ตอนที่ 111-2 งานเลี้ยงยามค่ำคืน (2)

ชายาเคียงหทัย

องค์หญิงฉางเล่อเบ้ปากเอ่ยว่า “นางชอบทำเหมือนเหม็นขี้หน้าผู้ใดอยู่ตลอดเวลา แต่เสด็จพ่อก็มักจะฟังแต่นาง นางไม่เห็นดีที่ตรงใดเลย เจินหนิงร้องไห้นางก็ไม่เคยสนใจ เสด็จแม่ไม่มีทางทำเช่นนี้กับข้าแน่นอน เสด็จแม่รักฉางเล่อที่สุดแล้ว” ประโยคสุดท้ายนางกล่าวโอ้อวดด้วยความภาคภูมิใจ

 

 

“เจินหนิงหรือ” เยี่ยหลีหันมองม่อซิวเหยาด้วยความไม่เข้าใจ

 

 

ม่อซิวเหยาเพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “พระธิดาองค์ที่สองของฝ่าบาท องค์หญิงเจินหนิง บุตรสาวของหลิ่วกุ้ยเฟย”

 

 

เยี่ยหลีมองไปทางด้านหน้า ถึงได้รู้สึกว่า ดูเหมือนข้างกายหลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่ในชุดขาวหิมะจะขาดบางสิ่งบางอย่างไป ฮ่องเต้อนุญาตให้พระสนม รวมถึงพระโอรสและพระธิดาทั้งหมด สามารถขึ้นมาชื่นชมดอกไม้ไฟได้ ดังนั้นพระสนมที่มีตำแหน่งและมีบุตรทุกคนล้วนพาพระโอรสและพระธิดาขึ้นมาชมดอกไม้ไฟด้วย หากว่างานเลี้ยงก่อนหน้านี้ เป็นส่วนของพิธีการ ไม่สามารถพาเด็กมาด้วยได้แล้ว แต่ยามนี้แม้แต่พระโอรสพระธิดาที่อายุเพียงหนึ่งชันษา ก็ยังมีแม่นมคอยอุ้มอยู่ เช่นนั้นพระโอรสสองพระองค์กับพระธิดาสองพระองค์ของหลิ่วกุ้ยเฟยที่ไม่เห็นแม้แต่เงานี้ ก็ดูจะประหลาดอยู่สักหน่อย หนำซ้ำองค์หญิงรองปีนี้ก็มีอายุเจ็ดแปดชันษาแล้ว มิใช่เด็กเล็กๆ ที่ยังมิรู้เรื่องรู้ราว หรือจะเป็นจริงอย่างที่องค์หญิงฉางเล่อว่า หลิ่วกุ้ยเฟยไม่ทรงโปรดบุตรธิดาของตนเองอย่างนั้นหรือ

 

 

“องค์หญิงทรงเล่นกับองค์หญิงเจินหนิงบ่อยๆ หรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามยิ้มๆ

 

 

องค์หญิงฉางเล่อส่ายหน้า เอ่ยด้วยความไม่สบอารมณ์เล็กน้อยว่า “เจินหนิงไม่ชอบเล่นกับข้า นางชอบเล่นแต่กับน้องชายของนาง แต่นางก็ไม่ยอมให้ข้าไปพบน้องชายของนางด้วย เสด็จแม่ตรัสว่า เป็นเพราะข้าเด็กเกินไป ยังดูแลน้องไม่เป็น แต่…เจินหนิงเด็กกว่าข้าเสียอีกนี่นา”

 

 

เยี่ยหลีหยิกแก้มองค์หญิงฉางเล่อเบาๆ ในใจนึกลอบถอนใจเบาๆ ฮองเฮาปกป้ององค์หญิงฉางเล่อได้ดีจริงๆ

 

 

“มีผู้บุกรุก!” จู่ๆ ก็มีเสียงแหลมเล็กร้องดังขึ้น เงาดำกลุ่มหนึ่งพุ่งตัวออกมาจากความมืดตรงขึ้นมายังด้านบน เยี่ยหลีลอบกลอกตาอยู่เงียบๆ ยื่นมือออกไปดึงองค์หญิงฉางเล่อให้มาอยู่ข้างกาย

 

 

เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นบนหอดูดาวทันที องค์รักษ์กลุ่มใหญ่พุ่งตัวไปยังจุดที่ฮ่องเต้ ฮองเฮาและพระโอรสพระธิดาอยู่ทันที ขุนนางใหญ่และสตรีทั้งหลายที่อยู่ด้านล่าง ต่างหาที่หลบซ่อนกันเป็นพัลวัน

 

 

เพียงเหลือบตามองเยี่ยหลีก็รู้ทันทีว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคนในชุดดำกลุ่มนี้ มิใช่คนที่พวกเศษสวะที่ลอบทำร้ายพวกนางในคืนวันนั้นจะสามารถเทียบได้ ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี เพียงเผชิญหน้ากัน องค์รักษ์ที่อยู่ด้านบนหอก็ดูจะเสียเปรียบโดยทันที เลือดที่กระสานซ่านเซ็นทำให้สตรีทั้งหลายตกใจจนกรีดร้องออกมา ด้านบนหอเต็มไปด้วยความโกลาหล

 

 

องค์หญิงฉางเล่อหลบอยู่ข้างกายเยี่ยหลี โผล่เพียงศีรษะออกมาลอบแอบมอง เยี่ยหลีตบศีรษะนางเบาๆ “อย่าดู เดี๋ยวจะตกใจเสีย”

 

 

องค์หญิงฉางเล่อจึงรีบเก็บศีรษะลงไป เอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลว่า “ชายาติ้งอ๋อง เสด็จแม่กับเสด็จพ่อของข้าจะเป็นอันใดหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “วางใจเถิด ต่อให้ทุกคนที่นี่มีอันตราย พวกท่านก็ไม่เป็นอันใดแน่นอน” มีองครักษ์จำนวนมากเช่นนี้ล้อมอยู่ หากพวกเขายังมีอันตรายอีก คนที่อยู่บนหอนี้ทุกคนก็ควรถูกผู้บุกรุกพวกนั้นฆ่าตายให้หมดแล้ว

 

 

ขุนนางผู้ที่มีวิทยายุทธต่างทะยอยลุกออกไปรับมือนักฆ่าเหล่านั้น ไม่ใช่เพียงเพราะความปลอดภัยของตนเองและทุกคนเท่านั้น แต่นี่เป็นโอกาสที่จะได้แสดงความสามารถต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน

 

 

ม่อซิวเหยานั่งนิ่งอยู่ข้างเยี่ยหลี องครักษ์ลับที่ไม่รู้ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ยืนคอยคุ้มกันอยู่รอบๆ ตัวพวกนาง ถึงแม้จะมีคนสองคนที่เล็ดรอดเข้ามาได้ แต่ก็ถูกชิงหลวนและองครักษ์ลับสองและสามที่คอยยืนคุ้มกันอยู่จัดการไปโดยทันที จุดที่พวกนางอยู่ดูสงบนิ่งอย่างประหลาด ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายทางด้านบน

 

 

“ข้าว่า ท่านอ๋องมิต้องเข้าไปคอยช่วยคุ้มกันหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามเสียงเบาพร้อมมองไปทางม่อซิวเหยาด้วยสายตาล้อเลียน

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หากเข้าไปตอนนี้ฝ่าบาทคงมิได้คิดว่าข้าจะเข้าไปคุ้มกัน เกรงว่าจะคิดว่าข้าจะเข้าไปลอบสังหารเสียมากกว่า”

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าเหลือบตามองไปทางม่อจิ่งฉี ส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่าย ว่ากันว่าในยามนั้นฮ่องเต้เป็นบุคคลที่มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ นี่จะต้องกลัวตายเพียงใดถึงได้ให้องครักษ์ทางด้านบนเกือบทั้งหมดเข้าไปล้อมเพื่อคุ้มกันตนเองเช่นนั้น

 

 

ระหว่างที่จับตามองผู้บุกรุกอยู่นั้น ยังมิวายเหลือบสายตามองมาทางพวกตน เกรงว่าไม่เพียงม่อซิวเหยาเท่านั้น ยามนี้หากมีผู้ใดที่มีความเกี่ยวข้องกับตำหนักติ้งอ๋องลุกออกไปทางนั้น คงได้ถูกเหมารวมว่าเป็นผู้ลอบฆ่าด้วยอย่างแน่นอน

 

 

“เอ๋ ท่านอ๋องกับพระชายามานั่งสบายๆ อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายเช่นนี้ดูจะไม่ค่อยดีกระมัง” ห่างไปไม่ไกลนัก เยียหลี่ว์เหยี่ยกำลังรับมือกับนักฆ่าอยู่อย่างสบายๆ ซ้ำยังมีเวลาหันมาเอ่ยกลั้วหัวเราะกับม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มบางๆ พร้อมเอ่ยว่า “เพียงแค่นักฆ่าธรรมดาๆ ไม่กี่คน หากยังจัดการไม่ได้ จมีองครักษ์ลับในวังไปเพื่ออันใด”

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยหัวเราะเสียงก้องกังวาน “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้องแล้ว แค่โจรกระจอกเพียงไม่กี่คนไม่คู่ควรให้ท่านอ๋องต้องลงมือด้วยตนเองหรอก”

 

 

“องค์ชายเยียหลี่ว์ รบกวนท่านช่วยอยู่ห่างออกไปอีกสักหน่อยเถิด นักฆ่าถูกท่านดึงมาทางนี้ใหญ่แล้ว” องครักษ์ลับสามที่อยู่ด้านหน้าเยี่ยหลีเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พลางจัดการนักฆ่าที่พุ่งเข้าใส่

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยเลิกคิ้ว สายตาเหลือบมองร่างของนักฆ่าที่ล้มลงตรงหน้าองครักษ์ลับสาม แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ขอโทษที ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดนักฆ่าเหล่านี้ถึงได้ชอบวอแวข้านัก องครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องนี่ฝีมือไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

 

 

บนร่างของนักฆ่าที่ร่วงลงกับพื้นไม่มีร่องรอยบาดแผลเลยแม้แต่น้อย มีเพียงรอยแผลเล็กๆ อยู่ตรงบริเวณลำคอเท่านั้น แม้แต่เลือดก็ยังไม่มีไหลออกมาให้เห็น นักฆ่าผู้นั้นไม่มีอาการทุรนทุรายให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เพียงล้มลงกับพื้นและสิ้นใจตายทันที ฝีมือเช่นนี้ ต่อให้เป็นนักฆ่ามืออาชีพก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ดีกว่านี้

 

 

ชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ในชุดองครักษ์ธรรมดาทั่วไป ท่ามกลางความวุ่นวายและกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ เขากลับยังดูสบายและผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด

 

 

เยี่ยหลีมองความวุ่นวายตรงหน้า ก่อนคิ้วเรียวจะเลิกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงต่ำว่า “นักฆ่าพวกนี้บุกเข้ามาเพราะเยียหลี่ว์เหยี่ยหรือ”

 

 

นักฆ่าเหล่านี้ส่วนใหญ่พุ่งตัวมาทางเยียหลี่ว์เหยี่ย ซึ่งแน่นอนว่านี่อาจเกี่ยวกับการที่เยียหลี่ว์เหยี่ยดูจะแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น แต่การแต่งกายของเยียหลี่ว์เหยี่ยกับคนต้าฉู่นั้นต่างกันอย่างชัดเจน นักฆ่าเหล่านั้นไม่มีทางดูไม่ออก

 

 

ม่อซิวเหยาจับจ้องไปยังชายร่างกำยำที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าใกล้พวกเขาอย่างแนบเนียน ก่อนเอ่ยว่า “อาจเป็นได้ที่มีความเกี่ยวข้องกับเขา เพียงแต่…นักฆ่าเหล่านี้ล้วนเป็นคนจงหยวน ไม่ว่าจะเป็นตัวเยียหลี่ว์เหยี่ยเองหรือว่าเยียหลี่ว์หง ไม่มีทางส่งคนเป่ยหรงมาสร้างความวุ่นวายในวังอย่างแน่นอน เยียหลี่ว์เหยี่ยตั้งใจดึงนักฆ่าเหล่านั้นมาทางพวกเรา น่าจะอยากทดสอบความสามารถของเจ้ามากกว่า “

 

 

ความสามารถของม่อซิวเหยานั้นทั้งใต้หล้าต่างรู้กันดี ไม่จำเป็นต้องอาศัยนักฆ่าเพียงไม่กี่คนให้มาพิสูจน์เช่นนี้ เยียหลี่ว์เหยี่ยเองก็ไม่น่าหวังที่จะฆ่าเขาด้วยนักฆ่าเพียงไม่กี่คนเช่นนี้ ดังนั้นที่ทำเช่นนี้ก็คงเพียงเพื่อเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ข้างเขาคนนี้เท่านั้น

 

 

เยี่ยหลียิ้มเย็นๆ เอ่ยว่า “ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าจำเป็นต้องลงมือหรือไม่”

 

 

องครักษ์ลับสามเอ่ยถามเสียงเบาว่า “แน่นอนว่าไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ แค่นักฆ่ากระจอกๆ เพียงไม่กี่คน หากต้องให้พระชายาลงมือด้วยตนเอง จะไม่หมายความว่าไม่จำเป็นต้องมีพวกข้าน้อยอยู่เลยแม้แต่น้อยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มเหลือบตาขึ้นมององครักษ์ลับสาม “ยามนี้เจ้าเป็นมือซ้ายมือขวาของข้า มิใช่องครักษ์ลับ อย่าเพิ่งรีบสร้างศัตรูจะได้หรือไม่”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ องครักษ์ลับสามหน้าละห้อยลงทันที อย่างไรเขาก็ชื่นชอบชีวิตยามที่เป็นองครักษ์ลับเสียมากกว่า มีศัตรูเข้ามาก็พุ่งออกไปจัดการให้รู้แพ้รู้ชนะ ไหนเลยจะเหมือนยามนี้ ที่ต้องรอให้ศัตรูหลุดรอดจากแหจับปลาขององครักษ์ลับมาให้ได้ก่อนถึงจะถึงตาพวกเขา ซ้ำร้ายองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องต่างก็มีฝีมือพอตัวกันทั้งสิ้น ตามปกติจึงหามีปลาเล็ดรอดออกมาจากแหไม่

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้าคิดว่าเขามิได้อยากทดสอบความสามารถในการต่อสู้ของอาหลีหรอก แต่คิดอยากทดสอบความใจกล้าของอาหลีเสียมากกว่า”