เป็นหยวนยู่ที่บอกให้ทุกคนเปิดประตูเพื่อให้เขาพาทั้งกองทัพมา

ซึ่งการปรากฏตัวของเขาก็เป็นสิ่งที่พวกหนิงคาดไม่ถึงและไม่ได้เตรียมรับมือเอาไว้ ทำให้พวกเขาโดนโจมตีจากด้านข้างจนปั่นป่วนไปทั้งกองทัพ

ภายใต้ความวุ่นวายนี้ หยวนยู่ก็ได้ปลดปล่อยคลื่นปราณออกมาเข้าใส่ค่ายของพวกหนิงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับพวกทหารใต้บัญชาของเขาที่เข้าโจมตีและสังหารศัตรูอย่างดุเดือด

พวกหนิงไม่ได้เก่งกาจในการต่อสู้ระยะประชิดมากนัก ดังนั้นเมื่อการศึกเปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว มันก็ทำให้พวกเขาค่อย ๆ พ่ายแพ้ให้กับพวกหยวนยู่ที่ไล่ตีเข้ามาเรื่อย ๆ

ชายผู้เลือดร้อนนั้นไม่คิดจะปล่อยให้ใครหนี เขาพากองทัพของตัวเองไล่ล่าพวกทหารเกราะหนักของพวกหนิงได้อย่างง่ายดายและสังหารพวกเขาทีละคน

ทว่าแม้พวกหนิงจะถอยกลับไปยังประตูค่ายแล้ว หากแต่หยวนยู่ก็ยังไม่คิดจะหยุดเท่านี้ เขาพาทหารตัวเองบุกทะลวงเข้าไปถึงข้างในค่ายศัตรูโดยไม่สนสิ่งใดแม้แต่น้อย

ตอนนี้ทั้งค่ายหนิงกำลังอ่อนแอและไม่มีทหารป้องกันมากนัก ทำให้ทหารจำนวน 3 พันนายของหยวนยู่พุ่งเข้าสังหารพวกที่ยังอยู่ในค่ายได้อย่างง่ายดาย

ประกอบกับที่ค่ายหนิงไม่มีแม่ทัพมากฝีมือในตอนนี้ มันก็ทำให้ไม่มีใครสามารถหยุดหยวนยู่ได้อีกแล้ว เขาไล่สังหารพวกหนิงจนแทบไม่เหลือใครอีก ก่อนที่สุดท้ายพวกศัตรูจะยอมถอยเข้าไปในส่วนที่ลึกสุดของค่าย

ด้วยการลอบโจมตีของซ่งเวินครั้งที่ผ่านมา มันก็ทำให้ชายเลือดร้อนเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้นและไม่คิดจะไล่ล่าต่อ เขาสั่งให้เผาค่ายนี้ทิ้งทันที

พวกทหารเฟิงหยิบกิ่งไม้มาคนละกิ่งพร้อมทั้งจุดไฟแล้วโยนมันเข้าไป เปลี่ยนให้ทั้งค่ายปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงที่ลุกไหม้โหมกระหน่ำอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนักก็มีควันสีดำลอยขึ้นสูงจนพวกหนิงที่อยู่ในแนวหน้าสังเกตเห็น พวกเขาพากันหน้าซีด ทำตัวไม่ถูก ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี !

ที่บนกำแพงนั่น จ้านอู่ตี้ที่กำลังสู้กับถังหยินอย่างดุเดือดก็เริ่มเห็นควันไฟที่ลอยขึ้นมาแล้วเช่นกัน ทำให้เขาเริ่มหวาดหวั่นพร้อมทั้งสงสัยไปในตัว ว่าจะบุกต่อไปหรือจะถอยทัพกลับดี และต่อให้พวกเขาโจมตีต่อไปมันจะคุ้มค่าหรือไม่ ?

เมื่อคิดได้แบบนั้น เขาก็กัดฟันแล้วกระโดดถอยกลับมา “ถอยทัพ !”

พูดจบเขาก็กระโดดลงจากกำแพงแล้วใช้ดาบสีม่วงเพื่อชะลอความเร็วตอนลงจากกำแพง

ส่วนพวกหนิงที่ได้รับคำสั่งก็เริ่มถอยหนีกันอย่างเป็นระเบียบ ทว่าพวกที่อยู่บนกำแพงกลับไม่สามารถหนีได้แบบจ้านอู่ตี้และถูกทิ้งเอาไว้โดยสมบูรณ์ พวกเขาจำนวนกว่า 2 หมื่นนายถูกลอยแพให้อยู่ข้างบนนั้น

ซึ่งพวกที่ถูกทิ้งก็แทบไม่มีกำลังใจจะสู้อยู่แล้ว พวกเขาได้แต่หนีตาย พากันปีนกำแพงก่อนร่วงลงไปกระแทกพื้นกันอย่างน่าเวทนา จนเกิดเสียงของเนื้อและเกราะเหล็กกระทบกันได้ยินกันไปทั่ว

พวกหนิงหลายต่อหลายคนเบียดเสียดกันไปมาจนทำให้ภาพที่เกิดขึ้นวุ่นวายมากพอสมควร

ถังหยินรู้สึกชื่นชมหยวนยู่หลังจากที่ได้เห็นภาพนี้ การบุกเข้าไปในค่ายของศัตรูเป็นการกระทำที่บ้าบิ่นก็จริง แต่ในเมื่อผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจแบบนี้ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดี หากแต่ชายหนุ่มก็ยังกังวลอยู่ว่าพวกศัตรูที่ถอยกลับไปจะทำให้หยวนยู่ถูกปิดล้อมหรือเปล่า ดังนั้นเขาทำการจึงเรียกเช่าหยาง และจี้เฉินให้มาทำการป้องกันต่อ ส่วนตัวเขาจะพาจำนวนทหาร 2 หมื่นนายไปช่วยเอง

เมื่อถังหยินออกมานอกเมือง ชายหนุ่มก็พบว่าสนามรบยุ่งเหยิงมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นบนกำแพงเมืองและพื้นดินก็เต็มไปด้วยการต่อสู้ ซึ่งการต่อสู้หลักที่ว่ามันก็เกิดขึ้นที่ค่ายของศัตรู

เมื่อเห็นพวกหนิงถอยกลับมาแล้ว หยวนยู่ก็ไม่รอช้า รีบสั่งให้กองทัพตัวเองถอยกลับมาทันที

และด้วยทั้งสองฝ่ายพร้อมใจกันถอยกลับไปยังที่มั่นของตน มันก็ทำให้พวกเขาเกิดการเผชิญหน้ากัน ซึ่งก็เป็นจ้านอู่ตี้ที่ตะโกนลั่นออกมาก่อนใคร “พวกเจ้าจะไม่ได้กลับไปที่ไหนทั้งนั้น !” พร้อมกับเข้าปะทะในทันที

หยวนยู่หัวเราะออกมาอย่างเย่อหยิ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ไอ้โง่ เจ้าทำอย่างที่พูดไม่ได้หรอก !” ก่อนจะใช้ดาบในมือฟาดฟันเข้าใส่จนเกิดลมแรงพัดให้จ้านอู่ตี้จนต้องถอยหลังกลับไป

เคร้ง !

ทั้งสองเข้าปะทะกันจนเกิดเสียงดังสนั่นท่ามกลางทหารทั้งสองฝ่ายที่กำลังทำการหลบหนีกลับไปยังค่ายหลักของตัวเอง

ร่างของหยวนยู่นั้นอยู่บนม้า ผิดกับจ้านอู่ตี้ที่อยู่บนพื้น และนี่เองก็คือเหตุผลที่ทำให้การปะทะของพวกเขา 2 คนดุเดือดยิ่ง

ถึงพลังของจ้านอู่ตี้จะมากกว่าพวกที่อยู่บนกำแพงก็จริง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเดียวกันที่เป็นผู้ใช้แสงเหมือนกันแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกราวว่าตัวเองนั้นไม่มีทางจะชนะได้เลย

ในระหว่างที่หยวนยู่แทงดาบเข้ามา จ้านอู่ตี้ก็กู่ร้องพร้อมกระโดดขึ้นไปข้างบน ดาบของเขาเปล่งแสงสีรุ้งออกมาจำนวนหลายพันเส้น

แสงนั่นไปรวมกันที่หยวนยู่ ก่อนจะปรากฏเป็นหนามแหลมพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย

นี่คือวิชา เขี้ยวหมาป่า

ทว่าหยวนยู่ก็ไม่ได้พลาดท่าแต่อย่างใด เขายกดาบขึ้นมาป้องกันมันเอาไว้ไม่ให้ทะลวงเข้ามา ทำให้เขี้ยวหมาป่ากลายเป็นเพียงแค่การโจมตีกระจอก ๆ ในสายตาของคนที่มอง

จ้านอู่ตี้ตะลึงที่อีกฝ่ายเก่งกาจได้ถึงขนาดนี้ จนเปิดโอกาสให้หยวนยู่กล่าวคำพูดยั่วยุออกมา “ใช้พลังโง่เง่าแบบนั้น เจ้ากำลังคิดดูถูกข้าอยู่งั้นหรือ ?” ว่าแล้วเขาก็เงื้อดาบขึ้นสูง ทำการปลดปล่อยพลังคลื่นดาบกว่า 20 สายเข้าใส่จ้านอู่ตี้แบบไร้ทิศทาง

‘บ้าไปแล้ว !’ จ้านอู่ตี้ตะโกนในใจ ก่อนทำการเคลื่อนไหวเพื่อหลบหลีกการโจมตีที่เข้ามา ทว่าคลื่นเหล่านั้นมันก็ได้วกกลับมาโจมตีเขาจากด้านหลังอีกครา !

แม่ทัพหนุ่มเตรียมตัวเอาไว้แล้ว เขากระโดดขึ้นด้านบนแล้วรอให้คลื่นผ่านไปก่อนจะฟาดดาบลงมา

หยวนยู่พยักหน้าให้กับอีกฝ่ายที่ประยุกต์การต่อสู้ได้เก่งกาจขึ้น และเริ่มตื่นเต้นกับวิธีการที่อีกฝ่ายใช้รับมือ

ทั้งร่างของเขาเริ่มเดือดขึ้นมาแล้ว ก่อนที่หยวนยู่จะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “มาสิ มาเลย ! ข้าชักอยากจะเอาจริงขึ้นมาแล้ว !” ว่าแล้วเขาก็รีบพุ่งเข้าหาจ้านอู่ตี้ในทันที

การประลองระหว่างคน 2 คนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังปราณเสมอไป มันยังเกี่ยวโยงไปถึงความสามารถและทักษะการต่อสู้ของพวกเขาด้วย

ไม่นานนักจ้านอู่ตี้ก็เริ่มหมดเรี่ยวแรง เพราะหยวนยู่เคลื่อนไหวเร็วเกินไปจนแทบไม่มีช่องว่างให้อีกฝ่ายได้พักหายใจเลย

เขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจและมีพลังปราณมากก็จริง ทว่าในแง่ของกำลังกายและทักษะการต่อสู้แล้วมันกลับไม่ได้สูงมากขนาดนั้น ซึ่งสวนทางกับหยวนยู่ที่มีความสามารถทั้งสองแบบ

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้เสื้อผ้าของทั้งสองขาด เช่นเดียวกับเหงื่อที่ไหลออกมามากมาย และอาวุธในมือที่เริ่มสั่นไหวจนจับแทบไม่อยู่