เหลิ่งรั่วปิงจับมือของหนานกงเยี่ยมาวางไว้เหนือหน้าอกพร้อมกับพูดปลอบโยน “ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกค่ะ” ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กน้อย พูดเสียงใส “คุณหนานกงเยี่ย คุณรักฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ ไม่รังเกียจที่ฉันมีตำหนิ?”
“ครับ” หนานกงเยี่ยพยักหน้าเล็กน้อย
“ต่อให้ฉันจะกลับมามองเห็นไม่ได้อีก หรืออาจจะกลายเป็นคนเอาแต่ใจ ไม่มีเหตุผล คุณก็ยังจะรัก?”
“ครับ” หนานกงเยี่ยพยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“คุณจะรักฉันอีกนานแค่ไหนคะ”
หนานกงเยี่ยใช้มือใหญ่อบอุ่นของเขาจับมือเรียวยาวของเหลิ่งรั่วปิง “คืนวันปีใหม่แรกที่เราฉลองด้วยกัน คุณถามผมว่าผมจะรักคุณแบบนี้อีกนานแค่ไหน ตอนนั้นผมไม่ได้ตอบคุณ เพราะตัวผมในตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนมาก่อน และไม่รู้ว่าความรักคืออะไร สำหรับผมแล้ว การแต่งงานคือเรื่องเพ้อฝันราวกับปุยเมฆบนท้องฟ้า”
“ตอนที่คุณไปจากเมืองหลง ตัดสินใจทิ้งผมไป ผมมองดูรถของคุณขับลงทะเล วินาทีนั้นผมเข้าใจทันที คุณไม่ได้อยู่ในใจของผม แต่ฝังรากลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของผมแล้ว ถ้าไม่มีคุณ ผมอยู่หรือตายล้วนไม่มีอะไรแตกต่าง”
หวนนึกถึงวินาทีเสี่ยงเป็นสี่ยงตาย ริมฝีปากบางของหนานกงเยี่ยยกยิ้ม ดวงตาของเขามีน้ำใสรื้นขึ้นมา ภายในใจรู้สึกปวดร้าว “ตอนนี้ผมจะตอบคำถามคุณเองครับ ผมรักคุณ รักตลอดไป ขอเพียงแค่วิญญาณของผมไม่แตกสลาย ผมจะรักคุณตลอดไป อย่าว่าแต่คุณสูญเสียการมองเห็น ต่อให้คุณเสียโฉม ไม่เหลือความสวยงาม หรือแขนขาขาดไปจนหมด ผมก็จะรักคุณ คุณเคยบอก คุณไม่ให้หัวใจใครง่ายๆ ถ้าให้ไปแล้วชีวิตนี้ไม่มีวันเอากลับมา ผมอยากจะบอกกับคุณ หัวใจของผมก็เหมือนกัน”
เหลิ่งรั่วปิงเงียบไปหลายวินาที แววตาคู่สวยน้ำตาคลอเบ้า ทว่าภายในใจกับเปี่ยมไปด้วยความสุข หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเธอยิ้มบางๆ พร้อมกับหันหน้ากลับไป “คุณหนานกงเยี่ย ฉันจะกลับไปอยู่ที่คฤหาสน์ค่ะ” เธอจะไปเผชิญหน้ากับอวี้หลานซี
วินาทีที่อวี้หลานซีบอกว่าจะฆ่าเธอ เหลิ่งรั่วปิงตัดสินใจกลับไปอยู่ที่คฤหาสน์ เธอเกลียดผู้หญิงที่ทะเลาะตบตีกันแย่งชิงผู้ชาย แต่อวี้หลานซีได้คืบเอาศอกแบบนี้ หากเธอยังคงนิ่งเฉย ก็คงละอายต่อเหลิ่งรั่วปิงแล้ว อีกทั้ง ตอนนี้เธอเกลียดอวี้หลานซีที่เอาแต่จ้องจะจับผู้ชายของตน
แม้หนานกงเยี่ยจะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เหลิ่งรั่วปิงถึงจะกลับคฤหาสน์กะทันหัน แต่เขาให้เกียรติทุกการตัดสินของเธอ “ครับ”
เขาไมได้โกหก และไม่ได้ตั้งใจพูดเพื่อเอาใจเหลิ่งรั่วปิง คนเราถ้ารักใครหมดทั้งหัวใจ รูปร่างหน้าตาไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกอีกต่อไป ทว่าเป็นการที่อยู่เคียงข้างกันและรักกันต่างหาก เขารักเหลิ่งรั่วปิง ไม่รังเกียจข้อเสียใดๆ ของเธอ ในทางตรงกันข้ามเขายินดีที่จะยอมประนีประนอมต่อความเอาแต่ใจของเธอ แม้เธอจะเอาแต่ใจแค่ไหน เขาก็ยินดีที่จะยอมรับมัน เขาเคยบอกว่าจะตามใจเธอทุกอย่าง เช่นนั้นก็จะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อทำให้มันเป็นจริง
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มพร้อมกับซบอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเยี่ย เสียงของเธอหวานและอ่อนโยน “คุณหนานกงคะ คุณต้องคิดให้ดีนะคะ ฉันกลับไปที่คฤหาสน์ เท่ากับเป็นคุณผู้หญิงหนานกงอย่างเป็นทางการ ถ้าฉันทำให้ตระกูลหนานกงปั่นป่วน คุณอย่าเสียใจทีหลังนะคะ”
“ฮ่าๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะด้วยความรักใคร่ “อย่าว่าแต่ตระกูลหนานกง แม้คุณจะทำให้ทั้งเมืองหลงปั่นป่วน ก็ไม่มีใครกล้าพูดคำว่าไม่”
วันที่สองเป็นวันอาทิตย์ หนานกงเยี่ยพาเหลิ่งรั่วปิงกับไปยังคฤหาสน์หนานกง พ่อบ้านและสาวใช้ได้รับคำสั่งตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว พวกเขาทุกคนรวมตัวกันในห้องโถงเพื่อรอฟังคำสั่ง ต้อนรับคุณผู้หญิงหนานกง
ตระกูลหนานกงยิ่งใหญ่ธุรกิจหนานกงมโหฬาร สาวใช้และคนงานในคฤหาสน์หนานกงมีร่วมร้อยคน พวกเขายืนเข้าแถวในห้องโถง ทุกคนก้มหน้าลง ยืนด้วยความสงบเสงี่ยมกลั้นหายใจเอาไว้
ก่วนอวี้เปิดประตูรถให้หนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงด้วยตนเอง พาทั้งสองเข้าไปในห้องโถง ความรู้สึกของเขาในตอนนี้สับสนไปหมด ถึงแม้อวี้หลานซีจะเหยียบย่ำหัวใจของเขา ทำให้เขาปวดใจ แต่เขายังคงเป็นห่วงเธอ ก่วนอวี้รู้ดี เหลิ่งรั่วปิงกลับมาอยู่ในคฤหาสน์ ด้วยสภาพจิตใจบิดเบี้ยวของอวี้หลานซีในตอนนี้ ต้องเกิดเรื่องบาดหมางขึ้นระหว่างทั้งสองคนอย่างแน่นอน ถึงขั้นที่ว่าเกิดความรุนแรงขึ้น ไม่รู้จะเผชิญหน้ากับเรื่องที่จะเกิดขึ้นอย่างไรจริงๆ
ใบหน้าของเหลิ่งรั่วปิงนิ่งเฉย ถึงแม้จะไม่ได้ดูเคร่งขรึม ทว่าก็ไม่อารมณ์ดีแม้แต่น้อย เธอสง่างาม เป็นธรรมชาติ ใจกว้างราวกับราชินี เธอเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างธรรมชาติ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะก้มลงกราบแทบเท้าของเธอ
พ่อบ้านรีบเดินเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม พร้อบกับโน้มตัวลง “ยินดีต้อนรับคุณชายเยี่ย คุณผู้หญิง”
“อืม” หนานกงเยี่ยพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “วันนี้ฉันพาคุณผู้หญิงเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์อย่างเป็นทางการ ให้ทุกคนได้คุ้นหน้าคุ้นตา หลังจากวันนี้เธอคือคุณผู้หญิงของตระกูลหนานกง พ่อบ้าน พ่อบ้านทำงานรับใช้ตระกูลหนานกงมานานหลายสิบปี ควรจะรู้ดีว่าคุณผู้หญิงมีอำนาจอะไรบ้าง พ่อบ้านทำตามคำสั่งของเธอทุกอย่างก็พอ ไม่จำเป็นต้องมาถามผม”
“ครับ” พ่อบ้านไม่กล้าชักช้า รีบโน้มตัวลงรับคำสั่ง คนทั้งเมืองหลงรู้ดีว่าหนานกงเยี่ยให้ความสำคัญกับคุณผู้หญิงคนนี้มากแค่ไหน ล้วนรู้ดีว่าเขาเคยตามล่าจับตัวเธออย่างบ้าคลั่ง เขาในฐานะพ่อบ้านของตระกูลหนานกงเป็นธรรมดาที่ต้องรู้เรื่องนี้ คุณผู้หญิงตรงหน้าต้องให้การรับใช้อย่างดี”
ดังนั้น เขาจึงเชิญเหลิ่งรั่วปิงไปนั่งด้วยความเคารพ พร้อมทั้งบอกสาวใช้ทุกคนในตระกูลหนานกง ให้เคารพคุณผู้หญิง
พ่อบ้านตระกูลหนานกง ชื่อว่าอวี๋จง อายุใกล้จะหกสิบแล้ว เขาทำงานรับใช้ตระกูลหนานกงมานานกว่าห้าสิบปี เขาติดตามรับใช้หนานกงจวิ้นตั้งแต่เล็ก กล่าวได้ว่าเห็นหนานกงเยี่ยตั้งแต่เด็ก มีตำแหน่งสำคัญในตระกูลหนานกง
หากเปรียบตระกูลหนานกงคือวังหลวง เช่นนั้นพ่อบ้านอวี๋จงก็คือขันทีหลวง
เหลิ่งรั่วปิงมองไม่เห็น แต่ผ่านความรู้สึกที่ได้รับ และวิเคราะห์ผ่านคำพูด เธอพอเดาได้ว่า อวี๋จงคนนี้เป็นคนฉลาด ทำงานรอบคอบ คำเช่นนี้ ต้องระมัดระวัง
หลังจากสาวใช้ทั้งหมดโน้มตัวลงทำความเคารพ พ่อบ้านพูดกับเหลิ่งรั่วปิงด้วยอย่างเคารพ “คุณผู้หญิงครับ คุณผู้หญิงมีอะไรให้รับใช้ไหมครับ หากไม่มีอะไรให้รับใช้ผมจะสั่งให้พวกสาวใช้แยกย้ายกันไปทำงาน”
“อืม” เหลิ่งรั่วปิงพูดสั้นๆ เพียงคำเดียว ไม่ได้พูดอะไรมากมาย เธอยังคงพูดน้อยเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน เธอรู้ดี เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ทั้งยังมีพ่อบ้านที่ฉลาดลุ่มลึก การพูดน้อยจึงจะทำให้คนคาดเดาไม่ถูก
เหตุที่เหลิ่งรั่วปิงระมัดระวังเป็นพิเศษ เป็นเพราะเธอรู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คุณผู้หญิงที่หนานกงจวิ้นให้การยอมรับ หากเธออยู่ในคฤหาสน์ ชีวิตของเธอต่อจากนี้คงไม่สงบสุข ดังนั้นการระมัดระวังตัวจึงจะดีที่สุด
หลังจากสาวใช้แยกย้ายกันไป หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย “พ่อบ้าน หลานซีล่ะ ทำไมถึงไม่ออกมาต้อนรับคุณผู้หญิง”
พ่อบ้านลังเลเล็กน้อย โค้งตัวลงตอบ “วันนี้คุณอวี้ไม่ค่อยสบายครับ เธอนอนพักอยู่ในห้อง”
สำหรับพ่อบ้านอวี้จง อวี้หลานซีเป็นเด็กที่เขาเห็นมาตั้งแต่เล็ก อีกทั้งยังเป็นคุณผู้หญิงตระกูลหนานกงที่นายท่านหนานกงจวิ้นเลือกเอาไว้ อวี้จงจึงเข้าข้างอวี้หลานซี สำหรับเหลิ่งรั่วปิงเขามีอคติไม่มากก็น้อย เพียงแต่หนานกงเยี่ยรักภรรยายิ่งกว่าชีวิต อวี้จงจึงไม่กล้าแสดงท่าทีรังเกียจออกมา
หนานกงเยี่ยหัวเราะในลำคอ “หึ ไม่สบายหนักแค่ไหนกัน ไม่รู้จักกฎระเบียบของตระกูลหรือไง” เขารู้ดีว่าอวี้หลานซีไม่ชอบเหลิ่งรั่วปิง วันนี้เหลิ่งรั่วปิงตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ ทั้งยังมองไม่เห็น เขาจึงอยากสร้างอำนาจให้กับเธอ เพื่อป้องกันไม่ให้เธอดูรังแก
ก่วนอวี้ยืนอยู่ด้านข้าง นิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใด เขาเข้าใจเจตนาของหนานกงเยี่ยเป็นอย่างดี
พ่อบ้านเข้าใจเป็นธรรมดา โน้มตัวลงเล็กน้อย “เดี๋ยวผมไปตามคุณหนูอวี้ให้ครับ”
“อืม” หนานกงเยี่ยพยักหน้าด้วยความเย็นยะเยือก
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง อวี้หลานซีเดินลงมาจากชั้นบน แววตาของเธอหลบซ่อนไม่กล้าสู้หน้า ร่างกายของเธอสั่นเทาเล็กน้อย เธอคิดไม่ถึงว่าเมื่อวานเหลิ่งรั่วปิงจะรอดจากปืนของตนได้ ดูท่าเหลิ่งรั่วปิงคงยังไม่ได้บอกหนานกงเยี่ย จึงทำให้อวี้หลานซียิ่งรู้สึกกลัว เหลิ่งรั่วปิงไม่ฟ้องหนานกงเยี่ย ทั้งยังย้ายมาอยู่ในคฤหาสน์แบบนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเธอมาเพื่อแก้แค้น
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของอวี้หลานซี เหลิ่งรั่วปิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่มีสีหน้าอะไรมากมาย เธอไม่มีวันปล่อยให้อวี้หลานซีมีความสุข เธอไม่เคยปล่อยให้คนที่คิดอยากจะเอาชีวิตเธอมีความสุขมาก่อน
หนานกงเยี่ยปรายตามองอวี้หลานซี พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกไร้ซึ่งความอบอุ่น “หลานซี ผมจำได้ว่าวันนั้นเคยบอกคุณไปแล้ว รั่วปิงคือคุณผู้หญิงของตระกูลหนานกง คุณน่าจะรู้ว่าควรให้ความเคารพยังไง”
ความหมายของหนานกงเยี่ย อวี้หลานซีเข้าใจ เขาต้องการให้เธอเคารพเหลิ่งรั่วปิง แต่เธอจะทำแบบนั้นได้อย่างไร เธออยู่ในตระกูลหนานกงถึงแม้จะเป็นแค่ลูกเลี้ยง แต่ได้รับการปรนนิบัติราวกับเป็นคุณหนูของบ้านมานานกว่ายี่สิบปี พูดได้ว่าตอนที่หนานกงเยี่ยไม่อยู่ เธอคือเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ ทุกคนล้วนให้ความเคารพเธอ ตอนนี้จะให้เธอก้มหัวให้เหลิ่งรั่วปิง เป็นไปได้อย่างไร
“เยี่ย...” อวี้หลานซีมองหนานกงเยี่ยด้วยแววตาอ้อนวอน เธอพยายามทำตัวให้น่าสงสารที่สุด เพื่อร้องเรียกความรู้สึกในอดีตของหนานกงเยี่ยกลับมา
ทว่าหนานกงเยี่ยกลับนิ่งเฉย เขายังคงเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง “ทำไม คุณลืมกฎระเบียบของตระกูลหนานกงไปแล้วหรือไง หรือว่า ไม่อยากทำตามกฎระเบียบของตระกูล ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณไม่มีความจำเป็นที่จะเป็นคนของตระกูลหนานกงอีก ผมป่าวประกาศหาคู่ให้คุณได้ทันที เพื่อเลือกสามีดีๆ ให้กับคุณ”
เขาจะให้เธอแต่งงานกับคนอื่นทันที? ไม่!
อวี้หลานซีกระวนกระวาย “ไม่ เยี่ย คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ!”
แววตาเย็นยะเยือกของหนานกงเยี่ยชำเลืองมองอวี้หลานซี ทำให้เธอสั่นเทา “ในเมื่อยังอยากเป็นคนของตระกูลหนานกง ก็ต้องทำตามกฎระเบียบของตระกูล”
อวี้หลานซีเม้มกัดริมฝีปากล่าง หลังจากดื้อดึงครู่หนึ่ง สุดท้ายเธอจึงหันไปมองเหลิ่งรั่วปิงอย่างยอมรับในโชคชะตา “คุณผู้หญิง”
เอ่ยพูดสามพยางค์นี้ออกมา น้ำตารินไหล อวี้หลานซีทำในสิ่งที่ชีวิตนี้เธอไม่อยากทำที่สุด เมื่อก่อนเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่า วันหนึ่งเธอต้องก้มหัวให้กับผู้หญิงของหนานกงเยี่ย เพราะเมื่อก่อนเขาดีกับเธอที่สุด ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนอยู่ในสายตาของหนานกงเยี่ย
น้ำตาหยดนี้ ราวกับหมึกหยดลงในชามน้ำใส ความเศร้าที่ไร้เสียงแผ่ซ่านอย่างรวดเร็ว
หนานกงเยี่ยหลบตาลงด้วยความเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์ นับตั้งแต่วินาทีที่เธอพูดทำร้ายจิตใจเหลิ่งรั่วปิง ความรู้สึกดีๆ ที่เขามีต่อเธอก็ปลิวหายไปตามแรงลมแล้ว สิ่งที่ทำให้เผชิญหน้ากับเธอในตอนนี้ มีเพียงหน้าที่ที่อยู่บนบ่า
น้ำตาของอวี้หลานซีทำให้หนานกงเยี่ยหวั่นไหวไม่ได้อีกแล้ว ทว่ากลับอยู่ในใจส่วนลึกของก่วนอวี้ น้ำตาของเธอราวกับสายฝน ที่ทำให้ดอกไม้แห่งความเจ็บปวดผลิบานในใจก่วนอวี้ ถูกต้อง ความรักทำให้คนดื้อดึง ทั้งที่เธอทิ้งเขา ทำร้ายเขา แต่เขากลับตัดใจจากเธอไม่ได้
ก่วนอวี้ยืนอยู่ด้านหลังหนานกงเยี่ย กำหมัดแน่นเหลิ่งรั่วปิงยิ้มบางๆ ราวกับสายลม “คุณอวี้ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ วันข้างหน้าเราต้องอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน พวกเราต้องพูดคุยทำความเข้าใจกันให้ดีค่ะ!”
คำพูดของเหลิ่งรั่วปิงที่คนอื่นได้ฟัง เป็นเพียงคำพูดเกรงใจเท่านั้น แต่สำหรับอวี้หลานซีเธอเข้าใจเป็นอย่างดี เหลิ่งรั่วปิงไม่มีวันปล่อยให้เธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ทว่าอวี้หลานซีไม่กลัว เพราะเธอมีคนให้พึ่งพิง หนานกงจวิ้นหัวหน้าตระกูลหนานกงคือคนที่เธอพึ่งพิงได้มากที่สุด ถึงแม้เธอจะเกลียดเหลิ่งรั่วปิง แต่ไม่มีความกล้ามากพอที่จะฆ่าเธอ เหตุที่เมื่อวานเธอกล้าไปฆ่าเหลิ่งรั่วปิงด้วยตนเอง เป็นเพราะหนานกงจวิ้นอนุญาตให้เธอได้ทำเรื่องเลวร้ายนี้โดยไม่ถือว่าเป็นความผิด เขาสนับสนุนเธอในการฆ่าเหลิ่งรั่วปิง
ดังนั้น หลังจากวันนี้หากเหลิ่งรั่วปิงมาหาเรื่องเธอ ต่อให้เธอฆ่าเหลิ่งรั่วปิงทิ้งก็ไม่เป็นไร เมื่อวานฆ่าไม่สำเร็จ เป็นเพราะมีแม่น้ำสายนั้น ตอนนี้เหลิ่งรั่วปิงสูญเสียการมองเห็นแล้ว เธอไม่มีวันโชคดีไปได้ตลอดหรอก
“คุณอวี้ ตอนนี้ฉันกับเยี่ยเป็นสามีภรรยากันแล้ว ฉันกลับมาคฤหาสน์เพื่อดูแลงานทุกอย่างของที่นี่ ฉันควรจะอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ คุณย้ายไปอยู่ในสวนมรกตเถอะค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบมาก ทว่าคำพูดของเธอกลับคมกริบมีน้ำหนัก ไม่มีการร้องขอแม้แต่น้อย มีเพียงคำสั่งเท่านั้น
คฤหาสน์หนานกงมีบ้านอยู่ทั้งหมดหกหลัง ทุกหลังมีสวนเป็นของตนเอง บ้านหลังหลักตั้งอยู่ตรงกลางคฤหาสน์ ส่วนบ้านอีกห้าหลังตั้งอยู่ด้านซ้ายสองด้านขวาสองและด้านหลังอีกหนึ่ง บ้านหลังหลักแสดงถึงตำแหน่งหัวหน้าตระกูล สวนมรกตคือสวนที่อยู่ด้านหลังสุดของคฤหาสน์ เหลิ่งรั่วปิงให้อวี้หลานซีย้ายไปอยู่ในสวนมรกต เจตนาของเธอชัดเจนมาก นับตั้งแต่วันนี้ ตำแหน่งของอวี้หลานซีอยู่อันดับท้ายสุด
อวี้หลานซีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ มองเหลิ่งรั่วปิงอย่างไม่เชื่อสายตา เธอพักอยู่ในบ้านหลังหลักมานานกว่ายี่สิบปี ทุกคนล้วนให้ความเคารพนับถือ วันนี้กลับถูกย้ายไปอยู่ที่สวนมรกต เธอรับไม่ได้ที่ชีวิตจะต้องตกต่ำแบบนี้ ในใจของเธอ เธอยังคงเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจสูงสุดในตระกูลหนานกง
เหลิ่งรั่วปิงมองไม่เห็น แต่เธอรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของอวี้หลานซี สีหน้าของเหลิ่งรั่วปิงยังคงนิ่งเฉยราวกับน้ำในบ่อบาดาล “พ่อบ้านคะ รบกวนพ่อบ้านให้คนไปช่วยคุณอวี้เก็บข้าวของหน่อยนะคะ”
ถึงแม้พ่อบ้านจะไม่อยากทำ แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง โน้มตัวทำความเคารพ “ครับ”
“ไม่ ฉันไม่ย้ายไปที่สวนมรกตเด็ดขาด!” อารมณ์ของอวี้หลานซีเกรี้ยวกราดมาก หันไปมองหนานกงเยี่ย “เยี่ย คุณจะปล่อยให้เธอรังแกฉันแบบนี้เหรอคะ”
ใบหน้าของหนานกงเยี่ยไร้ซึ่งอารมณ์ เขาไม่เงยแม้แต่หนังตาขึ้น “ผมเคยพูดแล้ว รั่วปิงคือคุณผู้หญิงของตระกูลหนานกง เรื่องทุกอย่างในบ้านเป็นสิทธิ์ขาดของเหลิ่งรั่วปิง ผมจะไม่เข้าไปยุ่ง”
อวี้หลานซีพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ หันไปมองเหลิ่งรั่วปิงด้วยความเกลียดแค้น “เหลิ่งรั่วปิง ฉันยังเป็นคุณหนูของตระกูลหนานกง คุณมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้กับฉัน”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มอ่อน “คุณหนูของตระกูลหนานกงต้องปฏิบัติตามกฎระเบียงของตระกูลหนานกง คุณตระหนักรู้ว่าตนเองเป็นใคร สิ่งที่ไม่ควรเพ้อฝันก็อย่าได้เพ้อฝัน แต่จากที่ฉันดูคุณอวี้ไม่น่าทำได้นะคะ ฉันเองก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ทนเห็นผู้หญิงคนอื่นมาพร่ำเพ้อถึงสามีตัวเองไม่ได้ แน่นอนว่าต้องย้ายคุณไปยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น ที่ฉันไม่ไล่คุณออกจากคฤหาสน์ถือว่าให้เกียรติคุณมากแล้ว”
“เหลิ่งรั่วปิง…” อวี้หลานซีกัดฟันแน่นอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เหลิ่งรั่วปิงยิ้มพร้อมกับพูดขัดขึ้นมา “คุณอวี้คะ ฉันขอเตือนคุณเอาไว้ก่อน ชื่อของฉันไม่ใช่สิ่งที่คุณเรียกได้ คุณเรียกฉันว่าคุณผู้หญิงเถอะค่ะ”
“เธอ!” ความเกลียดชังภายในแววตาอวี้หลานซีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เธอจะพุ่งตัวไปบีบคอเหลิ่งรั่วปิง
ก่วนอวี้ทนมองไม่ได้อีกต่อไป เดินไปคว้าข้อมืออวี้หลานซีเอาไว้ “เลิกบ้าได้แล้ว ผมช่วยคุณเก็บของเอง” ขณะที่พูด ก่วนอวี้ลากตัวอวี้หลานซีขึ้นไปชั้นบน
เมื่อไปถึงห้องนอนบนชั้นสอง อวี้หลานซีสะบัดมือก่วนอวี้อย่างแรง เธอโมโหจนดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ “นายจะยุ่งเรื่องของฉันอีกทำไม นายพูดเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าเป็นไปได้ขอให้ตัวเองไม่เคยรักฉันมาก่อน นายยืนมองฉันทำตัวโง่ๆ ต่อไปเถอะ!”
ก่วนอวี้ถอนหายใจ “หลานซี ผมอยู่ตรงนี้ ครั้งหนึ่งทุกคนเคยทะนุถนอมคุณอย่างดี คุณชายเยี่ยดูแลคุณเป็นพิเศษ ที่ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ ล้วนเป็นเพราะคุณทำตัวคุณเอง!”
ไม่รอให้อวี้หลานซีโต้เถียง ก่วนอวี้พูดต่อ “จากที่ผมรู้จักคุณเหลิ่งรั่วปิง เธอไม่ชอบการชิงดีชิงเด่นแย่งผู้ชายแบบนี้ที่สุด วันนี้จู่ๆ เธอมาเปิดศึกกับคุณ ต้องเป็นเพราะคุณทำให้เธอเหลือทน หลานซี ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้คุณทำความผิดอะไร”
“!!!” หัวใจของอวี้หลานซีหล่นวูบสู่ใต้ทะเลสาบลึก เธอถอยหลังสองก้าวด้วยความหวาดกลัว “ไม่ ฉัน…ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
ก่วนอวี้จ้องมองแววตาของอวี้หลานซี “หลานซี ผมต้องเตือนคุณ อย่าคิดว่าตัวเองฉลาด สิ่งที่ผมมองออก คุณชายเยี่ยก็ต้องมองออกเหมือนกัน คุณเหลิ่งรั่วปิงคือชีวิตของคุณชาย ถ้าคุณคิดจะทำอะไรคุณเหลิ่งรั่วปิง คุณชายเยี่ยไม่มีวันยอมใจอ่อนให้คุณแน่” แววตาเย็นยะเยือกสะท้อนความเจ็บปวด “เก็บข้าวของและย้ายไปอยู่ที่สวนมรกตเถอะ ไม่อย่างนั้นคุณจะดูแย่ยิ่งกว่านี้”
ก่วนอวี้รู้ เมื่อก่อน เหลิ่งรั่วปิงนิ่งเฉยกับอวี้หลานซีมาโดยตลอด ไม่เคยสนใจเธอ นั่นเป็นเพราะเหลิ่งรั่วปิงทระนง ไม่เคยเอาเรื่องรักใคร่ แย่งชิงผู้ชายมาเก็บไว้ในใจ ทั้งยังดูถูกผู้หญิงอย่างอวี้หลานซียอมทำตัวต่ำต้อยเพื่อความรัก เหลิ่งรั่วปิงไม่คิดจะสู้กับอวี้หลานซี นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอสู้ไม่ได้หรือไม่มีวิธีเอาคืนอวี้หลานซี แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอถึงย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์เผชิญหน้ากับอวี้หลานซี เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนเหี้ยมโหดมาก ฝีมือของเธอไม่ใช่สิ่งที่อวี้หลานซีจะทนรับได้
อวี้หลานซีตกตะลึงกับคำพูดของก่วนอวี้ เธอสั่งให้สาวใช้มาช่วยเก็บข้าวของอย่างว่าง่าย
“ผมพาคุณไปพักผ่อนในห้องนะครับ” หนานกงเยี่ยช้อนตัวเหลิ่งรั่วปิงที่นั่งอยู่บนโซฟา เดินขึ้นชั้นสอง เข้าไปในห้องของตนเอง วางเหลิ่งรั่วปิงลงบนโซฟาใกล้ระเบียงห้อง ให้แสงแดดอบอุ่นสาดส่องมายังแผ่นหลังของเธอ
“คุณโกรธไหมคะที่ฉันทำแบบนั้นกับอวี้หลานซี” เหลิ่งรั่วปิงถามเสียงเรียบ
หนานกงเยี่ยยิ้มพร้อมโอบกอดเธอเอาไว้ “ไม่ครับ ผมบอกคุณตั้งแต่แรกแล้ว คุณคือคุณผู้หญิงของตระกูลหนานกง คุณจะทำอะไรผมไม่ว่าอะไรทั้งนั้น”
หนานกงเยี่ยพูดอย่างอ่อนโยน ทว่าแววตาของเขากลับเหี้ยมเกรียม
ก่วนอวี้พูดถูก เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไร ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงจะไม่ชอบอวี้หลานซี แต่เธอไม่คิดที่จะมีเรื่องกับอวี้หลานซี เรื่องที่อวี้หลานซีกล่าวหาว่าเหลิ่งรั่วปิงทำร้ายตอนอยู่บนเรือยอร์ชบริษัทประมูลฮั่นไห่ เหลิ่งรั่วปิงไม่พูดอธิบายแม้แต่คำเดียว ในตอนหลังอวี้หลานซีทำให้เธออับอายในงานเลี้ยงลองใจ เหลิ่งรั่วปิงก็ยังไม่เคยหาเรื่องอวี้หลานซี หรือแม้แต่เมื่อหลายวันก่อน อวี้หลานซีพูดกระทบจิตใจเหลิ่งรั่วปิงถึงเรื่องการมองเห็น เหลิ่งรั่วปิงก็ยังไม่แค้นเคือง
ความนิ่งเฉยไม่ยี่หระทั้งหมดของเหลิ่งรั่วปิง ล้วนเป็นเพราะดูถูกผู้หญิงอย่างอวี้หลานซี
วันนี้อยู่ดีๆ เหลิ่งรั่วปิงกลับหาเรื่องอวี้หลานซี มีสาเหตุเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คืออวี้หลานซีทำให้เธอสุดจะทน
หนานกงเยี่ยนึกถึงเรื่องที่เหลิ่งรั่วปิงตกน้ำเมื่อวาน หรือจะเกี่ยวข้องกับอวี้หลานซี?
แววตาหนานกงเยี่ยยิ่งอยู่ก็ยิ่งเหี้ยมเกรียมมากขึ้น คล้ายจะมองทะลุผ่านทุกสรรพสิ่ง หากเกี่ยวข้องกับอวี้หลานซี เขาไม่มีวันยอมใจอ่อนอย่างแน่นอน ความอดทนของเขาที่มีต่ออวี้หลานซีมันถึงขีดจำกัดแล้ว หากเธอกล้ามีเจตนาทำร้ายเหลิ่งรั่วปิงแม้แต่น้อย เขาไม่มีวันอภัยเด็ดขาด
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มบางเบา “ฉันเคยพูดแล้ว ฉันเป็นผู้หญิงที่ใจแคบมาก ในใจของฉันมีผู้ชายแค่คนเดียว แน่นอนว่าฉันทนเห็นผู้หญิงคนอื่นละเมอเพ้อฝันอยากได้ผู้ชายของฉันไม่ได้ ดังนั้นฉันอาจจะไม่มีวันปล่อยให้อวี้หลานซีใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ถ้าคุณเสียใจขึ้นมาทีหลัง คุณไล่ฉันออกไปจากคฤหาสน์หนานกงเถอะค่ะ”
หนานกงเยี่ยจับมือเหลิ่งรั่วปิงแน่น น้ำเสียงหนักแน่นราวกับหมึกดำวาดเขียนลงบนแผ่นกระดาษ “มีสิ่งเดียวที่คุณต้องรู้ก็คือ ในใจของผม ไม่มีใครสำคัญมากไปกว่าคุณ ถ้ามีใครทำร้ายคุณ แล้วคุณไม่อยากให้ผมช่วยจัดการ คุณอยากทำด้วยตนเอง เช่นนั้นก็ทำไปเถอะครับ ต่อให้คุณฆ่าใครสักคนตายผมก็ไม่มีวันโทษคุณ หืม?”
“รวมถึงอวี้หลานซี?”
“รวมถึงทุกคน”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไรอีก เธอซบอยู่ในแผงอกกว้างของหนานกงเยี่ย เธอรู้ดี จากความฉลาดของหนานกงเยี่ย เขาต้องเดาออกอย่างแน่นอนว่าเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น ความรักที่เขามีต่อเธอมันท่วมท้น ความรักของเขาโอบล้อมเธอเอาไว้ ทำให้เธอมีความสุขมาก
แต่ก็ยังทำอะไรอวี้หลานซีพร่ำเพรื่อไม่ได้ เธอเป็นคนสำคัญของหนานกงจวิ้น หากทำอะไรเธอจะส่งผลให้เกิดเรื่องเดือดร้อนไม่น้อย เหลิ่งรั่วปิงรู้ชัดข้อนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเธอจึงไม่เลือกที่จะจัดการอวี้หลานซีทันที เธอไม่อยากให้หนานกงเยี่ยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาพ่อลูกจะไม่ดีเท่าไร แต่เธอไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแย่กว่าเดิมเพราะเธอเป็นต้นเหตุ หรือทำให้พวกเขาต้องเป็นศัตรูกัน
ทุกคนต่างรู้ดี ตอนนี้คนที่มีอำนาจที่สุดในตระกูลหนานกงคือหนานกงเยี่ย และคนที่ควบคุมบรรยากาศในตระกูลมีแค่เหลิ่งรั่วปิงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าปฏิบัติตัวไม่ดี คำพูดของเหลิ่งรั่วปิงถือเป็นคำสั่งสูงสุด เธอต้องการขนย้ายข้าวของอวี้หลานซีให้เสร็จก่อนเที่ยง พ่อบ้านไม่กล้าชักช้า เรียกสาวใช้มากว่าสิบคน ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของอวี้หลานซีออกไปด้วยความรวดเร็ว จากนั้นตามทีมตกแต่งภายในมาตามความต้องการของเหลิ่งรั่วปิง ตกแต่งห้องที่อวี้หลานซีเคยนอนใหม่ทั้งหมด พูดได้ว่า ร่องรอยของอวี้หลานซีหายไปภายในวันเดียว
ฐานะของอวี้หลานซีแตกต่างจากเดิมคนละขั้ว เมื่อพวกสาวใช้เห็นลมเปลี่ยนทิศ สาวใช้โดยมากจึงไม่สนใจอวี้หลานซีอีก สวนมรกตที่อวี้หลานซีอยู่ กลายเป็นสวนที่เงียบเหงาที่สุดของคฤหาสน์หนานกง
เมื่อชีวิตตกต่ำลงกะหันหัน ทำให้อวี้หลานซีไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ หงุดหงิดง่ายขึ้นกว่าเดิม เธอโมโหวันละหลายครั้ง เขวี้ยงปาข้าวของ โทรศัพท์ไปหาหนานกงจวิ้น เพื่อระบายความทุกข์ในใจ
หญิงสาวที่เคยเป็นกุลสตรีและสง่างามในอดีต เป็นภรรยาและแม่ของลูกที่ดี เวลานี้กลายเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความแค้นเคือง
นับตั้งแต่อวี้หลานซียิงปืน เหลิ่งรั่วปิงตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ให้อวี้หลานซีมีชีวิตที่มีความสุขอีก แต่เธอมีความอดทนมาก หลังจากไล่อวี้หลานซีไปอยู่ที่สวนมรกต ไม่ได้ถามถึงอวี้หลานซีไปหลายวัน ได้ยินพวกสาวใช้บอกว่าอวี้หลานซีอาละวาดทุกวัน เขวี้ยงปาข้าวของ ทั้งยังโทรไปหาหนานกงจวิ้นเพื่อระบายความทุกข์ในใจ ทว่าเหลิ่งรั่วปิงกลับไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เธอเพียงแค่ยกมุมปากเล็กน้อย เธอรู้ การอยู่เงียบๆ แล้วทรมานอวี้หลานซีแบบนี้ ทำให้อวี้หลานซีทุกข์ทนมากยิ่งกว่าเดิม
ทางด้านหนานกงเยี่ยก็ไม่ได้พูดอะไร เขายังคงดูแลเหลิ่งรั่วปิงด้วยความใส่ใจ พาเธอไปด้วยทุกที่ ไม่เคยพูดคำว่าไม่กับทุกอย่างที่เหลิ่งรั่วปิงทำ
ทว่าก่วนอวี้กลับทุกข์ใจมาก ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าอวี้หลานซีเป็นคนผิด แต่เขาก็ยังคงสงสารเธอ เพียงแต่ ความสงสารของเขาช่างต่ำต้อย และทำอะไรไม่ได้
วันที่ห้าหลังจากเหลิ่งรั่วปิงเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หนานกง กินข้าวเสร็จ หนานกงเยี่ยรับสายหนานกงจวิ้นหัวหน้าตระกูลหนานกง หนานกงจวิ้นโทรมายังโทรศัพท์บ้านของคฤหาสน์หนานกง ตอนที่หนานกงเยี่ยรับสายเขาไม่ได้เลี่ยงเหลิ่งรั่วปิง แต่เปิดลำโพงให้เธอฟัง
“เยี่ย เป็นเพราะพ่อไม่ได้กลับเมืองหลงมาหลายปี ทำให้แกคิดว่าพ่อแก่จนทำอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหม” เสียงของหนานกงจวิ้นหนักแน่นมีกำลัง ราวกับระฆัง คล้ายกับฟ้าผ่า กล่าวโทษอย่างรุนแรง