บทที่ 178 ความโหดเหี้ยมของซ่งชูอี

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ซ่งชูอีท่องเที่ยวอยู่ในรัฐสู่เป็นเวลาสามเดือน

ในสายตาของคนภายนอก นางละทิ้งทุกอย่างเพื่อความเพลิดเพลินอย่างแท้จริง ตารางเดินทางก็ไม่แน่น กล่าวได้ว่าเพลิดเพลินกว่าในช่วงแรกมากนัก พอผ่านไปสามเดือนรูปร่างก็สูงขึ้น ทว่าเรือนร่างที่เพรียวบางในตอนแรกแทบจะกลายเป็นเสาไม้ไผ่แล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่จี๋อวี่รู้สึกว่าหวยจินผู้นี้ซ่อนความคิดไว้ได้อย่างล้ำลึกมากเหลือเกิน! มันล้ำลึกเสียจนนอกเหนือจากรูปร่างที่ผอมบางแล้ว เขาก็ไม่เห็นเบาะแสใดอีก

จี้ฮ่วนเคยเอ่ยถามครั้งหนึ่ง ทว่าจี๋อวี่ยังไม่เคยเอ่ยปากถามสักครั้ง เนื่องด้วยความนิ่งสงบของนางจะต้องมีความ

คับข้องใจที่ไม่สามารถบรรยายได้เป็นแน่ แม้ถามก็อาจไม่ได้คำตอบที่แท้จริง

แน่นอนว่าซ่งชูอีไม่สามารถพูดความในใจออกมาได้ การที่นางท่องเที่ยวอยู่ในหุบเขาลำธารแห่งรัฐสู่สามเดือนนี้ เพราะคิดอยู่เสมอว่าจะได้พบกับอาจารย์โดยไม่คาดคิดเข้าสักวัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาดุจพ่อลูก ทว่าในชาตินี้เป็นได้เพียงคนแปลกหน้าที่มีวาสนาพบหน้ากันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อิสระเสรีทว่าคนธรรมดาทั่วไปล้วนมีความโลภ ความสัมพันธ์นี้เป็นทั้งอดีตและปัจจุบันของนาง และเป็นสิ่งเดียวที่ไม่อาจปล่อยวางได้โดยง่ายจนถึงบัดนี้

ระหว่างทางกลับหวังเฉิง ทุกคนต่างเดินทางอย่างไม่เร่งรีบ ดังนั้นจึงขี่ม้าช้าๆ ไปตามถนนบนภูเขา

เว่ย์เจียงนั่งอยู่ในรถม้า จี๋อวี่ขี่ม้า ส่วนจี้ฮ่วน ซ่งชูอีและผู้นำทางขี่ม้านำอยู่ข้างหน้า

จูเหิงหาผู้นำทางที่ชื่อว่าชิงซานให้ซ่งชูอี เดิมทีเขาเป็นรองหัวหน้ากลุ่มกองโจรภูเขาแห่งหนึ่ง ต่อมาหัวหน้าใหญ่แห่งกองโจรตายอย่างน่าอนาจ กลุ่มกองโจรจึงกระจัดกระจาย ต่างคนต่างเดินตามแผนของตัวเอง

คนเหล่านั้นส่วนใหญ่ไปเข้าร่วมกลุ่มกองโจรอื่น ทว่าชิงซานมาที่หวังเฉิงและสวามิภักดิ์ต่อจูเหิง หลายปีมานี้ปาสู่สู้รบกันบ่อยครั้ง จึงไม่มีพลังเหลือที่จะไปปราบปรามเหล่าโจรภูเขา ด้วยเหตุนี้จึงใช้คนจำนวนมากที่เข้าใจโจรภูเขาเป็นอย่างดีเช่นชิงซานจัดการกับพวกเขา

ด้วยเหตุนี้แม้ว่ามีผู้คุ้มกันไม่มาก ทว่าก็มิได้ประสบกับความลำบากใจตลอดเส้นทาง

หลังจากที่ได้รับข่าวของสกุลเจินจากรัฐฉินอย่างไม่คาดคิดหลายวันนี้ จี้ฮ่วนก็กล่าวอย่างมีอารมณ์ “การเคลื่อนไหวของท่านในคราวนี้ สกุลเจินต้องประสบกับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงหรือแม้กระทั่งถูกกวาดล้างด้วยซ้ำ”

ในตอนแรกเจินจวิ้นยื่นข้อเสนอที่จะละทิ้งกิจการในรัฐเว่ย์ เพื่อติดตามซ่งชูอีและโยกย้ายครอบครัวไปยังรัฐฉิน ครั้นซ่งชูอีทรยศต่อรัฐฉิน เจินจวิ้นก็สูญเสียอิทธิพลไปอย่างมหาศาล อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเจินจวิ้นกับซ่งชูอีก็มิใช่ความลับ จึงเป็นการยากที่จะรับประกันว่ารัฐฉินจะไม่เอาผิด และด้วยความวุ่นวายทั้งภายในและนอกเช่นนี้ก็อาจจะประหารทั้งตระกูล?

ซ่งชูอีเลิกคิ้วอย่างปฏิเสธไม่ได้ นางยินดีที่จะแบกรับเกียรติยศและความอดสูของสกุลเจินไว้ ทว่าก่อนที่สกุลเจินจะเดิมพันก็ควรที่จะเตรียมใจไว้แล้ว จะต้องมีคนมากมายในสกุลเจินที่ไม่สนับสนุนจเจินจวิ้น หากนางเดาไม่ผิดล่ะก็ คนเหล่านี้อาจจะฉวยโอกาสนี้ล้มล้างเจินจวิ้น ทว่าเจินจวิ้นในฐานะผู้มีอำนาจที่อุ้มชูสกุลเจิน เป็นไปไม่ได้ที่จะรับผิดและถอนตัวออกจากตำแหน่งหัวหน้าตระกูลและสิ่งนี้นำสกุลเจินไปสู่การแตกหัก

สำหรับสกุลเจินแล้ว นี่คือระเบิดลูกใหญ่ ทว่ามันกลับเป็นผลลัพธ์ที่ซ่งชูอีต้องการ

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้มันง่ายมาก ซ่งชูอีมีสกุลเจินไว้มิใช่เพื่อเพิ่มอำนาจหรือวางแผนกลยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ แต่เพื่อให้มันเป็นกองหนุนและเส้นทางล่าถอย ดังนั้นคนเหล่านี้จึงต้องการความภักดีอย่างแท้จริง แม้ว่าพวกเขาต้องการวางแผนบางอย่างกับนาง พวกเขาก็ยังต้องเชื่อมั่นในตัวนางอย่างมั่นคง ภายในของสกุลเจินวุ่นวายมาก ซ่งชูอีก็ไม่ต้องการสิ้นเปลืองพลังงานไปกับการควบคุมพวกเขาอย่างใกล้ชิด ดังนั้นกองกำลังที่มีความแปลกแยกเหล่านี้จะต้องถูกกำจัดโดยเร็วที่สุด

ดังนั้นครั้นสกุลเจินแตกแยกแล้ว ต่อให้เจินจวิ้นเสแสร้งก็ต้องเสแสร้งว่าสนับสนุนนางต่อไปเพื่อรักษาอำนาจหัวหน้าตระกูล ส่วนซ่งชูอีก็มีวิธีบอกพวกเขาว่าการรักษาไว้มิใช่สิ่งที่ผิด

การถือตระกูลผู้ติดตามไว้ในมือและเล่นกับมันได้ตามอำเภอใจนั้นนับว่าไร้คุณธรรมและเห็นแก่ตัวเป็นอย่างยิ่ง ทว่าสำหรับซ่งชูอีแล้วเป็นแค่ความสะดวกสบายต่อการใช้งานเท่านั้น นางจะไม่มีวันมีความรู้สึกผิดใด

แม้ว่าจี๋อวี่จะคิดไม่ถึงเหตุผลนับนานาประการนี้ ทว่าในใจรู้ดีว่าหากซ่งชูอีไม่ได้กระทำโดยเจตนา สกุลเจินก็ไม่จำเป็นต้องประสบกับภัยพิบัตินี้ ทว่านางไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย

“ท่านเจินเป็นคนที่มีคุณธรรมคนหนึ่ง” เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่าซ่งชูอีเป็นผู้ริเริ่ม ครั้นจี้ฮ่วนเห็นว่านางไม่มีท่าทีจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ในใจก็รู้สึกเป็นทุกข์ร้อนแทนเจินจวิ้น

ซ่งชูอีดูดริมฝีปาก เงยหน้ามองท้องฟ้า แสงอาทิตย์สว่างจ้า นางหรี่ตาแล้วถอนหายใจเอ่ย “เรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าก็อยู่ไกลเป็นพันลี้ คงทำได้เพียงสวดภาวนากับเทพเจ้าแล้ว”

จี้ฮ่วนนิ่งเงียบ ขณะที่เขาอยู่ในรัฐฉิน เจินจวิ้นดีกับเขามาก การปล่อยไปโดยไม่สนใจเช่นนี้ดูเหมือนจะไร้คุณธรรมไปหน่อย ครุ่นคิดแล้วเขาก็ขี่ม้าเข้าไปใกล้จี๋อวี่ กระซิบเสียงเบา “พี่ใหญ่ ท่านเกลี้ยกล่อมท่านหวยจินได้หรือไม่ ไปกลับรัฐฉินตอนนี้ก็ยังทัน”

โดยปกติแล้วจี้ฮ่วนคิดมาตลอดว่าซ่งชูอีเป็นสตรีและกังขาในความสามารถของนาง ทว่าแม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ตัวว่าเมื่อประสบกับเรื่องใหญ่ที่ยากจะแก้ไข เขาก็ได้ค่อยๆ ฝากความหวังไว้กับนางแล้ว ในความเป็นจริงจิตใต้สำนึกของจี้ฮ่วนยอมรับว่าซ่งชูอีมีพรสวรรค์เฉกเช่นเดียวกับบุรุษนานแล้ว แต่โลกก็เป็นเช่นนี้ ในเวลานี้มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะล้างอคติในกระดูกของเขาออกไป

“บางคราวอ้อนวอนผู้น้อยไปก็เท่านั้น สู้อ้อนวอนเทพเจ้าไม่แน่ว่ายังมีประโยชน์มากกว่า” จี๋อวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเช่นปกติ ไม่มีเจตนาคิดจะห้ามปรามซ่งชูอีแม้แต่น้อย

“หากวันใดวันหนึ่งเจ้าดูจริงใจดังเช่นคำกล่าวนี้ ข้าก็จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง” ซ่งชูอีหันหน้าไปพร้อมยิ้มเอ่ย

จี้ฮ่วนเบิกตากว้าง “พี่ใหญ่ ท่านหวยจินเย้าพี่!”

จี๋อวี่มองเขาด้วยความเฉยเมย “ข้าฟังออก”

“อีกประเดี๋ยวก็ถึงหวังเฉิงแล้ว ข้าน้อยอยากไปเดินเล่นที่ดินแดนแห่งสวรรค์เสียหน่อย ท่านกลับไปรับคำสั่งกับใต้เท้าเหิงตามเดิมเถิด” ซ่งชูอีโยนถุงทองไปให้ชิงซาน

ชิงซานรับไว้ เดิมทีคิดจะถอยออกไป ทว่าเมื่อถือน้ำหนักถุงทองไว้ในมือก็ลังเลสักพัก แล้วถือโอกาสยัดมันเข้าไปในหน้าอกของตัวเอง ประสานมือเอ่ย “ขอบคุณท่านสำหรับค่าตอบแทน แล้วเจอกัน”

ซ่งชูอีพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ เตือนสติเขา “ถือเงินก้อนใหญ่ ต้องระวังตัวด้วย”

“ขอบคุณท่านที่เตือนสติ” ชิงซานกล่าวคำขอบคุณ จากนั้นก็หวดแส้ขี่ม้าจากไป

ซ่งชูอีมองเขาจนลับตา จนกระทั่งฝุ่นที่คลุ้งกระจายจากเกือกม้าหายไปจนหมดจึงละสายตากลับมา

ที่นี่ยังอยู่ห่างจากหวังเฉิงเจ็ดถึงแปดลี้ มีชนเผ่าหนึ่งชื่อว่าตู๋อู้อยู่ข้างหน้าไม่ไกล อู้นั้นหมายถึงเถาอู้ หนึ่งในสี่สัตว์ร้ายในสมัยโบราณ ตำนานเล่าว่าครั้นมันลืมตาอากาศก็แปรเปลี่ยน อ้าปากก็กลืนกินทั้งโลกันต์ ตู๋อู้ เป็นชื่อโบราณที่หมายความว่าตู๋เข่นฆ่าเถาอู้ นี่คือชนเผ่าหนึ่งที่เก่าแก่และลึกลับ ผู้คนในเผ่าไม่เคยเดินออกจากหุบเขาง่ายๆ

ระหว่างทางนั้น ซ่งชูอีสอบถามเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับชนเผ่าตู๋อู้จากชิงซานด้วยความอยากรู้อยากเห็นยิ่ง ชนเผ่าที่สามารถตั้งรกรากในการปล้นระดมในบริเวณใกล้เคียงหวังเฉิงได้นั้นไม่ธรรมดาเลย อีกทั้งในหุบเขาห่างไกลนั้นก็ยังเป็นสถานที่ที่ท่านแม่ทัพผู้มีความสามารถปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ที่แห่งนี้มีขึ้นตั้งแต่สมัยฉานฉง จนถึงบัดนี้ในชนเผ่ายังมีแม้กระทั่งจอมขมังเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ถูกนับถือโดยชนเผ่าอยู่

พวกเขาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ตั้งแต่รัฐสู่เปิดรัฐ ในฐานะที่เป็นบ้านเกิดของเทพเจ้าโบราณ รัฐสู่จึงให้ความเคารพและเสรีภาพบางประการ พวกเขาได้รับอนุญาตให้ปล้นและฆ่าผู้คนในดินแดนของตนเอง

แม้ว่าตู๋อู้จะเป็นชนเผ่าหนึ่ง ทว่าไม่ต่างอะไรกับโจรปล้นสะดมสำหรับขบวนพ่อค้าเลย หรือแม้แต่โหดร้ายยิ่งกว่า ตามปกติแล้วชิงซานประมือกับชนเผ่านี้บ่อยที่สุด ครั้นเขาผ่านถนนเส้นนี้ก็จะเอาทรัพย์สินในตัวมอบให้จอมขมังเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตู๋อู้ไปเสียแปดส่วนแล้ว

ครั้งนี้…

ตลอดสามเดือนนี้ ซ่งชูอีถามเรื่องจุกจิกกับชิงซานมากมาย นางรู้ว่าชิงซานจะส่งจดหมายกลับหวังเฉิงอย่างลับๆ ใน ทุกๆ สองสามวัน นางมิเคยห้ามปรามและมิได้เปิดโปง นางไม่รู้แน่ชัดว่าชิงซานเขียนเนื้อหาอะไรภายใน ทว่าหากคำนวณจากระยะเวลาที่เขาอยู่คนเดียวในทุกวันแล้ว สามารถเล่าได้เพียงภาพรวมในจดหมายลับเท่านั้น

จูเหิงไม่โง่ สู่อ๋องที่ดูไม่เอาไหนก็มิใช่ตะเกียงที่ขาดน้ำมัน หากชิงซานเล่าคำถามเหล่านั้นที่นางเคยถามโดยละเอียด มันก็ยากที่จะรับประกันว่าแผนการของนางจะไม่ถูกเปิดโปง

ดังนั้นการยืมมือผู้อื่นเพื่อกำจัดศัตรูก็เป็นเรื่องจำเป็น

แม้ว่าจะดูไม่ปลอดภัยที่ทำเช่นนั้น ทว่าหลังจากรู้จักกันเป็นเวลาสามเดือน ซ่งชูอีรู้ดีว่าความโลภของชิงซานจะผลักเขาลงสู่ก้นบึ้งแห่งความตาย