับดูแลนางในผู้ติดตามก็มอบให้มเหสีรองจัดการก็แล้วกัน”

 

 

ฝีเท้าบุรุษดุจสายลม แต่งกายในชุดลำลองสีทอง ซึ่งก็คือหนิงซีฮ่องเต้ หลังจากจัดการเรื่องวุ่นวายของลูกสาวอวี้เหวินผิงเสร็จ ก็เข้ามาเยี่ยมฮองเฮา

 

 

พอเจี่ยงฮองเฮาได้ยิน ก็ราวกับมีของแข็งติดอยู่ในลำคอ แต่ในเมื่อฮ่องเต้พูดเช่นนี้ นางก็จนปัญญา จึงได้แต่ตอบรับเรียบๆ “รับทราบเพคะ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะลงจากเตียง ถวายบังคมพร้อมมเหสีรอง

 

 

แต่หนิงซีฮ่องเต้รีบยกมือปราม “ฮองเฮาไม่สบาย ไม่ต้องลงมาหรอก ไม่ต้องพิธีรีตอง เดี๋ยวก็จะขึ้นรถแล้ว พักผ่อนก่อนเถิด”

 

 

ร่างที่กำลังลุกขึ้นของเจี่ยงฮองเฮาชะงักค้าง ก่อนหดตัวกลับ แล้วรับคำ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

 

 

พอมเหสีรองเหวยเห็นฝ่าบาทโน้มเอียงมาทางตน ก็ยิ้มพลางโน้มตัวถอนสายบัว

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เชื่อใจ หม่อมฉันขอทำหน้าที่แทนฮองเฮา และจะไม่ทำให้ฮองเฮากับฝ่าบาทผิดหวังเพคะ” จากนั้นก็ทำเป็นไม่ได้ตั้งใจชำเลืองมองเจี่ยงฮองเฮาที่อยู่ในมุ้ง ก่อนว่า

 

 

“อีกทั้งจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นในวันนี้อีกเป็นอันขาด”

 

 

ชัดเจน กำลังบอกว่าฮองเฮาจัดการเรื่องภายในขบวนเสด็จได้อย่างหละหลวม ละเลย หาไม่แล้วคงไม่เกิดเรื่องลูกสาวขุนนางฆ่าคนตายระหว่างทางเช่นนี้หรอก ไป๋ซิ่วฮุ่ยเหลือบมองเจี่ยงฮองเฮาเงียบๆ และเห็นว่าทรงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังคงไม่ส่งเสียงใดๆ

 

 

พอหนิงซีฮ่องเต้สบายใจขึ้น ก็ยกมือลูบแก้มมเหสีรองเหวยด้วยความรักใคร่ตามธรรมชาติ “เจ้าน่ะ เก่งนัก เรื่องที่ทำให้ข้าถูกใจเนี่ย”

 

 

มเหสีรองเหวยช่างกล้า นางบิดเอว แล้วแอบยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อหลวมๆ ของชุดมังกร ลูบไล้แขนฝ่าบาทเบาๆ พลางทำเสียงต่ำในลำคอ

 

 

เจี่ยงไทเฮาเห็นทั้งสองแอบกระหนุงกระหนิงกันนอกมุ้ง ซึ่งมเหสีรองเหวยได้หว่านเสน่ห์ ยั่วยวนฝ่าบาทต่อหน้าต่อตา ตนจึงหน้าตึง คล้ายตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง ไหนเลยจะอยากมองดูอีก จึงแสร้งทำเป็นปวดศีรษะ แล้วหันหลังให้

 

 

เมื่อเห็นว่าฮองเฮาไม่เป็นอะไรแล้ว หนิงซีฮ่องเต้ก็เสร็จสิ้นภารกิจ จึงไม่คิดอยู่ต่อ พูดอีกไม่กี่คำก็ขอตัวกลับ ส่วนมเหสีรองเหวยตามไปทีหลัง โดยกลับเข้าห้องตน รอเวลารถม้าออก

 

 

เหยาฝูโซ่วเดินตามหนิงซีฮ่องเต้ออกจากที่พักฮองเฮา เพิ่งเดินลงระเบียงมา ก็เห็นฝ่าบาทหยุดยืน จึงรีบเข้าไปถามอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาททรงมีอะไรอีกใช่หรือไม่”

 

 

“ส่งลูกสาวอวี้เหวินผิงขึ้นรถม้าหรือยัง” น้ำเสียงสบายๆ ฟังดูเหมือนถามไปเช่นนั้นเอง

 

 

“เรียนฝ่าบาท ขึ้นรถม้าเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ตอนนี้น่าจะใกล้ออกจากเมืองยงโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหยาฝูโซ่วตอบ

 

 

“อวี้เหวินผิงนี่ ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ไม่เพียงสอนหลานให้เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ยังเลี้ยงลูกสาวได้เช่นนี้อีก โชคดีที่เหยากวงเหย้าชันสูตรศพใหม่อีกครั้ง จึงมิได้อยุติธรรมกับผู้คน”

 

 

ขณะเหยาฝูโซ่วจะขานรับ หัวสมองพลันเกิดแสงวาบ ตอนนี้ฝ่าบาทไฉนกำลังด่าว่าคนสกุลอวี้ ยิ่งมิได้ชมเชยเหยากวงเหย้า…ฝ่าบาทเพิ่งฟังคนของกองกิจการภายในอธิบายรายละเอียด ถึงได้รู้ว่าผู้ที่ชันสูตรศพคือ เหยากวงเหย้ากับคุณหนูอวิ๋น และผู้ที่พูดขึ้นก่อนว่าศพถูกพิษ ให้ชันสูตรอีกครั้ง และสันนิษฐานว่าศพถูกงูพิษกัด ก็คือคุณหนูอวิ๋น จึงเอะใจขึ้น

 

 

ฝ่าบาท…ความจริงแล้ว แฝงความนัยถึงคุณหนูอวิ๋น แต่ยังคำนึงถึงศักดิ์ศรี จึงมิได้พูดออกมาตรงๆ!

 

 

เฮ้อ! สมควรตาย ทำไมเกือบลืมไปได้! เหยาฝูโซ่วเขกศีรษะตัวเอง ครั้งนี้ ผู้ที่เขียนชื่อพี่น้องสกุลอวิ๋นลงไปในใบรายชื่อผู้ตามเสด็จออกล่าสัตว์ มิใช่ฝ่าบาทหรอกหรือ! ถ้ามิใช่อยากพบคุณหนูอวิ๋น จะให้นางตามเสด็จมาทำไม

 

 

เหยาฝูโซ่วจึงหยั่งเชิง “คุณหนูอวิ๋นมีความรู้รอบตัวจริงๆ เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนคนหนึ่ง เห็นศพแล้ว กลับไม่มีความกลัวแต่อย่างใด ซ้ำยังรู้วิธีทดสอบอีก บ่าวเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางมีความสามารถเช่นนี้”

 

 

และแล้ว สายตาของหนิงซีฮ่องเต้ก็ขยับเล็กน้อย

 

 

เหยาฝูโซ่วจึงก้าวเข้าไปใกล้อีกสองก้าว ก่อนพูดเสียงเบา “ฝ่าบาท ครั้งก่อนที่ตำหนักฉือหนิง ฝ่าบาทไปยลโฉมคุณหนูอวิ๋นไม่ทัน วันนี้หรือจะไป…”

 

 

ตรงใจหนิงซีฮ่องเต้ยิ่ง

 

 

ไม่รู้ทำไม พอรู้ว่ากำลังจะได้เจอบุตรีคนโตของอวิ๋นเสวียนฉั่ง จิตใจของเขาก็เหมือนถูกคนมาโยนก้อนหินลงในทะเลสาบ เกิดระลอกคลื่นเป็นวงๆ จิตใจเช่นนี้ ไม่เหมาะกับอายุในตอนนี้ของเขาเลย คล้ายไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มานานแล้ว

 

 

ขันทีชราผู้นี้ ดุจหนอนในท้องของตนจริงๆ หนิงซีฮ่องเต้มองเหยาฝูโซ่วอย่างชื่นชม แล้วบอกให้เขานำทาง

 

 

เหยาฝูโซ่วผู้รู้ใจจึงเดินนำฝ่าบาทไปยังห้องพักคุณหนูอวิ๋น