โหลอวิ๋นชวีลังเลและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โอ้ ได้ งั้นข้าจะให้ทุกคนได้มีประสบการณ์นี้ด้วยตนเอง” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็นำเอาม้วนหนังสือออกมา และค่อยๆ คลี่มันออกเพื่อเผยให้เห็นกระดาษแผ่นบางๆ ที่มีความมันเงาของโลหะ
โหลอวิ๋นชวีส่องแผ่นกระดาษนั้นไปยังฉินมู่ ร่างของเขาสั่นเทิ้มเมื่อไม่อาจข่มระงับความตื่นเต้นเอาไว้ได้
“ข้าเหยียบย่ำจนรองเท้าสึกหรอเพื่อตามหาตัวเขา แต่ครั้งจะพบก็พบได้ง่ายๆ ที่นี่เอง ที่แท้ เขาก็คือฉินเฟิงชิง!”
โหลอวิ๋นชวีลิงโลดและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นเรื่องดีอันเกินคาด มหาราชา เจ้าคงอยากจะชื่นชมบันทึกเป็นตายของสภาสวรรค์มาตั้งนานแล้วสินะ? ข้าได้นำมันออกมาแล้ว ดังนั้น เจ้าเอาไปสิ ชื่นชมมันได้”
ฟู่ยื่อลัวใจเคลื่อนเล็กน้อย เขารีบรับมันมาด้วยสองมือ และเพ่งพิศดูอย่างละเอียด
เขานั้นได้หมายตาบันทึกเป็นตายมาเป็นเวลานาน มันเป็นสมบัติวิเศษแห่งสภาสวรรค์และแดนใต้พิภพ ถ้าพูดให้ชัดแล้ว บันทึกเป็นตายของสภาสวรรค์ได้ลอกเลียนแบบมาจากแดนใต้พิภพ แม้ว่าบันทึกเป็นตายของแดนใต้พิภพจะมีระบบการใช้งานไม่กี่อย่าง แต่บันทึกเป็นตายของสภาสวรรค์มีระบบการใช้งานมากมายอันล้วนแต่ทรงพลัง!
บันทึกเป็นตายของสภาสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมาโดยจักรพรรดิดำ วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของแดนบาดาลมาจากแดนใต้พิภพ และกระนั้น แดนบาดาลก็ยังล้ำหน้าไปกว่าแดนใต้พิภพ
ฟู่ยื่อลัวใช้บันทึกเป็นตายเพื่อฉายส่องไปรอบๆ ทุกๆ คน และไม่ว่าใครที่ถูกฉายส่องไป รูปของคนผู้นั้นก็จะปรากฏบนกระดาษพร้อมๆ กับชื่อของตน!
“สมบัติมหัศจรรย์จริงๆ!”
ฟู่ยื่อลัวชมไม่หยุดปาก “สภาสวรรค์ใช้สมบัติชิ้นนี้เพื่อควบคุมความเป็นตายของผู้คน ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินถึงมารเทวะนามว่าเทพหมอผีขุย กำลังฝีมือเขาไม่ล้ำเลิศ แต่เขาได้ใช้บันทึกเป็นตายเพื่อกวาดล้างเทพเจ้ามากมายแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง”
โหลอวิ๋นชวีรับบันทึกเป็นตายของเขากลับมา และกล่าวอย่างสบายๆ “พลานุภาพของบันทึกเป็นตายนั้นเกินเจ้าจินตนาการมากนัก แดนบาดาลได้สร้างสมุดเป็นตายขึ้นมา และหนึ่งในนั้นที่ตกลงไปในมือของเทพหมอผีขุยนั้นไม่ต่างอะไรกับยื่นมุกให้กับสุกร แม้แต่แดนบาดาลของข้าก็มีสมบัติระดับนั้นเพียงไม่กี่ชิ้น การกลืนกินสวรรค์ไท่หวงนี้ก็จะต้องอาศัยความสามารถของบันทึกเป็นตาย–”
ขณะที่เขากำลังอธิบายอยู่นั่นเอง เขาก็พลันสังเกตพบว่าฉินมู่ที่กำลังขี่อยู่บนสัตว์ปริศนาไม่รู้จัก ก็นำเอาม้วนหนังสือวิเศษออกมา และคลี่เพื่อฉายส่องมายังพวกเขา
รอยยิ้มของโหลอวิ๋นชวีแข็งค้าง และสายตาของเขาเลื่อนไปจับยังสิ่งที่อยู่ในมือของฉินมู่ ม้วนหนังสือนั้นคือบันทึกเป็นตายอย่างแน่นอน! เขาไม่มีทางมองผิด!
“โหลอวิ๋นชวี ขุยชิงเผย ฟู่เอี๋ยนชี โหลเชียนจ้ง…” ฉินมู่อ่านชื่อของพวกเขาไปทีละคน
โหลอวิ๋นชวีและเทพอื่นๆ จากแดนบาดาลสั่นสะท้าน พวกเขาไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่เห็น บันทึกเป็นตายมีจำนวนน้อยนิดเป็นอย่างยิ่ง แล้วทำไมฉินมู่ถึงมีหนึ่งอัน
บันทึกเป็นตายของสภาสวรรค์กลายเป็นกอผักกาดที่ขึ้นอยู่ข้างถนนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าใครที่เขาพบก็ล้วนแต่มีบันทึกเป็นตายในมือ หรือว่าผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงก็จะมีอยู่หนึ่งเช่นกัน
ลู่หลีฉีกยิ้มและไม่บอกความจริงแก่พวกเขา นางคิดในใจ บันทึกเป็นตายของเขามาจากเทพหมอผีขุย ข้าได้ชื่อของเขาจากเจว้หวงด้วยความยากลำบาก แล้วพวกเจ้ายังกล้ามาขโมยความดีความชอบของข้าอีกหรือ สมน้ำหน้า
เดิมทีโหลอวิ๋นชวีวางแผนว่าจะใช้บันทึกเป็นตายจัดการกับเทพเจ้าและผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง แต่ทว่า หลังจากที่เห็นฉินมู่นำบันทึกเป็นตายออกมา เขาก็มีความคิดอื่น
ฉินมู่เก็บบันทึกเป็นตายและถามโหลเชียนจ้ง “เจ้ามาที่นี่เพื่อสังหารข้า?”
โหลเชียนจ้งงุนงงเล็กน้อยและมองไปที่เขา โหลอวิ๋นชวีกล่าวอย่างแผ่วเบา “ศิษย์น้อง เขาคือฉินเฟิงชิง”
โหลเชียนจ้งฉีกยิ้ม “ข้ามาที่นี่เพื่อคร่าตัวเจ้า ข้าไม่สนใจสังหารเจ้า”
“นี่นับว่าเป็นจังหวะปราณแห่งกายาจ้าวแดนดินจริงๆ ที่ชักนำพวกเราให้เข้ามาเจอกัน รอตรงนี้สักประเดี๋ยว!”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น ฉินมู่ก็ขี่กิเลนมังกรกลับเข้าไปในเมืองหลี ทิ้งเส้นทางไฟเอาไว้ ความเร็วของเขารวดเร็วอย่างยิ่งยวดจนทุกคนอ้าปากค้าง หวางมู่หรันหันไปมองกวางยักษ์ข้างๆ ตัวและถามด้วยเสียงเบา “เจ้าวิ่งได้เร็วขนาดนั้นไหม”
กวางใหญ่แตกตื่น เขาส่ายหัวและตอบ “ข้าทำไม่ได้ แต่ว่าความอดทนของเขาไม่ยืนนานนักหรอก อีกอย่าง เขานั้นตะกละโลภมาก ดังนั้นเขาจะต้องยัดอาหารเข้าไปอีกมากมาย และขุนตัวเองเป็นหมูอีกครั้งเป็นแน่ ไม่นานนัก ข้าก็จะวิ่งเร็วและทนกว่าเขา”
ขณะที่เขากำลังกล่าวอยู่นั้น กิเลนมังกรก็ได้วิ่งออกมาจากเมืองหลีแล้ว และตอนนี้ก็มีผู้เฒ่าที่ไร้แขนขาอยู่บนหลัง
ฉินมู่ชี้ไปยังโหลเชียนจ้งและกล่าว “ผู้ใหญ่บ้าน นี่คือกายาจ้าวแดนดินปลอมจากแดนบาดาล ท่านพูดถูกแล้ว มันจะต้องมีกายาจ้าวแดนดินปลอมมาหาตัวข้า เมื่อเขาต่อสู้กับกายาจ้าวแดนดินปลอมซวีเซิงฮวา เขาก็เกือบสังหารซวีเซิงฮวาไปได้ ทักษะเทวะที่เขาใช้นั้นคล้ายคลึงกับประตูน้อมสวรรค์ แต่มันก็แตกต่างออกไป นั่นทำให้ข้าคิดว่าเขาคือกายาจ้าวแดนดินปลอม”
ผู้เฒ่าที่ไร้แขนขามองไปยังโหลเชียนจ้งและกล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้าจะโกหกเจ้าได้อย่างไร แต่เจ้าจะต้องระวังให้ดี ต่อจากนี้ไปก็จะยิ่งมีกายาจ้าวแดนดินปลอมเข้ามาท้าทายเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จังหวะปราณระหว่างกายาจ้าวแดนดินจะเชื่อมต่อกัน และพวกเขาก็จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นกายาจ้าวแดนดินปลอมด้วยเช่นกัน เขาจะแย่งชิงโชคชะตาของอีกฝ่ายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตนเอง หากว่าซวีเซิงฮวาถูกเขาสังหารไป โหลเชียนจ้งผู้นี้ก็จะได้รับโชคชะตาของซวีเซิงฮวา จากนั้นเจ้าก็จะตกอยู่ในอันตราย”
ผู้เฒ่านี้ค่อนข้างมั่นอกมั่นใจ ไม่ใช่ถ้อยคำอันกลวงเปล่า “หากว่าเจ้าสามารถสังหารเขาได้ เจ้าก็จะสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับโชคชะตาในฐานะกายาจ้าวแดนดินจริง”
ฉินมู่นำเอาสมุดน้อยออกมา และจดถ้อยคำเหล่านั้นลงไป “ไม่ว่ากายาจ้าวแดนดินปลอมจะต่อสู้กันไปมาเพื่อช่วงชิงโชคชะตากันมากเท่าไร พวกเขาก็ไม่มีวันกลายเป็นกายาจ้าวแดนดินจริงได้ พวกเขามีแต่ด้อยกว่าข้า” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็หันกลับและวิ่งกลับไปยังเมืองหลี พร้อมกับร่องรอยไฟข้างหลัง ส่งผู้เฒ่านั้นกลับเข้าไปในเมือง
โหลเชียนจ้งและคนอื่นๆ รู้สึกถึงความบ้าบออย่างสุดกู่ของสถานการณ์ เขาคิดอยู่ในใจ ‘ทักษะเทวะที่ข้าใช้เพื่อเอาชนะซวีเซิงฮวา นั้นคือประตูมืดแดนบาดาลชัดๆ ทำไมมันถึงกลายเป็นประตูน้อมสวรรค์ไปเสียได้ ยิ่งไปกว่านั้นทำไมการฝึกปรือประตูมืดแดนบาดาล ถึงกลายเป็นเครื่องแยกแยะระหว่างกายาจ้าวแดนดินจริงและกายาจ้าวแดนดินปลอม นี่มันทักษะเทวะจากแดนบาดาลของข้าชัดๆ! ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมข้าถึงไม่รู้ล่ะว่ากายาจ้าวแดนดินคืออะไร แล้วจังหวะปราณที่ชักนำทุกคนเข้ามาพบกันมันคืออะไร
ทันใดนั้น กิเลนมังกรก็วิ่งตะบึงกลับมาพร้อมกับฉินมู่ เขานั้นเร็วเหมือนสายฟ้าจริงๆ เมื่อวิ่งกลับไปมาเช่นนั้นได้ ทำให้ทุกคนได้แต่อิจฉา สัตว์พิสดารนี้ไม่รวดเร็วไปหน่อยหรอกหรือ
ฉินมู่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นก็มีรัศมีอันสะท้านใจส่งมาจากท้องฟ้า เทพเจ้าเกือบทั้งหมดเงยศีรษะขึ้นมอง และเห็นดวงดาวมหึมาที่กำลังลอยผ่านเข้ามาในท้องฟ้าแห่งสวรรค์ไท่หวง
ดาวเคราะห์นั้นอยู่ไม่ไกลจากแผ่นดินแห่งสวรรค์ไท่หวง และมันก็ดูใหญ่กว่าดวงจันทร์ถึงสี่ห้าเท่า ความเร็วของมันก็รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่หัวใจหวั่นไหวเล็กน้อย นั่นคือดาวผิดประหลาดของเทพชื่อซี! มันได้บุกเข้ามาในสวรรค์ไท่หวงจากสวรรค์หลัวฝู! ถ้าอย่างนั้น ผู้คนที่อพยพมาจากโลกลอยเลื่อนก็คงมาถึงกันหมดแล้ว!
ม่านคุ้มกันระหว่างสวรรค์หลัวฝูและสวรรค์ไท่หวงนั้นเปราะบาง และดาวผิดประหลาดอันเพิ่งบุกทะลุผ่านคุ้มกันระหว่างโลกเข้าไป ก็ได้ทิ้งรูโหว่ทะลุของห้วงอวกาศขนาดใหญ่เอาไว้ ราวกับกระจกที่ร้าวแตก เมื่อแสงสว่างส่องลงไปยังเศษอวกาศเหล่านั้น มันก็สาดแสงหลากสีออกมาดูตระการตาเป็นอย่างยิ่ง
ดาวผิดประหลาดเองก็กำลังเพิ่มพูนความเร็วของมัน เห็นได้ชัดว่ามันกำลังจะพุ่งทะลุผ่านม่านคุ้มกันโลกระหว่างสวรรค์ไท่หวงและสันตินิรันดร์ ร่วงลงไปยังท้องฟ้าของโลกหลังโดยตรง!
บนท้องฟ้า บนดาวผิดประหลาด เทพเจ้าสามเศียรหกกรหลายตนเหาะออกมา พวกเขาพันกว่าตนเหาะออกมาตรงหน้าดาวผิดประหลาด และฟาดลงไปด้วยทักษะเทวะ
ในเสี้ยวพริบตา ท้องฟ้าเหนือสวรรค์ไท่หวงก็ถูกฟาดทำลายด้วยเทพนับพันนี้ด้วยกำลังเถื่อน
ดาวมหึมาดังกล่าวค่อยๆ เข้าไปในห้วงอวกาศ และเดินทางเข้าสู่สันตินิรันดร์!
เมื่อท้องฟ้าถูกบีบอัดและบดให้แตกเป็นชิ้นๆ ด้วยแรงดึงดูดของดาวเคราะห์ ลำแสงเข้มข้นก็พลันพวยพุ่งออกจากสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ ยิงตรงไปยังท้องฟ้า!
แสงนี้เข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมันยิงโดนท้องฟ้า มันก็พวยพุ่งออกไป และก่อขึ้นมาเป็นวัตถุรูปทรงเมฆที่แผ่ขยายออกทุกทิศทาง แสงไหลบนท้องฟ้าค่อยๆ ร่วงลงมาราวกับหมึกขาวที่หล่นลงไปในน้ำ
จากสายตาของผู้เฝ้าดู ความเร็วที่แสงร่วงตกนั้นอาจจะดูเชื่องช้า แต่จริงๆ แล้วมันรวดเร็วอย่างยิ่งยวด!
มันคือพลังจิตวิญญาณ
สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณได้ใช้เพื่อก่อสร้างเส้นทางผ่านพลังงานระหว่างสวรรค์ไท่หวงและสันตินิรันดร์ และเมื่อดาวเคราะห์นั้นเบียดเข้าไปในโลกสันตินิรันดร์ พลังงานของสันตินิรันดร์จำนวนหนึ่งก็ได้ถูกย้ายสลับมาผ่านสะพาน รักษาสมดุลของพลังงานเอาไว้
ดาวดวงที่ได้อพยพมาในคราวนี้มีเทพเจ้านับพันและผู้คนหลายร้อยหมื่น ดังนั้นพลังงานที่ย้ายสลับมาจึงรุนแรงเชี่ยวกราก และแทบที่จะเกินขีดจำกัดของสะพานย้ายสลับ!
ขณะเดียวกันนั้นในเมืองหลี แรงสั่นสะเทือนที่ส่งมาจากสะพานย้ายสลับได้ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เมื่อเขาเห็นทั้งหมดนี่ สีหน้าของฉินมู่ก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณนี้ถูกหลอมสร้างมาด้วยมือเขาและศิษย์พี่เสือ ดังนั้นเขารู้ขีดจำกัดของสะพานเป็นอย่างดี หากว่าเทพเจ้าแห่งโลกลอยเลื่อนทั้งหมดอพยพผ่านสะพานไปพร้อมๆ กัน มันก็จะเกินขีดจำกัดของสะพาน ในกรณีนั้น สะพานย้ายสลับจะระเบิด!
หากว่าสะพานย้ายสลับระเบิดขึ้นมา ช่องทางย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็จะปิดลงไป! ดวงดาวก็จะถูกผ่าออกเป็นสองส่วนด้วยม่านคุ้มกันโลกที่งับหุบลง ครึ่งหนึ่งจะเหลืออยู่ในสวรรค์ไท่หวง ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งจะตกลงไปในสันตินิรันดร์!
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ผู้คนบนดาวผิดประหลาด ก็คงจะตายไปเกือบหมด เหลือรอดเพียงไม่กี่คน!
“ไอ้พวกโลกลอยเลื่อนมีแต่ป่าเถื่อน!”
ฉินมู่รีบตบสีข้างกิเลนมังกร และพวกเขาก็เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าทันทีด้วยเพลิงไฟที่ลุกโหมใต้เท้า เสียงของเขาดังมาจากเบื้องบน “โหลเชียนจ้ง ไว้สู้กันใหม่วันหลัง!”
“เจ้าคิดจะหนีหรือ”
โหลเชียนจ้งตาลุกวาบ และขนนกสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นมารอบกายของเขา เปลี่ยนเขาให้เป็นครุฑปีกดำ ด้วยจะงอยปากนกและใบหน้ามนุษย์ เขาสวมมงกุฎครุฑยอดแหลม เมื่อเขากระพือปีก พวกมันก็คลี่คลุมพื้นที่หลายลี้ และกวาดซัดลมพายุทั่วสารทิศ!
โหลเชียนจ้งดีดตัวทะยานขึ้นไป และเมื่อปีกเขาโบกสะบัด ลมดำก็คลุ้มฟ้าพลางขับเคลื่อนเขาไปยังกิเลนมังกร
ความเร็วของเขาว่องไวกว่ากิเลนมังกรเสียอีก!
เมื่อทั้งสองคนเหาะออกไป ฉีเจี่ยวอี๋ เจ๋อหัวหลี ซวีเซิงฮวา เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียน และคนอื่นๆ ก็รีบรุดตามพวกเขา ความเร็วของแต่ละคนแตกต่างกัน
ฉีเจี่ยวอี๋เร็วที่สุด เขาแปลงร่างเป็นนกหงส์เพลิงเก้าหัว และเขากระพือปีกบินไปไกล เขานั้นเร็วกว่าโหลเชียนจ้งเสียอีก!
ลำดับถัดมาคือซวีเซิงฮวา ที่มีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับทุกย่างก้าว ร่างของเขาปรากฏและหายวับไปมา ฝีเท้าของเขามิได้เร็วนัก แต่ไม่ว่าเมื่อใดที่เขาเหยียบลงไปบนดอกบัว เขาก็จะหายวับและไปปรากฏอีกที่ห่างไกลอันมีดอกบัวอีกดอกบานรองรับ
ท่ามกลางพวกเขา ความเร็วของเจ๋อหัวหลีช้าที่สุด แต่ละย่างก้าวที่เขาเดินไปนั้นเท่ากันเป๊ะ กลายเป็นการจำกัดความเร็วของเขาแทน
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ กังวลความปลอดภัยของทุกคน ดังนั้นเขาจึงเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า เขานั้นกำลังจะตามทุกๆ คนไป แต่ทันใดนั้น จังหวะปราณกระแสหนึ่งก็รั้งตัวเขาเอาไว้ เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ร่างแข็งทื่อ เขาร่อนลงมาจากอากาศ ไม่กล้าหันหลังกลับไป
ทันใดนั้น เขาก็เห็นชายท่าทางซึมเซาหดหู่เดินตรงมายังเขา และเขารู้สึกทันทีว่าจังหวะปราณที่ส่งมาจากข้างหลังเขาถูกระงับบรรเทา เขารู้ว่าชายผู้นี้คือคนที่ช่วยเขาเอาไว้ และทำให้เขาคลายใจลง
โหลอวิ๋นชวีขมวดคิ้วเล็กน้อย และมองไปที่บันทึกเป็นตาย ดวงตาของเขาพลันเป็นประกายขึ้นมา และแย้มยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นองค์ชายฉินอู่แห่งวังหยกสว่าง น่าสนใจอะไรอย่างนี้”
“องค์ชายฉินอู่แห่งวังหยกสว่าง!”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้หัวใจสั่นสะท้าน เขามองไปยังบรรพชนแรกและร้องออกมา “เจ้ายังมีชีวิตอยู่?”
บรรพชนแรกสีหน้าหมองลงไป สาเหตุที่เขาไม่เคยมาพบกับผางอวี้ ก็เพราะว่าเขาไม่ต้องการที่จะพบเจอกับเทพเจ้าแห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง เขานั้นแบกรับความรู้สึกผิดในหัวใจมาตลอด แต่ทว่า ในตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเผยตนออกมา ตัวตนของเขาไม่อาจเก็บงำเป็นความลับไว้ได้อีกต่อไป
โหลอวิ๋นชวีสายตาวูบไหว และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “รุ่นเยาว์ต่อสู้กันเองก็ดีแล้วล่ะ องค์ชายฉินอู่ก็มาชมดูเหตุการณ์อันไม่อาจคาดเดาได้นี่ด้วยหรือ”
บรรพชนแรกกล่าวอย่างแห้งแล้ง “ตกลง” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็เดินตรงไปยังสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ
ในจังหวะที่ย่างเท้าออกไป พื้นดินระยะหลายพันลี้ก็พลันหดและย่อรับไปยังพวกเขา เทพเที่ยงแท้ผางอวี้และคนอื่นๆ ไม่ได้ขยับตัว และพวกเขาก็พลันอยู่ห่างไกลไปอีกพันลี้ พวกเขามีสีหน้างุนงงอย่างชัดแจ้ง
ก้าวเดียวของบรรพชนแรกได้พาเขาตรงไปยังจุดที่ฉินมู่ขี่กิเลนมังกรอยู่อย่างแม่นยำ ในท้องฟ้า โหลเชียนจ้งสะบัดปีกของเขาและเหาะตรงไปยังกิเลนมังกร ด้วยกรงเล็บคมกริบของเขาก็ขยุ้มไปข้างหน้า เขาก็คว้าจับตัวฉินมู่และกิเลนมังกร
กรงเล็บของเขาคมกล้าอันตราย และพวกมันปกคลุมไปด้วยเกล็ดแปลกประหลาดที่สาดส่องแสงสีดำวาววาม รอยเส้นที่ใจกลางเกล็ดเหล่านั้นพิลึกกึกกือราวกับว่าเป็นดวงตาอันกำลังกะพริบอยู่
โหลอวิ๋นชวี ฟู่ยื่อลัว ลู่หลี และคนอื่นๆ ติดตามบรรพชนแรกมา พวกเขาเงยศีรษะขึ้นมอง เสียงโกรธเกรี้ยวของฉินมู่ดังออกมา “ข้าบอกเจ้าว่าไว้สู้กันใหม่วันหลัง! ตอนนี้ข้ามีธุระสำคัญต้องจัดการ ดังนั้นข้าไม่มีเวลาสู้กับเจ้า!”
ตูม
เสียงระเบิดดังสนั่นมาจากกลางอากาศ และโหลเชียนจ้งกระเด็นขึ้นไป กรงเล็บเหล่านั้นไร้ผลเมื่อฉินมู่สามารถปัดป้องเอาไว้ได้ แต่กิเลนมังกรถูกฟาดตกลงจากท้องฟ้า ลดความเร็วของเขาไปอย่างมหาศาล
“โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ อย่าได้คิดจะหนี!”
โหลเชียนจ้งโฉบเข้าใส่อีกครั้ง และฉินมู่ก็ป้องกันไว้อีกหน ผลักให้เขาถอนกลับไป กิเลนมังกรถูกกดลงมา และความเร็วของเขาก็ลดลงไปอีก
โหลเชียนจ้งทำเช่นนั้นอีกครั้งด้วยสีหน้าแช่มชื่น “หรือเจ้าเป็นคนขี้ขลาด เจ้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับข้าเลยสักนิด? โอรสศักดิ์สิทธิ์ถึงกับถูกข้าบีบให้หลบหนีไปยังสันตินิรันดร์เชียว!”
ฉินมู่พลันกระโดดลงจากกิเลนมังกร และเขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “มังกรอ้วน ไปต่อและรักษาเสถียรภาพของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณดั้งเดิม พี่ซวี พวกเจ้าก็มุ่งหน้าไปที่สะพานและช่วยข้ารักษาเสถียรภาพของอักษรรูนและแท่นสังเวยก่อน”
กิเลนมังกรทำตามคำสั่งเขาและพุ่งตรงไปยังสะพานย้ายสลับ ซวีเซิงฮวาก็ไม่หยุดดู และรีบตามกิเลนมังกรไป “พี่ฉิน ระวังด้วย กำลังฝีมือของคนผู้นี้ไม่อ่อนแอเลย ข้าไม่เคยเห็นทักษะเทวะเช่นนี้มาก่อน ทักษะเทวะความมืดของเขาคล้ายคลึงกับความมืดในแดนโบราณวินาศ”
“คล้ายคลึงกับความมืดในแดนโบราณวินาศ?” ฉินมู่สะท้านใจเล็กน้อยและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ
โหลเชียนจ้งหุบปีกของเขา และแปลงกายกลับเป็นร่างมนุษย์ เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ย “เพราะถึงอย่างไร ความมืดในแดนโบราณวินาศก็ถูกจัดวางเอาไว้ด้วยมือของอาจารย์ข้า จักรพรรดิดำแห่งแดนบาดาล”
ฉินมู่ผงกหัวและกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแห้งแล้ง “ขับเคลื่อนทักษะเทวะแดนบาดาล และแสดงให้ข้าดูหน่อยสิ”
โหลเชียนจ้งรับคำของของเขา และความมืดก็พลันโถมเทออกมาจากร่าง มันเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง และมันพลันคลี่คลุมพื้นที่ในรัศมีหลายสิบลี้ ร่างของเขาเหมือนกับจะย้ายไปอยู่ในอีกโลกมิติที่ห่างจากสวรรค์ไท่หวง เงาร่างสีดำนั้นพลันพุ่งเข้าใส่ฉินมู่โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง!
ใบหน้าของฉินมู่ยังคงไม่ยินดียินร้ายขณะที่จ้องไปยังเงาร่างอันพุ่งเข้ามาใส่เขาในความมืด โหลเชียนจ้งเหมือนกับว่าจะอยู่ในชั้นอวกาศอื่นที่สามารถหลบหลีกทักษะเทวะและการโจมตีทุกชนิดจากโลกมนุษย์ได้!
ในเวลาเดียวกันนั้น ประตูหนึ่งก็พลันปรากฏข้างหลังฉินมู่ และมันดูราวกับว่าจะมีสัตว์ประหลาดอันกำลังร้องคำรามโดยไร้เสียง มือหนาหยาบของมันคว้าจับสามง่ามใหญ่และเหวี่ยงด้วยพละกำลังอันสะสมไว้เข้ามาเสียบยังฉินมู่ผู้ยืนอยู่หน้าประตู!
“ที่แท้ ก็เป็นอย่างนี้”
สองหัวพลันปรากฏขึ้นมาที่คอของฉินมู่ ตามมาด้วยแขนอีกสี่ข้างอันงอกเงยขึ้นจากใต้รักแร้ของเขา ไจกระบี่ก็สั่นเทิ้มและแยกออกเป็นสาม
“แดนบาดาลที่ว่าๆ กันนั้นน่าจะเป็นเหมือนกับแดนยมโลก ที่แท้ก็ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของแดนใต้พิภพ ทักษะเทวะของเจ้า…”
ฉินมู่ปลดใบหลิวที่หว่างคิ้วของเขาลงมา และมันก็แยกออกมาเป็นสามเหมือนกับศีรษะทั้งสามของเขา เขาแปะมันกลับลงไปบนหว่างคิ้วทั้งสามของตนและปิดผนึกมันเอาไว้ต่อ
เขายกแขนสามข้าง นิ้วชี้ทั้งหมดของชี้ออกไปชิดกับนิ้วกลางและจี้แตะไปที่ใจกลางหว่างคิ้วก่อนจะวกแทงออกไป!
“…ถูกข้ามองทะลุแล้ว”