ตอนที่ 144 ขอพร

อ๋องมู่จมอยู่กับความคิด หากฮ่องเต้ส่งคนไปม่อเป่ยแต่คนผู้นั้นมิภักดีต่อพระองค์ ท้ายที่สุดอำนาจทหารจักตกอยู่ในมือผู้ใดก็ยังกล่าวได้ยาก

ขณะครุ่นคิดอยู่เขาก็หันไปมองแววตาแน่วแน่ของมู่จวินฮาน พลันมีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นแต่ก็มิสบายใจอยู่ดี “พวกเรามิรู้ว่าฮ่องเต้จักส่งผู้ใดไปดูแลม่อเป่ย”

แม้ในราชสำนักมีขุนศึกมิมาก ทว่าอย่างน้อยก็มีเกือบ 20 คน หรือเจ้าเด็กนี่รู้ว่าฮ่องเต้จักส่งผู้ใดไปเป็นแม่ทัพใหญ่ ?

“ในราชสำนักผู้ที่มีชื่อเสียงทัดเทียมฟู่หวางก็มีแต่แม่ทัพใหญ่ลู่เทียนหยาเท่านั้น ทว่าลู่เทียนหยาต้องคอยปกป้องชายแดนต้าโจวจากซีเหลียงตลอดทั้งปี มิมีทางแยกร่างมาได้ ฮ่องเต้จึงต้องหาแม่ทัพที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือทุกคนแต่ไร้ภูมิหลังอันใด”

มู่จวินฮานกล่าวพร้อมแววตาสั่นไหวเล็กน้อย เมื่อนึกถึงในตอนนั้นเขาเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงจอมยุทธ์คนหนึ่งที่โดนศัตรูตามสังหาร เขาจึงยื่นมือไปช่วยเหลืออีกฝ่ายไว้และเมื่อเห็นว่ามีวรยุทธ์สูงส่งและพอมีไหวพริบอยู่บ้าง เขาจึงเปลี่ยนสถานะให้ใหม่ จากนั้นก็ส่งไปอยู่ในค่ายทหาร

ผ่านไปมิกี่ปี อีกฝ่ายก็กลายเป็นทหารที่มีชื่อเสียงของต้าโจวเสียแล้ว

“เจ้าหมายถึงหวางอวี้น่ะหรือ ? ”

เมื่อได้ฟังมู่จวินฮานกล่าวออกมาเยี่ยงนั้น อ๋องมู่ก็นึกถึงคนผู้นี้ขึ้นมา เขามีรูปงามเหมือนบัณฑิต แต่มีพลังร้ายกาจจนสามารถทุบหินด้วยมือเปล่าได้ และเพราะสามารถสังหารผู้นำในกองทัพศัตรูซีเหลียงจึงได้เลื่อนยศไปทีละขึ้นจนก้าวสู่*จินหลวนเตี้ยนได้

หรือคนผู้นี้เป็นคนของฮานเอ๋อ ?

ขณะที่อ๋องมู่กำลังคิดเช่นนี้ก็เห็นมู่จวินฮานพยักหน้า “ในตอนนั้นลูกเคยช่วยเขาไว้และเขาก็กล่าวเองว่าไร้ที่ไป ลูกจึงส่งเขาไปอยู่ในค่ายทหาร”

มีบางเรื่องมิต้องพูดให้ชัดเจนก็ทำให้อ๋องมู่เข้าใจที่มาที่ไปแล้ว

หากคนผู้นี้เป็นคนของฮานเอ๋อ เขาก็มิต้องกังวลว่าฮ่องเต้จักลอบสังหารบุตรชายแล้ว

อ๋องมู่สบายใจทันที “ในเมื่อเป็นเยี่ยงนั้น ก่อนที่เจ้าจักไปม่อเป่ย…”

“ฮานเอ๋อจักไปม่อเป่ยหรือ ? ”

ทันใดนั้นเสียงที่อ่อนหวานและคุ้นหูของสตรีผู้หนึ่งก็ดังขึ้น ร่างเพรียวบางของมู่หวางเฟยปรากฎขึ้นตรงหน้าของทั้งสองพร้อมม่านลูกปัดที่เปิดออก

ถ้วยชาขาวขอบทองในมือนางปล่อยไอร้อนระอุ ทำให้ใบหน้ามืดมนดั่งพายุฝนของนางโดนปกปิดไว้

แม้ใบหน้าของมู่หวางเฟยเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่แววตาแสนกังวลต่อเรื่องที่ได้ยินมิน้อย นางวางถ้วยชาบนโต๊ะแล้วหันไปมองมู่จวินฮาน “เหตุใดเจ้าต้องไปม่อเป่ย ? ”

“นี่คือพระประสงค์ของฮ่องเต้ขอรับ” มู่จวินฮานตอบมารดาพร้อมส่งสายตาให้อ๋องมู่ ทั้งสองจึงจบบทสนทนาเมื่อครู่ไปโดยปริยาย

เมื่อเห็นเช่นนั้นอ๋องมู่จึงเข้าไปจับมือนางราวกับได้จับสมบัติล้ำค่าที่สุด แววตาดุร้ายของเขาก็อ่อนโยนขึ้นทันที “เจ้าร่างกายมิแข็งแรง รีบนั่งลงเถิด”

มู่หวางเฟยกำลังจักกล่าวอันใดบางอย่าง แต่ทันใดนั้นนางก็ไอเบา ๆ สองครั้ง มู่จวินฮานจึงรีบลุกขึ้นแล้วประคองนางให้นั่งลง

“หมู่เฟยสุขภาพมิแข็งแรงและตอนนี้ยังอยู่ในช่วงลมแรง ชานี้ให้บ่าวนำมาก็ได้ ท่านอย่าทำให้ตนเองต้องเหนื่อยจนเกินไปเลยขอรับ” มู่จวินฮานเมื่อเผชิญหน้ากับมู่หวางเฟยก็ผ่อนคลายน้ำเสียงลง

“แม่มิเป็นไร” มู่หวางเฟยส่ายหน้าพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน

จากนั้นนางก็มองมู่จวินฮานราวกับจักเค้นเอาคำตอบ “มิกี่ปีก่อนฟู่หวางของเจ้าเพิ่งได้กลับมาจากม่อเป่ย ทั้งต้องไปเฝ้าอยู่ที่นั่นประมาณสองสามเดือนเป็นครั้งคราว แล้วเหตุใดฮ่องเต้ยังส่งเจ้าไปที่นั่นอีก ? ”

สองพ่อลูกเก็บความระแวงของฮ่องเต้ที่มีต่อจวนอ๋องมู่ไว้อย่างมิดชิด เพราะกลัวว่ามู่หวางเฟยทราบเรื่องนี้แล้วจักคิดมากจนส่งผลกระทบต่อร่างกาย แม้มู่หวางเฟยรู้สึกตลอดว่าการกระทำของฮ่องเต้มิชอบมาพากล แต่นางก็มิได้คิดอันใดมากนัก

มู่จวินฮานแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน ใบหน้าไร้ความเคร่งขรึมหรือจริงจังเยี่ยงเมื่อครู่ “หมู่เฟยอย่างห่วงไปเลยขอรับ ลูกมีฐานะเป็นซื่อจื่อของจวนอ๋องมู่ ในอนาคตต้องรับหน้าที่ดูแลทหารนับแสนต่อจากฟูหวางอยู่แล้ว เพื่อปกป้องม่อเป่ยให้ต้าโจว ตอนนี้ฮ่องเต้ส่งลูกไปก่อนก็เพียงอยากให้ทำความคุ้นเคยกับการทำศึกเท่านั้น เป็นเรื่องปกติมากและท่านมิต้องกังวลหรอกขอรับ”

“ที่แท้ก็เป็นเยี่ยงนี้” แม้ความสงสัยในใจของมู่หวางเฟยจางหายไป แต่ใบหน้าก็ยังหลงเหลือความกังวลอยู่ “ฮานเอ๋อจักไปม่อเป่ยที่ทุรกันดารเยี่ยงนั้น อาจเผชิญกับพวกที่ชอบก่อความวุ่นวายและต้องทำศึกอีกหลายครั้ง ช่างอันตรายยิ่งนัก”

“หมู่เฟย นี่เป็นสิ่งที่ลูกต้องเผชิญขอรับ” มู่จวินฮานใช้น้ำเสียงอ่อนโยน แต่มู่หวางเฟยมิได้สบายใจขึ้นแม้แต่น้อย

ในแววตาของนางทอประกายสิ้นหวังพอสมควร ขณะเดียวกันก็ถอนหายใจยาวเหยียด “ช่างเถิด ในเมื่อเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ พวกเราจักขัดราชโองการมิได้ พรุ่งนี้แม่จักไปวัดเพื่อขอ*ยันต์ผิงอันให้เจ้าสักผืน”

ทว่าผู้ที่จักไปขอยันต์ผิงอัน มิได้มีเพียงมู่หวางเฟยคนเดียว

ในเวลานี้หวังซื่อกำลังกึ่งนอนกึ่งนั่งเพราะเสียเลือดจำนวนมาก ใบหน้ายังคงซีดเซียวเหมือนเดิม

สาวใช้ที่อยู่ข้างกายจึงรีบหาหมอนอิงสีทองปักลายดอกบัวมาให้นาง “นายหญิงรองเจ้าคะ พรุ่งนี้เราไปขอยันต์ผิงอันสักผืนดีไหมเจ้าคะ ? ”

หวังซื่อมีอาการเสี่ยงแท้งบุตรถึง 2 ครั้งแล้ว สาวใช้จึงรู้สึกกังวลมิน้อย

ตอนที่เกิดเรื่องกับนายหญิง นางมิได้อยู่ข้างกาย เมื่อเจ้านายกลับมาที่เรือน นางก็เห็นตรงกระโปรงด้านนอกของนายหญิงเต็มไปด้วยโลหิตจึงตกใจจนหน้าซีดและเกือบเป็นลม

โชคดีที่นายหญิงเป็นคนดีฟ้าคุ้มครอง บุตรในครรภ์จึงมิเป็นอันใด มิเช่นนั้น…

ในขณะที่สาวใช้คิดเรื่องพวกนี้ ปากของนางก็กล่าวออกมา “ตอนที่พวกเราอยู่บ้านบรรพบุรุษ แม้มินับว่ามีชีวิตหรูหราอันใดแต่ก็อยู่อย่างสงบสุข ตั้งแต่ที่ท่านย้ายมาอยู่เมืองหลวงก็มีอาการนี้ถึง 2 ครั้ง บ่าวคิดว่าอาจเพราะจวนนี้มิถูกโฉลกกับนายหญิงจึงเกิดเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้นเจ้าค่ะ”

เดิมทีหวังซื่อหลับตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นในทันที น้ำเสียงค่อนข้างไร้เรี่ยวแรงแต่ท่าทางดุดันกล่าวว่า “เจ้าจักบอกว่าเรื่องที่เกิดในวันนี้เป็นอุบัติเหตุหรือ ? ”

เดิมทีสาวใช้ก็มิได้คิดว่าเป็นอุบัติเหตุ แค่มิกล้ากล่าวออกมาเท่านั้น

เมื่อได้ยินคำถามของหวังซื่อ นางก็นิ่งคิดอยู่พักหนึ่งเพื่อเรียบเรียงคำพูด จากนั้นก็ก้มหน้าลง “มิว่าเป็นอุบัติเหตุหรือโดนคนลอบทำร้าย นายหญิงก็ควรไปขอยันต์ผิงอันติดกายไว้สักผืนนะเจ้าคะ”

หวังซื่อกำลังครุ่นคิดตามอย่างหนัก

ที่นางเกือบแท้งครั้งก่อนเป็นเพราะอันหลิงอีผลักทำให้นางล้มกระแทกพื้น คราวนี้นางยืนอยู่ในเรือนอันหลิงเกอดี ๆ ก็เกือบต้องเสียบุตรในครรภ์ไป

ครั้งแรกเป็นเพราะอันหลิงอี แล้วครั้งที่สองเป็นฝีมือมนุษย์ด้วยหรือ ?

นางมิค่อยมั่นใจแต่ก็พยักหน้าเล็กน้อยเพราะเห็นด้วยกับความคิดของสาวใช้

“เยี่ยงนั้นเจ้าก็ไปเตรียมตัวแล้วพรุ่งนี้ข้าจักไปขอยันต์ผิงอันที่วัด”

ในขณะที่หวังซื่อกำลังเตรียมตัวไปขอยันต์ผิงอันที่วัด สาวใช้ที่กวาดพื้นในเรือนของนางคนหนึ่งก็แอบออกนอกเรือนไปยังเรือนของหลี่ซื่อ

“จงเรียนฮูหยินรองว่าพรุ่งนี้นายหญิงรองจักไปวัด”