ตอนที่ 242 ไม่ได้เป็นอะไรกันจริง ๆ

แม่สาวเข็มเงิน

เจียงป่าวชิงเฉลียวฉลาด นางเห็นความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ในใจของเจียงหยุนชาน

แม้เรื่องของนางกับกงจี้จะไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องดึงเจียงหยุนชานเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เจียงหยุนชานต้องเป็นห่วงเปล่า ๆ

เจียงป่าวชิงโบกมือให้พี่ชาย นางพยายามยิ้มให้ออกมาดูเหมือนคนไม่ได้มีเรื่องคิดมากอะไร “พี่ไปเถอะ ข้าอยากกินซี่โครงแล้ว พี่ซื้อซี่โครงมาด้วยนะ คืนนี้เราจะทำซี่โครงนึ่งเต้าซี่กินกัน”

เจียงหยุนชานไม่กลัวเจียงป่าวชิงขอให้เขาทำอะไร เขากลัวว่าเจียงป่าวชิงจะห่อเหี่ยวและไม่มีชีวิตชีวามากกว่า ตอนนี้เมื่อเห็นเจียงป่าวชิงเป็นฝ่ายบอกว่าอยากกินซี่โครง ทำไมเขาจะไม่อนุญาตล่ะ

เขาตอบรับอย่างดีใจ รีบกำชับน้องสาวของตัวเองให้พักผ่อนมาก ๆ เสร็จแล้วก็เดินถือตะกร้าออกจากบ้าน

หลังจากที่เงาของเจียงหยุนชานหายไปจากสายตา รอยยิ้มบนใบหน้าเจียงป่าวชิงก็เหมือนถูกคนเช็ดทำความสะอาดหายไปอย่างไรอย่างนั้น มันค่อย ๆ จืดจางลง

เจียงป่าวชิงค่อย ๆ เดินไปยังชิงช้านั้น นางนั่งลงบนชิงช้า เมื่อขาของนางออกแรงดัน ชิงช้าก็ค่อย ๆ สั่นไหวไปตามแรงที่ดัน

บ้านข้าง ๆ หลังนี้ เดิมทีเป็นบ้านของกงจี้ มันไม่ได้ถูกซ่อมแซมหรือถูกสร้างใหม่

เรื่องในอดีตของนางกับกงจี้กลายเป็นซากปรักหักพังเหมือนกับบ้านหลังนั้น

เจียงป่าวชิงแกว่งชิงช้า นางกลั้นน้ำตาไม่ไหวแล้ว มันค่อย ๆ ไหลลงมา เกรงว่าชั่วชีวิตนี้นางคงไม่ได้เจอกงจี้อีกแล้ว… คงไม่ได้เห็นชายหนุ่มรูปงามผู้สูงศักดิ์เลิกคิ้วนั่งมองนางอยู่บนพื้นที่ยกสูง และพูดด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยว่า ‘ทำไมถึงเพิ่งมา ?’ อีกแล้ว

เจียงป่าวชิงร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด

……

สองพี่น้องเจียงทำอาหารกันอย่างสนุกครึกครื้น ถือว่าเป็นการอุ่นเครื่องและยังเป็นการเฉลิมฉลองบ้านหลังใหม่ของพวกเขาสองคนอีกด้วย

บ้านที่สร้างใหม่นี้ ภายนอกดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ภายในกลับอยู่ได้อย่างสบายมาก ภายในห้องนอนของเจียงป่าวชิงได้รับการตกแต่งอย่างครบครัน แม้แต่แป้งน้ำสำหรับทาพวงแก้มบนโต๊ะวางเครื่องสำอางก็ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย

เมื่อเจียงป่าวชิงเห็นของพวกนี้ก็รู้สึกแสบร้อนในใจ มือเล็ก ๆ เผลอเลื่อนไปคลำกำไลข้อมือที่ใส่อยู่บนแขนซ้ายโดยไม่รู้ตัว

นางหลับตา บังคับให้ตัวเองคิดได้ ช่างเถอะ ถ้าหากว่ามัวแต่นั่งมองสิ่งของแล้วนึกถึงคนที่มอบให้ ก็ไม่ต้องเป็นอันทำอะไรอย่างอื่นกันพอดี

หลับได้หนึ่งตื่น วันพรุ่งเมื่อตื่นมาก็เป็นวันใหม่แล้ว

ไม่รู้ว่าเจียงป่าวชิงพูดพึมพำไปแล้วกี่ครั้ง ในที่สุดนางก็หลับไปภายใต้ผ้านวมอ่อนนุ่มคลุมกาย

ยามเมื่อตื่นขึ้นในวันต่อมา คงเป็นเพราะเลือดที่ได้อาเจียนออกไป เจียงป่าวชิงจึงรู้สึกสบายตัวขึ้นไม่น้อยเลย นางออกกำลังกายเลียนแบบท่าสัตว์อยู่ในลานบ้านอย่างเชื่องช้า ยืดเส้นยืดสายเอ็นกับกระดูกเสร็จแล้วก็บอกเจียงหยุนชานที่ตื่นมาอ่านหนังสือแต่เช้าว่าจะลงจากภูเขาเพื่อไปซื้อผักในหมู่บ้าน

บ้านสร้างใหม่แล้ว แต่ผักที่ตั้งใจปลูกเป็นพิเศษก่อนหน้านี้ถูกไฟเผาจนเกลี้ยง ตอนนี้จึงต้องไปซื้อผักในหมู่บ้าน

เดิมทีเจียงหยุนชานเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของเจียงป่าวชิงและจะเป็นฝ่ายไปซื้อเอง แต่เจียงป่าวชิงโบกมือห้ามเขาไว้ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าดีขึ้นเยอะแล้ว ออกไปเดินจะได้ส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจยังไงล่ะ”

เจียงหยุนชานเองก็เห็นด้วยกับน้องสาว แต่เขายังไม่เบาใจ สุดท้ายเขาก็วางหนังสือลงและพูดกับนางด้วยความเป็นห่วง “ป่าวชิง ให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าดีไหม ?”

“พี่ ข้าไม่ใช่เด็กสี่ห้าขวบนะ” เจียงป่าวชิงพูดอย่างจนปัญญา “เส้นทางในหมู่บ้านข้าไปไม่ต่ำกว่าแปดร้อยครั้งแล้ว หลับตาก็ยังไปถูกเลย ทำไมพี่ถึงไม่วางใจให้ข้าไปล่ะ ?”

สุดท้าย เจียงหยุนชานก็ประนีประนอมยอมให้นางไปเอง หลังจากที่เขากำชับเจียงป่าวชิงครั้งแล้วครั้งเล่า เขาถึงจะยอมปล่อยให้เจียงป่าวชิงออกจากบ้าน

เจียงป่าวชิงรู้สึกว่าเจียงหยุนชานเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ไม่ค่อยพูดค่อยจา แต่ทำไมตอนอยู่ที่บ้านเขากลับมีแนวโน้มกลายเป็นพระถังช่างพูดขึ้นเรื่อย ๆ ล่ะ ?

เจียงป่าวชิงส่ายหน้า นางรีบลงจากภูเขาราวกับกำลังหนี

ปีนี้น่าจะเป็นปีที่แห้งแล้ง แต่หลังจากฝนตกหนักต่อเนื่องกันหลายวันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แปลงปลูกพืชผักในไร่นาของชาวบ้านก็ดีขึ้น ตอนนี้ชาวไร่ชาวนาจำนวนมากในชีหลี่โวพากันแบกปุ๋ยชั้นดีเตรียมนำไปบำรุงพืชที่ปลูกในไร่นา และบังเอิญว่าเจียงป่าวชิงก็เจอกับครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่ในระหว่างทางพอดี พวกเขากำลังแบกปุ๋ยไปนาอย่างคึกคัก

เจียงเหล่าหวู่ไม่ได้เจอเจียงป่าวชิงนานแล้ว ตอนนี้เมื่อเขาเห็นเจียงป่าวชิงเขาก็ดีใจมาก เขากลัวว่ากลิ่นปุ๋ยที่แบกอยู่จะไปติดตัวสาวน้อย จึงวางหาบปุ๋ยลงด้านข้างแล้วปัดเสื้อผ้า เหมือนว่าทำแบบนี้แล้วจะสามารถกำจัดกลิ่นผิดปกติที่ติดอยู่บนตัวออกได้อย่างไรอย่างนั้น

แต่เจียงป่าวชิงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ นางเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเจียงเหล่าหวู่ด้วยตัวเองแล้วทักทายเขาอย่างรื่นเริง “ท่านปู่ห้า สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะ กำลังจะไปนาหรือเจ้าคะ ?”

“ใช่แล้ว” เจียงเหล่าหวู่รีบยกมือห้ามเจียงป่าวชิงที่กำลังจะเดินมายืนใกล้ ๆ เขา “ไอ้ยาป่าวชิง! เจ้าอย่าเข้ามา เดี๋ยวถ้ากลิ่นติดตัวแล้วจะไม่ดีเอา”

เจียงป่าวชิงเห็นเจียงเหล่าหวู่มีท่าทีประหม่าก็รู้สึกขบขันระคนตื้นตันใจไปพร้อม ๆ กัน

เจียงเหล่าหวู่สังเกตเจียงป่าวชิง เมื่อเขาเห็นว่าสีหน้าของเจียงป่าวชิงยังดีอยู่ แต่ดูเหมือนนางซูบลงเล็กน้อยก็คิดว่าไม่ง่ายเลยที่จะทำมาหากินกับผู้สูงศักดิ์

เจียงเหล่าหวู่พูดขึ้นเสียงเบา “ป่าวชิง เจ้ากับไอ้หนุ่มผู้สูงศักดิ์คนนั้นสบายดีไหม ?”

ไอ้หนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่ว่าคงหมายถึงกงจี้

เจียงป่าวชิงชะงักไปเล็กน้อย ผ่านไปสักครู่ถึงจะพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ท่านปู่ห้าทำไมถึงถามเรื่องนี้ล่ะเจ้าคะ ? ข้ากับผู้สูงศักดิ์คนนั้นไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”

“ไม่ได้เป็นอะไรกันงั้นรึ ?” เจียงเหล่าหวู่เบิกตากว้างตกใจไปชั่วขณะ เขามองบริเวณรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าพวกหลาน ๆ แบกปุ๋ยเดินไปก่อนแล้ว และไม่มีใครอยู่รอบ ๆ แล้ว เขาถึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ทำไมถึง… ไม่ได้เป็นอะไรกันล่ะ ? คนในหมู่บ้านเขาต่างพูดกันว่าเจ้ากับผู้สูงศักดิ์คนนั้น…”

เจียงเหล่าหวู่พูดอย่างนุ่มนวล เจียงป่าวชิงกลับมาที่หมู่บ้านหลายครั้ง นางเองก็เดาได้คร่าว ๆ แล้วว่าคนในหมู่บ้านเล่าต่อ ๆ กันว่าอย่างไร คงไม่น่าฟังกว่านี้มาก

นางไม่อยากมีความเกี่ยวข้องอะไรกับกงจี้อีกแล้ว แต่ข่าวลือยังคงต้องการรวมพวกเขาสองคนเข้าด้วยกันเสียอย่างนั้น

เจียงป่าวชิงพยายามอธิบายให้เจียงเหล่าหวู่ฟัง “ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ ท่านปู่ห้า ที่บ้านข้าไฟไหม้ในครั้งนี้เป็นเพราะเหตุที่เกิดจากทางฝั่งของผู้สูงศักดิ์คนนั้น เขาจึงช่วยเหลือเรื่องที่พักชั่วคราวให้ข้ากับพี่หยุนชาน และช่วยสร้างบ้านใหม่ให้ ตอนนี้บ้านก็เสร็จแล้ว ข้ากับพี่ชายจึงต้องกลับมาเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ”

เจียงเหล่าหวู่เบิกตากว้าง “ถะ… ถ้างั้นเจ้ากับไอ้หนุ่มผู้สูงศักดิ์คนนั้นไม่ได้เป็นอะไรกันจริง ๆ อย่างนั้นรึ ?”

สีหน้าเจียงป่าวชิงแปลกประหลาดไปครู่หนึ่ง ทว่านางก็พยักหน้าในที่สุด “ใช่เจ้าค่ะ ข้ากับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันจริง ๆ”

“ไอ้โย! ข้าบอกแล้วว่าป่าวชิงของเราไม่ใช่คนแบบนั้น” เจียงเหล่าหวู่ตบขาอย่างดีใจ

เป็นเพราะหญิงแก่ที่บ้านคอยพูดกรอกหูเขาทุกวันว่าเจียงป่าวชิงหนีตามไอ้หนุ่มผู้สูงศักดิ์คนนั้นไปรุ่งเรืองแล้ว และบอกให้เขาพักความคิดที่จะให้เจียงเฟยผู้เป็นหลานชายคนที่สามแต่งงานกับเจียงป่าวชิงซะ

เจียงป่าวชิงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเจียงเหล่าหวู่ นางยกตะกร้าผักในมือขึ้น “ท่านปู่ห้า ข้าไปซื้อผักก่อนนะเจ้าคะ ข้ากับพี่ชายกลับมาอยู่ที่นี่แล้ว หากว่าท่านมีเวลาว่าง ข้าก็อยากชวนท่านมากินข้าวที่บ้านเจ้าค่ะ”

“ได้ ได้สิ” เจียงเหล่าหวู่พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง เขายิ้มพลางโบกมือให้เจียงป่าวชิง “ป่าวชิงเจ้าไปเถอะ ข้าเองก็จะไปนาแล้วเหมือนกัน ดีที่ได้เจ้าให้บ้านข้าเช่าที่ดินห้าไร่ เราจึงมีทั้งพืชผลและรายได้เพียงพอ ตอนนี้สามารถเลี้ยงดูพวกหลาน ๆ ให้มีเรี่ยวมีแรงได้แล้ว และทำให้พวกเขาทำงานได้เร็วขึ้นมาก เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ วันหลังข้าค่อยให้เจียงเฟยนำอาหารป่ามาฝาก”

เจียงป่าวชิงไม่ได้ปฏิเสธ นางตอบรับยิ้ม ๆ แล้วเดินจากไป

เจียงเหล่าหวู่มองเงาของเจียงป่าวชิงที่เดินจากไปไกล จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ หัวคิ้วที่เริ่มมีสีขาวแซมเล็กน้อยก็ขมวดเข้าหากัน

ไม่เจอหลายวัน เจียงป่าวชิงน่ารักจิ้มลิ้มมากขึ้นเรื่อย ๆ

เด็กคนนี้อายุยังน้อย เมื่อนางเติบโตขึ้นอีกหน่อย ชายหนุ่มหลาย ๆ คนคงจะมาหลงใหลนาง

ถ้าหากว่าเขาต้องการสู่ขอป่าวชิงกลับไปให้หลานชายคนที่สามของบ้าน เขาจะต้องวางแผนล่วงหน้าให้ดี ๆ แล้ว