เล่ม 1 ตอนที่ 174 แผนชั่วร้ายของราชวงศ์

ราชินีพลิกสวรรค์

ความอ่อนไหวเล็กน้อยนั้นมาเร็วแต่ก็มลายหายไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ความสนใจของทุกคนอยู่บนตัวลู่เสวียนที่กระโดดลงกำแพงไม่ได้สังเกตเห็นปฏิกิริยาของลู่ซิ่งเฉา

 

 

ทว่าการเคลื่อนไหวของลู่เสวียน จุดไฟเลือดอันร้อนรุ่มในใจของเหล่าเทียนเจียว เลือดร้อนที่พรั่งพรูไปถึงสมองทำลายสติของพวกเขา ทำลายความหวาดกลัวของพวกเขา

 

 

ภายใต้การนำของลู่เสวียน ทุกคนต่างเริ่มเลียนแบบ

 

 

ขณะนี่ไม่มีใครสังเกตถึงผู้นำกลุ่มสังเกตการณ์เทียนเจียวที่ยืนสังเกตอยู่เงียบๆ ดวงตาฉายแววสะใจ

 

 

ราวกับว่า…เป็นรอยยิ้มที่แผนชั่วร้ายสำเร็จผุดขึ้นมาบนมุมปาก

 

 

เขาเฝ้าดูอย่างเงียบๆ โดยไม่สนความกระสับกระส่ายของเหล่าเทียนเจียว

 

 

ท่ามกลางเหล่าเทียนเจียวยังมีคนค่อยเสริมสร้างกำลังใจยิ่งทำให้เลือดในกายของเหล่าเทียนเจียวร้อนรุ่มกว่าเดิมกระตุ้นให้พวกเขาลงเข้าสู่สนามรบ

 

 

แต่ว่าเสียงของลู่ซิ่งเฉาก็ดังขึ้นมาดั่งฟ้าผ่า “เทียนเจียวทุกคนเฝ้าระวังบนกำแพงเมือง หากผู้ใดเข้าร่วมสนามรบโดยไม่ได้รับคำสั่งก็ฆ่าไม่เว้น”

 

 

เสียงทรงพลังอันน่าเกรงขามดังขึ้นมา เหมือนสายฝนตกใส่เหล่าเทียนเจียวที่หน้ามืดตามัว อีกทั้งยังทำให้ผู้นำกลุ่มสีหน้าตระหนักแววตามืดมนลง

 

 

เจียงหลีก็ถูกคำพูดนี้สะเทือนถึงจิตใจ นางแอบตกใจกับพลังปราณอันแข็งกล้าของลู่ซิ่งเฉา ยังเห็นเขายืนบนแท่นสั่งการ ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกมา

 

 

มารวานรตัวหนึ่ง ปรากฏตัวจากด้านหลัง ส่งเสียงคำรามมันยื่นแขนออกมาหวังจะจับตัวลู่เสวียนที่เข้าไปในสนามรบ

 

 

ลำแขนที่อยู่กลางอากาศยาวขึ้นเรื่อยๆ เหมือนลำตัวงู เมื่อขยับเข้าใกล้ลู่เสวียนก็คว้าตัวเขาเหวี่ยงตัวเขาจากนอกกำแพงโยนเข้าไปในกำแพง

 

 

ก้นลู่เสวียนกระทบกับพื้นเข้าอย่างจัง มีดเหล็กที่แย่งมาก็ตกอยู่ข้างๆ แผดดังก้อง

 

 

ขาเงยหน้ามองไปทิศทางที่ท่านพ่ออยู่ กลับสบเข้ากับดวงตาที่เข้มงวดตักเตือน

 

 

“อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม” ลู่เสวียนพยายามดิ้นลุกขึ้นยืนเพื่อจะเข้าสู่สนามรบอีกครั้งแต่ก็ถูกเจียงหลีจับไหล่ห้ามไว้ก่อน

 

 

ลู่เสวียนหันกลับมามองนางด้วยแววตาดิ้นรนยังไม่หายไป กลับเห็นเจียงหลีส่ายหัวช้าๆ สายตาเหลือบมองไปทางผู้นำกลุ่มอย่างอำพราง

 

 

หลังจากลู่ซิ่งเฉาตะเบ็งเสียงออกมา เจียงหลีก็มองคนนั้นโดยไม่รู้ตัว นางมิวายเห็นสีหน้าผิดหวังบนใบหน้าของเขาจึงทำให้นางเกิดความสงสัย

 

 

ลู่เสวียนหันหัวมองตาเห็นท่าทางผู้นำกลุ่มที่ก้มหน้าเงียบ เมื่อเขาสงบสติอารมณ์ได้ก็เริ่มเกิดความสงสัย

 

 

ตึง ตึง ตึง!

 

 

เสียงกลองถอยทัพดังขึ้นกะทันหัน

 

 

เจียงหลีและลู่เสวียนหันหน้าไปพร้อมกันก็พบทหารม้าต้าฉินที่มาอย่างกระเ**้ยนกระหือรือกลับถอยทัพ ต้าฉินถอยทัพ ลู่ซิ่งเฉาเองก็ไม่ได้ไล่โจมตีเพียงแต่สั่งให้ถอยทัพเช่นกัน

 

 

การถอยทัพกะทันหันทำให้ผู้นำกลุ่มขมวดคิ้ว ส่อแววเสียดายเล็กน้อย

 

 

แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เจียงหลีกลับแปลกใจที่ต้าฉินจู่ๆ ก็ถอยทัพ

 

 

การประจัญบานเมื่อครู่ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะ ที่ต้าฉินเลิกทัพทำเยี่ยงนี้มันรู้สึกหัวเสือหางงูเกินไปแล้ว

 

 

“ทำไมพวกเขาถึงเลิกทัพกันล่ะ” แม้แต่เจ้าเด็กโง่อย่างลู่เสวียนยังถามด้วยความงุนงง

 

 

เจียงหลีมองไปทางลู่ซิ่งเฉาเห็นสีหน้าเขานิ่งสงบราวกับว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์ “มีพ่อเจ้าอยู่ ต้าฉินไม่สามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรได้หรอก”

 

 

“นี่ก็เรื่องแปลกที่ต้าฉินเลิกทัพ” จิ่งเยี่ยพูดเสียงเบา

 

 

“นี่ พวกเจ้าก็อยู่หรือ” ลู่เสวียนเพิ่งจะสังเกตเห็นจิ่งเยี่ยที่ยืนเคียงข้างเจียงหลี อีกทั้งท่าทางที่แสนจะสนิทสนมกันอีก

 

 

ทันใดนั้นตาหงส์ของเขาเต็มไปด้วยหวาดระแวง

 

 

จิ่งเยี่ยเพิกเฉยกับแววตาที่หวาดระแวงของเขา แค่นเสียงอย่างเยียบเย็น มองเจียงหลีอย่างลึกซึ้งก่อนจะเดินออกจากไป

 

 

“ซ้อเล็ก ท่านมีพี่ใหญ่ข้าแล้วจะสองจิตสองใจไม่ได้ ยิ่งอย่าถูกคำพูดสวยหรูหลอกเชียวล่ะ” ทันทีที่จิ่งเยี่ยเดินจากไป ลู่เสวียนรีบออกเสียงเตือนเจียงหลี

 

 

เจียงหลีกระตุกมุมปากรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดใส่หน้า นางแสร้งยิ้มพลันพูดต่อว่า “เรื่องของข้า เจ้าอย่ามาห่วงเลย”

 

 

“ไม่ได้! พี่ข้าไม่อยู่ ข้าก็ต้องช่วยเขาเฝ้าดูเจ้าไว้” ลู่เสวียนพูดอย่างมีคุณธรรมน้ำมิตร

 

 

“…” เจียงหลีแค่นเสียงใส่เขาในลำคอ ทำอย่างไรดี นางรู้สึกอยากจะบีบคอเจ้าเด็กนี่ให้ตายคามือจัง

 

 

“เหล่าเทียนเจียวจงฟังคำสั่ง ตามข้ากลับไปพักผ่อนที่ค่าย” รองแม่ทัพนายหนึ่ง เดินนำเข้ามา

 

 

เพิ่งจะเห็นศึกสงครามด้วยตาตนเอง เหล่าเทียนเจียวที่แสนจะหยิ่งยโส ตอนนี้มีความเคารพยำเกรงต่อเหล่าทหารขึ้น เมื่ออยู่ต่อหน้าทหารเป่ยฝางที่ใส่ชุดเกราะจึงไม่พูดอะไรมากเดินตามหลังอย่างเชื่อฟัง

 

 

เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้เจียงหลีประหลาดใจคือลู่ซิ่งเฉารู้ว่าลู่เสวียนอยู่ที่นี่กลับไม่มีท่าทีเรียกตัวไปคุยแบบส่วนตัว

 

 

เจียงหลีได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วเดินตามหลังผู้คนไป

 

 

สถานที่พักที่ทหารเป่ยฝางจัดให้สำหรับเหล่าเทียนเจียวนั้นเรียบง่ายนัก เป็นเพียงค่ายทหารธรรมดาไม่มีความพิเศษใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

สิ่งเดียวที่โชคดีกว่าคืออย่างน้อยพวกเขาก็มีห้องของตนเอง

 

 

แต่ความใหญ่ของห้องกลับพอสำหรับหลับนอนเท่านั้น ทำให้เจียงหลีแอบคาดเดาว่า สถานที่เหล่าดัดแปลงจากห้องขังแน่นอน

 

 

เมื่อเข้าสู่ยามราตรี ทุกอย่างเงียบสงบลง

 

 

เหล่าเทียนเจียวได้รับคำสั่งให้อยู่แต่ในห้อง ห้ามออกไปข้างนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต นอนบนเตียงที่ทั้งแข็งทั้งเย็นได้ยินแต่ฝีเท้าของทหารลาดตระเวนและเสียงแมลงในยามค่ำคืน

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าคืนเงียบงันเช่นนี้มีใครบางคนเข้าไปอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง

 

 

เงาร่างสูงโปร่งที่สวมเสื้อคลุมยาว เข้าออกค่ายพักของแม่ทัพอย่างอิสระโดยไม่เรียนให้ทราบ ทันทีที่เขาปรากฎตัว ลู่ซิ่งเฉาที่กำลังศึกษาสภาพของกองกำลังทหารอยู่บนโต๊ะเงยหน้าลุกขึ้นยืน

 

 

 คนที่ยืนนิ่งในกระโจมยกสองมือดึงหมวกที่ปิดบังใบหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าที่แสนจะงดงาม “ท่านพ่อ”

 

 

“เจี้ยเอ๋อร์ เจ้าสบายดีหรือไม่” ลู่ซิ่งเฉาที่ถอดชุดเกราะออกรีบย่างเท้าเดินมาหน้าลู่เจี้ย มองเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

 

 

ขณะนี้เขาถอดหมวดออกเปิดให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง 

 

 

เป็นโฉมหน้าที่แสนหล่อเหลาทำให้ผู้หญิงทั่งโลกต่างต้องตกหลุมรัก หากเจียงหลียืนอยู่ตรงนี้คงจะรู้สักทีว่าใบหน้าแสนจะงดงามเช่นนี้ลู่เจี้ยได้มาจากไหน

 

 

ความงดงามของลู่เจี้ยมากว่าลู่ซิ่งเฉา เมื่อเทียบกันแล้วลู่ซิ่งเฉาให้ความรู้สึกว่าเขาผ่านศึกสนามรบมา

 

 

สองคนพ่อลูกกลับงดงามไม่แพ้กัน ชวนให้ผู้คนอิจฉา

 

 

“ไม่เป็นไรขอรับ ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง”

 

 

หลังสองพ่อลูกทักทายกันแล้ว ลู่ซิ่งเฉาเพิ่งจะขมวดคิ้ว “เสี่ยวเสวียนก็มาตามมาด้วย”

 

 

ลู่เจี้ยขมวดคิ้ว ดวงตาดั่งมรกตเปลี่ยนเล็กน้อย เสี่ยวเสวียนมาด้วยเช่นนั้นหลีเอ๋อร์คงจะตามมาเหมือนกัน

 

 

“เจี้ยเอ๋อร์ ครั้งนี้ฮ่องเต้คงจะอยู่ไม่นิ่งแล้ว” เขาไม่ได้สังเกตเห็นอารมณ์แปรปรวนของลู่เจี้ย ระหว่างคิ้วของลู่ซิ่งเฉาขมวดแน่เมื่อพูดถึงเรื่องกลุ้มใจ “ฝั่งเจ้าเตรียมตัวกันถึงไหนแล้ว”

 

 

ลู่เจี้ยรีบดึงสติจากความคิดว้าวุ่นทั้งหลายกลับมาตั้งหลักยิ้มบางๆ ให้เขา “ครั้งนี้เป็นแผนที่เขาจัดวางไว้อย่างรอบคอบ และมันก็เป็นโอกาสดีที่ตระกูลลู่รอมานานมิใช่หรือขอรับ”