“ว่าอย่างไร ข้าช่วยพวกเจ้าจัดการพวกอันธพาลเชียวนะ พวกเจ้าจะให้อะไรข้าล่ะ ?”
หลังจากสวมบทบาทคุณชายหยิ่งยโส วางท่าข่มขู่ *‘เหล่าบุรุษคนถ่อยผู้คิดทำร้ายสตรีของเขา’*ไปแล้ว หลินจิ้งหงก็เดินตามฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วมาอย่างไม่ลังเล คุณชายโอหังไม่ได้คิดที่จะเอ่ยถามเลยว่าพวกนางจะไปที่ใด เวลานี้เขาเดินอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่และถามไถ่หาสิ่งตอบแทนด้วยรอยยิ้มยียวน
“คุณชาย นี่ไงรางวัลของเจ้า”
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะรู้ดีว่าวาจาเช่นนั้นของหลินจิ้งหงมีเจตนาหยอกล้อ ทว่านางก็ยังหยิบเอาถุงเหรียญเงินออกมาและโยนให้เขา
“ไม่ ! ตัวข้าไม่ได้ถูกขนาดนี้”
หลินจิ้งหงมองดูเหรียญเงินในถุงของฉินอวี้โม่และแสร้งทำท่าทางคล้ายเหยียดหยาม
“สาวน้อย ดูสิ คุณหนูของเจ้าจะขี้เหนียวกับผู้ช่วยชีวิตมากเกินไปแล้ว”
หลินจิ้งหงมองไปที่เสี่ยวโร่วก่อนจะเอ่ยปากเป็นเชิงฟ้อง เขาอยากเห็นท่าทีของสาวน้อยคนนี้
“ฮ่า ๆ อย่างคุณหนูของข้านี่สิ ถึงจะเหมาะเป็นฮูหยินของจวน”
เสี่ยวโร่วพอจะทราบว่าหลินจิ้งหงและฉินอวี้โม่เพียงแต่กำลังหยอกล้อกันเท่านั้น เพราะฉะนั้นนางจะไม่บ้าคิดจริงจังกับเรื่องนี้ หลังจากพูดประโยคเมื่อครู่ออกไปนางก็อดยิ้มขำไม่ได้
“ก็ได้ ๆ ถือว่าพวกเจ้าชนะ”
หลินจิ้งหงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องยอมสงบคำ ทว่าริมฝีปากของเขาก็มิอาจซุกซ่อนรอยยิ้มได้เลยเช่นกัน
“คุณหนู สุภาพบุรุษท่านนี้คือใครเหรอเจ้าคะ ?”
เสี่ยวโร่วเดินเข้าไปประชิดตัวคุณหนูของนางก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบถาม
“สาวน้อย… ถ้าไม่พูดเบากว่านั้น ข้าจะได้ยินเอานะ”
หลินจิ้งหงแกล้งดัดเสียงเข้มแล้วกล่าวหยอกล้อสาวน้อยผู้มากับฉินอวี้โม่ก่อนจะกล่าวต่อเสียงดัง “ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีคนไม่รู้ชื่อข้า คุณหนูของเจ้าไม่เคยเล่าให้เจ้าฟังเลยหรือว่าข้าคือใคร ?”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างใสซื่อเพราะนางไม่รู้จักหลินจิ้งหงจริง ๆ
“เหอะ อวี้โม่ ไม่นึกเลยนะว่าเจ้าจะเป็นคนอย่างนี้ ข้าอุตส่าห์กังวลเรื่องเจ้าจนต้องถ่อมาดูถึงที่ ไม่คิดว่าเจ้าจะใจดำถึงกับไม่ยอมเล่าเรื่องของข้าให้สาวน้อยแสนซื่อผู้นี้ฟัง”
หลินจิ้งหงแสร้งต่อว่าพลางตีหน้าเศร้า
ฉินอวี้โม่ยิ้มขำออกมาอย่างอดไม่ได้ เพราะเคยได้เจอหลินจิ้งหงมาก่อนหน้านี้แล้ว นางจึงพอรู้จักนิสัยของคุณชายท่านนี้ดี หากเมื่ออยู่กับคนแปลกหน้าเขาจะหยิ่งยโสถึงขีดสุด แต่กับคนคุ้นเคยเขาจะขี้เล่นและมักจะหาเรื่องหยอกล้อเสมอ ดังนั้นที่หลินจิ้งหงอุตส่าห์ตัดพ้อต่อว่าพลางทอแววตาเสียอกเสียใจจึงไม่ได้หมายความว่าเขาน้อยใจจริง ๆ
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ยิ้ม บุรุษใบหน้าหล่อเหลาก็ยิ้มกลับ เขาเลิกล้อเล่นแล้วยืดอกทำการแนะนำตัวเอง
“ฟังนะสาวน้อย ชื่อของข้าคือหลินจิ้งหงนายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้าง”
หลังจากกล่าวจบ หลินจิ้งหงก็เชิดหน้ามองเสี่ยวโร่วด้วยสายตาภาคภูมิ เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นปฏิกิริยาตื่นเต้นตาลุกวาวอันแสนน่าขันของสาวน้อยตรงหน้าอีก
และแน่นอนว่าเมื่อได้ยินเกี่ยวกับตัวตนของหลินจิ้งหง ในตอนแรกสาวใช้น้อยก็รู้สึกประหลาดใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความชื่นชม สาวน้อยเริ่มตาลุกวาวแต่แล้วก็หันไปถามฉินอวี้โม่ก่อน “คุณหนู ที่เขาพูดมาเป็นความจริงรึเปล่า ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่พยักหน้า เสี่ยวโร่วรู้สึกตื่นเต้นขึ้นทันที
ทว่าในตอนที่สาวน้อยกำลังจะโพล่งวาจาบางอย่าง ฉินอวี้โม่ก็หยุดนางไว้เพียงเท่านั้น
ฉินอวี้โม่รู้ดีว่าในตอนที่ได้ยินว่าหลินจิ้งหงคือนายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้าง สาวใช้น้อยก็คงเตรียมจะขอร้องให้เขาช่วยตามหาอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
แต่ทว่าเนื่องจากเรื่องนี้ยังมีปริศนาที่ซับซ้อนซ่อนอยู่มากมายทำให้คุณหนูตระกูลฉินยังไม่กล้าเปิดเผยเรื่องราวและไม่ต้องการให้มีผู้ล่วงรู้มากนัก แม้ว่าหลินจิ้งหงจะเป็นสหายสนิทของหานโม่ฉือและนางก็เชื่อใจเขา แต่นางก็ยังคิดว่านี่เป็นเรื่องภายในตระกูลที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ตอนนี้จึงยังไม่สมควรที่จะเอ่ยให้เขาฟัง
คราแรก เมื่อหลินจิ้งหงเห็นสาวใช้น้อยตื่นเต้นและกำลังจะพูดบางอย่างเขาก็เริ่มรื่นเริง ทว่าเมื่อสาวน้อยถูก*‘สหายผู้รู้ทันเขา’*สกัดเอาไว้ คุณชายขี้เล่นก็เริ่มหมดสนุก อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นแววตาจริงจังของทั้งคุณหนูตระกูลฉินและสาวใช้ของนาง นายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างก็หรี่ตาลงอย่างสงสัย ทว่าเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่ชอบสอดรู้เรื่องของผู้อื่น ถ้าฉินอวี้โม่ไม่อยากเล่า เขาก็จะไม่ถาม
“อวี้โม่ เมื่อออกจากบึงสายหมอกแล้วพวกเราก็ไปตามหาเจ้า เหตุใดถึงไม่บอกเราเลยว่าเจ้าจะออกจากเมืองหลิงซี ?”
หลินจิ้งหงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ในตอนนั้นเขาและหานโม่ฉือไปตามหาฉินอวี้โม่ในโรงเตี๊ยมที่นางพัก แต่พวกเขาก็พบว่านางจากไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังได้ยินข่าวน่าตกใจที่เกิดขึ้นกับตระกูลฉินในเมืองหลิงซีและเป็นตอนนั้นเองที่เขามั่นใจอย่างมากว่าสตรีผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่นั้นไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
“มีเรื่องบางอย่างที่ทำให้พวกเราต้องรีบร้อนออกเดินทาง ข้าเลยไม่มีเวลาจะบอกลาคุณชายหลิน”
เมื่อได้ฟังวาจาของหลินจิ้งหง ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจเล็กน้อย นางไม่คิดว่าเขาและหานโม่ฉือจะไปตามหานางที่โรงเตี๊ยม การที่พวกเขารู้ได้ทันทีว่านางพักอยู่ในโรงเตี๊ยมใด นั่นชี้ชัดว่าพวกเขามีแหล่งข่าวที่กว้างขวางไม่ธรรมดา ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับตระกูลฉินในเมืองหลิงซีพวกเขาก็คงจะได้รู้มาไม่น้อย
“คุณชายจิ้งหง ตอนนี้ตระกูลฉินที่เมืองหลิงซีเป็นอย่างไรบ้าง ?”
จนถึงตอนนี้ นับว่าฉินอวี้โม่ออกจากที่นั่นมานานพอสมควรแล้ว แต่นางก็ยังไม่ทราบถึงข่าวคราวของฉินเทียนตัวปลอมและเยี่ยเสี่ยวตี๋เลย เวลานี้เมื่อมีโอกาส อดีตคุณหนูผู้รันทดแห่งหลิงซีจึงรีบเอ่ยถามข้อมูล
หลินจิ้งหงรู้ดีว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่ฉลาด ดังนั้นเขาจึงไม่ประหลาดใจที่นางจะถามคำถามเช่นนี้
“หลังจากเจ้าระเบิดจวนตระกูลฉินไปตอนนั้น ตระกูลฉินทั้งหมดก็กลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น ส่วนเรื่องที่เจ้าทำกับเยี่ยเสี่ยวตี๋ แม้ว่าฉินเทียนจะพยายามปกปิดเต็มที่แต่เขาก็ปิดมันไว้ได้ไม่นาน พอชาวเมืองได้รับรู้ เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านและโดนดูถูกเหยียดหยามสารพัด ส่วนขุมกำลังต่าง ๆ ในเมืองหลิงซีที่เคยดูถูกหรือรังแกเจ้าต่างก็กลัวกันหัวหด พวกเขาเก็บตัวเงียบในช่วงหลายวันหลังจากเกิดเรื่องนั้นเพราะกลัวว่าเจ้าจะไปเอาเรื่องพวกเขา พูดได้เลยว่าตอนนั้นเมืองหลิงซีตกอยู่ในสถานการณ์โกลาหลมาก”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง หลิงจิ้งหงก็กล่าวต่อ “แต่หลังจากนั้นเป็นอย่างไรต่อข้าไม่รู้ เพราะโม่ฉือกับข้าออกมาจากที่นั่นก่อน”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เมื่อนางรู้ว่าฉินเทียนตัวปลอมและเยี่ยเสี่ยวตี๋คงจะอยู่ในเมืองหลิงซีต่ออย่างไม่เป็นสุขนัก รอยยิ้มสาแก่ใจก็ปรากฏบนใบหน้านวล
ก่อนออกมานางบอกพวกเขาว่าหากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋น นางจะทำลายตระกูลฉินในเมืองหลิงซีให้พินาศ ในตอนนี้ ถึงแม้จะคิดว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นคงจะปลอดภัย ทว่าอดีตคุณหนูผู้เคยถูกรังแกก็ยังถือว่าฉินเทียนตัวปลอมเป็นศัตรูไม่แปรเปลี่ยน
ในระหว่างที่สนทนากันไปพลางเดินไปพลาง ในที่สุดพวกเขาทั้งสามก็มาถึงจวนตระกูลโอวหยางแล้ว
เมื่อเทียบกับจวนตระกูลฉิน จวนตระกูลโอวหยางดูหรูหราโอ่อ่ายิ่งกว่ามาก ลานกว้างที่กว้างขวาง สวนดอกไม้งดงาม เรือนหลังใหญ่น้อยทั้งหมดเป็นอาคารใหม่เอี่ยมตกแต่งอย่างมีระดับ ตัวเรือนหลักนั้นสูงใหญ่สะดุดตาบ่งบอกฐานะและความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของได้อย่างดี
ในนครไป๋อวิ๋นแห่งนี้ จวนตระกูลโอวหยางนับว่าเป็นจวนที่มีความยิ่งใหญ่อลังการมากที่สุดแล้ว
ณ ประตูทางเข้าจวนตระกูลโอวหยาง บ่าวรับใช้หนุ่มผู้หนึ่งกุลีกุจอเดินออกมาต้อนรับ
ชื่อเสียงของหลินจิ้งหงไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงแห่งนี้ไม่รู้จัก
“คารวะคุณชายหลิน”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นเดินเข้ามาและกล่าวทักทายหลินจิ้งหงในทันที แม้ว่าตระกูลโอวหยางจะนับเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพลในเมืองหลวง ทว่าสมาคมทหารรับจ้างก็เป็นขุมกำลังที่มีอิทธิพลไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้นเขาที่เป็นเพียงบ่าวรับใช้ในจวนตระกูลโอวหยางจึงต้องนอบน้อมกับคุณชายผู้นี้เป็นธรรมดา
“วันนี้ที่ข้าและแม่นางทั้งสองมาเพื่อจะขอพบคุณชายชิงเฟิง”
ขณะพูดคุยกันระหว่างทางนั้น หลินจิ้งหงได้รับรู้ถึงจุดประสงค์การมายังจวนตระกูลโอวหยางจากฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วแล้ว ดังนั้นเมื่อมาถึงหน้าจวนเขาจึงบอกจุดประสงค์นั้นออกไปทันที
บ่าวผู้นั้นมองฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว แม้ว่าเขาจะนึกสงสัยในตัวตนของพวกนางทว่าในเมื่อคุณชายหลินไม่ได้เอ่ยอธิบายออกมา เขาผู้น้อยก็มิกล้าเอ่ยถาม ยิ่งกว่านั้น เมื่อดูจากรูปลักษณ์ การแต่งกาย และกิริยาท่าทางของสตรีทั้งสองแล้ว เขาก็มั่นใจว่าพวกนางคงไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“เชิญท่านทั้งสามเข้ามาก่อน ข้าน้อยจะรีบส่งคนไปแจ้งนายน้อยของเราให้ทราบทันที”
บ่าวรับใช้หนุ่มผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูในวันนี้พาหลินจิ้งหงและแม่นางทั้งสองเข้าไปยังเรือนรับรอง ก่อนจัดแจงที่นั่งและให้คนนำน้ำชาออกมาต้อนรับ
ไม่นานนัก โอวหยางชิงเฟิงก็มาถึง
แท้จริงแล้ว โอวหยางชิงเฟิงอยากจะออกไปหาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วที่จวนตระกูลฉินมาก ทว่าตอนนี้ท่านผู้นำตระกูลและบิดาของเขามีเรื่องมากมายอยากจะพูดคุยกับเขา ทั้งสองบอกให้เขารั้งรออยู่ที่จวนอย่าเพิ่งรีบออกไปไหนในสองสามวันแรกนี้ เขาต้องรอให้ท่านปู่และท่านพ่อว่างจากงานจะได้สนทนากัน ด้วยเหตุผลนั้นจึงทำให้คุณชายผู้เคยหนีออกจากจวนไม่มีโอกาสออกไปไหนได้เลยตั้งแต่กลับมาถึง
เมื่อแรกได้ยินว่าหลินจิ้งหงมาที่ตระกูลเพื่อพบเขา คุณชายรองตระกูลโอวหยางก็งุนงงเล็กน้อย แต่หลังจากได้รู้ว่าเขาพาสตรีอีกสองคนมาด้วย โอวหยางชิงเฟิงก็เข้าใจในทันทีว่าต้องเป็นฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว
ในตอนนี้เองที่อาการเศร้าหมองของหนุ่มหน้าใสผู้ถูกกักตัวอยู่กับจวนหายไปเป็นปลิดทิ้ง เขารีบออกมาจากเรือนที่พักอย่างเริงร่าและตรงมายังเรือนรับรองแห่งนี้ทันที
เมื่อเห็นโอวหยางชิงเฟิง ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง พวกเขาทั้งสามฝึกฝนร่วมกันมานานถึงครึ่งปี แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงใกล้ชิดสนิทสนมกันมากเป็นธรรมดา จนตอนนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นสหายสนิทได้อย่างเต็มปากแล้ว
“อวี้โม่ เสี่ยวโร่ว ข้าเองก็กำลังคิดจะออกไปเยี่ยมเจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นฝ่ายมาเองแบบนี้”
โอวหยางชิงเฟิงเดินเข้ามาหาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว เขามองสำรวจทั่วทั้งตัวสหายสนิททั้งสองจนเมื่อเห็นว่าพวกนางไม่เป็นอะไร เขาจึงยิ้มอย่างโล่งใจ
เมื่อเห็นใบหน้าของโอวหยางชิงเฟิง ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็อดขำไม่ได้
“ชิงเฟิง นี่เจ้าจะกังวลเกินเหตุไปหรือเปล่า พวกเราสองคนกลับบ้านมิใช่ลงสนามรบบุกดงข้าศึก พวกเราจะเป็นอันตรายได้อย่างไรกัน ?”
ด้วยวาจาเช่นนั้นทำให้โอวหยางชิงเฟิงยิ้มเขินพลางลูบท้ายทอยป้อย ๆ ก่อนจะนั่งลง ถึงจะกลับเข้าตระกูลแล้วแต่คุณชายรองตระกูลโอวหยางก็ยังคงเป็น ‘สายลมอ่อนแห่งป่าแสงจันทร์’ คนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ข้ารู้ข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อวานมาน่ะสิ ได้ยินว่าเจ้ามีเรื่องกับหวังรั่วจวินใช่หรือไม่ ? แล้วหวังรั่วอีผู้นั้นทำอะไรเจ้ารึเปล่า ?”
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานโอวหยางชิงเฟิงเองก็ได้ยินมาเช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้กลับมายังนครไป๋อวิ๋นแห่งนี้นานถึงห้าปีแต่เขาก็รู้จักสตรีน่ากลัวอย่างหวังรั่วอีดี
หวังรั่วอีเป็นสตรีที่ภายนอกดูอ่อนหวานและใสซื่อบริสุทธิ์ทว่าภายในหัวใจกลับร้ายกาจ ปกติแล้วหากมีผู้ใดลงไม้ลงมือกับน้องชายของนาง ไม่ว่าหวังรั่วจวินจะผิดหรือไม่ หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไว้แน่ หวังรั่วอีและหวังรั่วจวินถือดีว่ามีสถานะของนายน้อยแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอยู่จึงไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แน่นอนว่านี่ทำให้โอวหยางชิงเฟิงไม่ชอบใจพี่น้องตระกูลหวังคู่นี้
เมื่อวานนี้ ทันทีที่ได้ยินว่าฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วถึงขั้นลงมือกับหวังรั่วจวิน คุณชายตระกูลโอวหยางก็หน้าถอดสี เขาเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของสหายทั้งสองมากและอยากจะไปพบพวกนางให้เร็วที่สุด หากรู้ว่าหวังรั่วอีทำอะไรพวกนาง คุณชายรองตระกูลโอวหยางก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปเอาคืนให้สหายทั้งสองอย่างสาสม
“ชิงเฟิง นี่เจ้าคิดว่าพวกข้าจะถูกรังแกง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อได้ยินคำพูดเป็นห่วงเป็นใยของโอวหยางชิงเฟิงฉินอวี้โม่ก็ยิ้มกว้าง และนางก็อดรู้สึกขบขันอยู่ในใจไม่ได้
โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะ พวกเขาอยู่ฝึกฝนด้วยกันนานครึ่งปี เขารู้ดีที่สุดว่าฉินอวี้โม่เป็นยอดฝีมือที่น่าหวาดกลัวเพียงใด ไม่ใช่เพียงแค่ฝีมือเท่านั้นความเลือดเย็นในการสังหารของนางก็ด้วย การมารังแกสตรีผู้นี้จึงไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย
“ถ้ามีใครกล้ามารังแกข้า คนผู้นั้นจะต้องเตรียมใจเอาไว้หนักหน่อย”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม การมีสหายที่ดีอย่างโอวหยางชิงเฟิงนี้ นางคิดว่ามันเป็นโชควาสนาที่หาได้ยากยิ่ง
“โอวหยางชิงเฟิง ครั้งนี้เจ้ายอมกลับมาเองอย่างนั้นหรือ ? คนในตระกูลไม่ได้บีบบังคับเจ้าแล้วอย่างนั้นใช่ไหม ?”
หลินจิ้งหงเอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เขาอายุมากกว่าโอวหยางชิงเฟิงสองปี เขารู้จักอัจฉริยะแห่งตระกูลโอวหยางเป็นอย่างดี เมื่อก่อนพวกเขาก็เคยเจอกันหลายครั้ง เขาจึงรู้ดีว่าที่โอวหยางชิงเฟิงหนีออกไปจากตระกูลเมื่อห้าปีก่อนนั้นเป็นเพราะถูกบีบบังคับให้ทำในเรื่องที่ไม่อยากทำ เมื่อเห็นเขายอมกลับมา หลินจิ้งหงจึงถามออกไปด้วยความสงสัย
เมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้น ใบหน้าของคุณชายรองตระกูลโอวหยางก็หม่นหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด
และภาพใบหน้าที่ตกต่ำลงอย่างฉับพลันของสหายสนิทผู้ร่วมผจญภัยด้วยกันในป่ากว้างก็ทำให้ฉินอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัย ในตอนนี้พวกนางเองก็อยากจะรู้เรื่องนี้แล้วเหมือนกัน
“อวี้โม่ เสี่ยวโร่ว เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปถึงสาเหตุที่ทำให้ข้าหนีออกจากบ้าน”
หลังจากปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง โอวหยางชิงเฟิงก็อธิบายให้ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วฟัง
…เมื่อห้าปีก่อน ที่โอวหยางชิงเฟิงหนีออกจากตระกูลนั้นมีเหตุผลเพียงข้อเดียวคือ ‘เรื่องของการหมั้นหมายตั้งแต่ตอนที่เขาเกิด’
ตระกูลโอวหยางและตระกูลเยว่ของประธานสมาคมช่างหลอมนั้นมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น โดยเฉพาะบิดามารดาของโอวหยางชิงเฟิงและครอบครัวของประธานสมาคมช่างหลอมนับเป็นสหายที่สนิทสนมกันอย่างมาก และมากเสียจนทั้งสองครอบครัวได้ตกลงกันว่าหากมีบุตรชายและบุตรสาวจะให้เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ทำให้โอวหยางชิงเฟิงและบุตรสาวของประธานสมาคมช่างหลอม–เยว่ชิงเฉิงถูกจับให้หมั้นหมายกันตั้งแต่เกิดและมีสัญญาที่จะต้องแต่งงานเมื่อพวกเขาโตขึ้น อย่างไรก็ตาม บิดามารดาของทั้งสองฝ่ายต่างก็ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และรอบอกกับพวกเขาในตอนที่ทั้งสองเติบโตจนพร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวแล้ว
ทว่าโอวหยางชิงเฟิงและเยว่ชิงเฉิงนั้นต่างก็เป็นเด็กที่มีนิสัยดื้อรั้นหัวชนฝาด้วยกันทั้งคู่ พอได้รู้เรื่องการหมั้นหมายดังกล่าว พวกเขาก็แสดงอาการต่อต้านในทันที
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาทั้งคู่ไม่ถูกชะตาหรือไม่ชอบหน้ากัน แต่เป็นเพราะทั้งสองรู้สึกไม่พอใจที่ถูกผู้อื่นกำหนดหรือตัดสินชีวิตของพวกเขาโดยพลการ
ดังนั้นโอวหยางชิงเฟิงในวัยสิบสามปีจึงตัดสินใจหนีออกจากตระกูลเพื่อประท้วงและแสดงจุดยืนในการต่อต้านสัญญาการแต่งงาน แน่นอนว่าทั้งโอวหยางชิงเฟิงและเยว่ชิงเฉิงต่างก็อยากจะตามหาบุคคลที่รักด้วยตนเองและอยากมีพิธีแต่งงานที่เกิดขึ้นจากความสมัครรักใคร่ของทั้งสองฝ่าย
หลังจากห้าปีผ่านไป ในที่สุดผู้นำตระกูลโอวหยางก็ไม่ได้บีบบังคับโอวหยางชิงเฟิงอีกแล้ว ทว่าเขาก็บอกให้หลานชายแก้ปัญหาเรื่องการหมั้นหมายด้วยตัวเอง…
และนี่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้โอวหยางชิงเฟิงรู้สึกปวดหัวอยู่ในขณะนี้