ณ โลกมาร เยี่ยซิงหวงดูดซึมพลังมารทั้งหมดที่ช่วงชิงมาได้ ทำให้บรรลุขั้นสุดยอดทันที ตาทั้งสองข้างกลายเป็นสีดำทมิฬ เล็บทั้งหมดกลายเป็นสีดำ ริมฝีปากก็กลายเป็นสีดำเช่นเดียวกัน
“ฮ่าฮ่า เคล็ดวิชามารของข้าสำเร็จแล้ว บนโลกนี้จะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของข้าอีก ถึงเวลาที่เผ่ามารจะเป็นใหญ่แล้ว ก่อนถึงเวลานั้นข้าควรต้องจัดการกับตาแก่ที่ขวางหูขวางตาในโลกมารเสียก่อน” เยี่ยซิงหวงหัวเราะเสียงดัง หลังจากหัวเราะเสร็จ ประกายสีเลือดก็แวบเข้าในดวงตา
ณ วังหลวงเผ่ามาร เยี่ยซิงหวงยืนอยู่บนบัลลังค์
“ตั้งแต่วันนี้ไป ทุกคนในโลกมารต้องฟังคำสั่งข้า” เยี่ยซิงหวงพูดด้วยน้ำเสียงทรงพลัง
“องค์ชายรอง ท่านพญามารกับองค์ชายใหญ่ยังอยู่ คงไม่ต้องให้ท่านตัดสินใจหรอก” ผู้อาวุโสประจำเผ่ามจารชิงพูดก่อนและคนที่เหลืออยู่ก็ต่างเริ่มเออออไปกับเขา
“นั่นสิ เจ้าเป็นเผ่ามารที่ไม่สายเลือดไม่บริสุทธิ์ ข้าไม่ฟังคำสั่งของเจ้าหรอก” แม่ทัพมารผู้หนึ่งพูดขึ้น
“ไม่สยบต่อข้าหรือ หึหึ วันนี้ข้าจะบอกพวกเจ้าจะได้รู้ว่าในโลกมารนี้จะต้องฟังใคร” เยี่ยซิงหวงพูดจบ ดวงตากลายเป็นสีแดงโลหิต เมื่อเขายื่นมือขวาออกมา แม่ทัพมารก็ลอยเข้าไปถูกเขาบีบคอ เยี่ยซิงหวงดูดพลังมารของแม่ทัพมารจนไม่เหลือและแม่ทัพมารที่สูญเสียพลังมารไปก็กลายเป็นผุยผงทันที
“เหอะ พลังบำเพ็ญเพียรแค่นี้ยังจะกล้าทำอวดเก่งใส่ข้า” เยี่ยซิงหวงปัดมือด้วยความรังเกียจ
“ยังมีใครไม่ยอมอีกไหม ข้าไม่รังเกียจที่จะดูดพลังบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าหรอกนะ” เยี่ยซิงหวงกวาดตามองคนเหล่านั้น แม่ทัพมารทุกคนก้าวถอยหลังด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าสามารถดูดพลังมารได้หรือ” ผู้อาวุโสมารเห็นฝีมือของเยี่ยซิงหวง ก็มั่นใจว่าท่านพญามารกับองค์ชายใหญ่คงโดนทำร้ายไปแล้ว องค์ชายรองผู้นี้ที่ดูน่าสงสาร ที่แท้ก็แสร้งทำทั้งนั้น นึกไม่ถึงว่าท่านพญามารจะเลี้ยงงูเห่า แล้วโดนแว้งกัด น่าสลดใจจริงๆ โลกมารตอนนี้ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลยจริงๆ คนพวกนั้นเป็นเพียงแค่อาหารเสริมของเขาเท่านั้น โลกมารกำลังจะเจอกับหายนะ
“ท่านผู้อาวุโส ข้าเคารพท่านในฐานะที่ท่านเป็นผู้อาวุโสในเผ่ามาร ครั้งหน้าเรียกข้าว่าฝ่าบาท ข้าไม่ได้แยแสตำแหน่งท่านพญามาร” เยี่ยซิงหวงมองผู้อาวุโสมารด้วยแววตาแดงก่ำ เลียมุมปากน้อยๆ พลังมารของผู้อาวุโสมารคงจะหอมหวานไม่น้อย
“ฝ่าบาทไขข้อสงสัยให้ข้าน้อยได้หรือไม่” ผู้อาวุโสพูดอย่างนอบน้อม
“ใช้ได้นี่ ข้าไม่สนใจพลังบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าในตอนนี้หรอกนะ พวกเจ้าต้องกินยาเม็ดนี้แล้วข้าจะเชื่อว่าพวกเจ้าจงรักภักดีต่อข้าจริงๆ” เยี่ยซิงหวงโบกมือ ก็ปรากฏขวดขนาดเล็กขึ้นในมือทุกคน
“บังอาจถามฝ่าบาทว่านี่คือยาอะไร” ผู้อาวุโสถือขวดขนาดเล็กในมือ สังหรณ์ใจไม่ดีนัก
“เป็นยาที่ทำให้พวกเจ้าเชื่อฟังคำสั่งของข้า ตอนนี้อย่ามาพูดเลยว่าศิโรราบให้แก่ข้า ข้าไม่เชื่อพวกเจ้าหรอก กินยานี่เข้าไป ข้าถึงจะเชื่อเจ้า หากไม่กินใครก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไป” เมื่อเสียงของเยี่ยซิงหวงสิ้นสุดลง เขาก็ปล่อยลูกไฟออกมา และทั้งตำหนักก็ตกอยู่ภายใต้การปกคลุมของเพลิงสีดำและขาว
“เพลิงหยินหยาง” ผู้อาวุโสมารมองเห็นเพลิงด้านนอก ในใจเย็นวาบ หากองค์ชายใหญ่โหดเหี้ยมได้เพียงเสี้ยวเดียวขององค์ชายรอง คงไม่ต้องมีจุดจบเช่นนั้น
“ผู้อาวุโสมารสายตาแหลมคม พวกเจ้าจะกินหรือไม่กิน” เยี่ยซิงหวงพูดจบ เปลวเพลิงก็ลุกโหมกระหน่ำมากกว่าเดิมทันที
“หึ ข้ายอมตาย แต่ไม่ยอมให้คนจิตใจอำมหิตโหดเหี้ยม สังหารบิดาและพี่ชายของตัวเองมาควบคุมหรอก” ผู้อาวุโสพูดจบก็กระอักเลือดออกมา สลายกลายเป็นผุยผง เสื้อผ้าร่วงลงกองกับพื้น
“ท่านผู้อาวุโส” เหล่าบรรดาแม่ทัพสูญเสียผู้นำไปอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำพูดสุดท้ายของท่านผู้อาวุโส สังหารบิดาและพี่ชาย แปลว่าท่านพญามารกับองค์ชายใหญ่ตายแล้วหรือ
“พวกเจ้าล่ะ เลือกกันสิ ” หน้าเยี่ยซิงหวงไม่เปลี่ยนสี มองดูแม่ทัพทั้งหลายที่มีท่าทีกล้าๆกลัวๆ
“สู้ตาย” มีคนตะโกนออกมาแล้วพุ่งตัวออกไป
“หากไม่ใช่เพราะว่าข้าต้องการคนไปออกรบ พวกเจ้าคงกลายอาหารของข้าไปแล้ว” เยี่ยซิงหวงแม้แต่จะไม่มองแม่ทัพที่พุ่งเข้ามาเลยด้วยซ้ำ เขาโบกมือ เพลิงหยินหยางเข้าปกคลุมร่างทุกคน มีเศษผงร่วงลงจากกลางอากาศ ไม่นานแม่ทัพทั้งหมดก็กลายเป็นราวหุ่นเชิด
“คิดว่าแค่ไม่กินยาแล้วจะหนีพ้นจริงหรือ” เยี่ยซิงหวงมองหุ่นเชิดพวกนี้อย่างไม่ยี่หระ
ณ ตำหนักของผู้อาวุโส บุตรชายเพียงคนเดียวของเขาพบว่าโคมวิญญาณของผู้เป็นพ่อแตกสลาย เขาจึงไม่โวยวายอะไรเพียงแต่รีบเก็บของหนีไป ท่านพ่อเคยสั่งเขาเผื่อเอาไว้ว่าหากโคมวิญญาณของท่านพ่อดับลงให้เขารีบหนีไป หนีไปได้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี นอกจากว่าโลกมารจะสงบแล้ว ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลับมาที่โลกมารอีก
“รายงาน นายท่าน บุตรชายของผู้อาวุโสหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนครอบครัวของแม่ทัพคนอื่นๆถูกจับกุมไว้หมดแล้ว”
“น่าสนใจ น่าสนใจ ดูแล้วผู้อาวุโสคงได้เตรียมการไว้” เยี่ยซิงหวงยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่ไม่เป็นไรก็แค่เด็กอ่อนหัดเท่านั้น รอให้การใหญ่เสร็จสิ้น ค่อยกลับมาตามจับเจ้าเด็กอ่อนหัดคนนี้ก็แล้วกัน
ส่วนด้านหลงหลิวหลียังคงบำเพ็ญเพียรอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทำให้พลังบำเพ็ญเพียรคงที่อยู่ในช่วงมหายาน เมื่อลืมตาขึ้น แค่สะบัดมือ ลาวาก็แหวกเป็นทางให้นาง
จากนั้นนางจึงยื่นมือขวาออกมา ปรากฏมนุษย์จิ๋วขนาดประมาณสองนิ้วขึ้นกลางฝ่ามือ นั่นคือเพลิงดวงใจพสุธา
“เจ้าเก่งใช้ได้เลยนะ” หลิวหลีจิ้มหัวมนุษย์จิ๋วเบาๆ
“นายท่าน ชมเกินไปแล้ว” เพลิงดวงใจพสุธารู้ว่านายท่านยังคงไม่พอใจอยู่ มันจึงเออออคล้อยตามอีกฝ่าย
“ฮ่าฮ่า ช่างเถอะ ข้าจะให้อภัยเจ้าแล้วกัน หวังว่าเจ้าจะช่วยคุ้มครองข้าด้วย” หลิวหลีเก็บมนุษย์ตัวน้อยเข้าไปในร่างกาย
“ควรจะออกไปได้แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเสี่ยวเทียนคงต้องเป็นห่วงแน่” หลิวหลีพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนยังอยู่ที่เดิม แต่จริงๆนางเดินออกมาแล้ว
“ตั้งนานขนาดนี้แล้ว หลิวหลียังไม่ออกมาเลย” ชิงหลวนเบื่อหน่าย พลังบำเพ็ญเพียรก็ไม่ก้าวหน้า จะเข้าไปก็ไม่ได้ ออกไปก็ไม่ได้ ชิงหลวนทรมานอย่างยิ่ง
“ชิงหลวนคิดถึงข้าขนาดนั้นเชียว” อยู่ๆเสียงของหลิวหลีก็ลอยมา
“หลิวหลี” ชิงหลวนมองหลิวหลีที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างดีใจ ทำไมรู้สึกเหมือนหลิวหลีกำลังจะบินไปอย่างไรอย่างนั้น
“หลิวหลี เจ้าเข้าสู่ช่วงมหายานแล้วหรือ” หยวนเทียนสูดลมหายใจลึก เด็กสาวในตอนนั้นที่นับถือเขา ตอนนี้มาอยู่ในช่วงพลังที่เขายังไปไม่ถึง เห็นทีเขาคงต้องนับถือนางแทนเสียแล้ว
“อืม” หลิวหลีพยักหน้า พิชิตเพลิงอัคคีได้ พลังบำเพ็ญเพียรก็เลยเพิ่มขึ้นด้วย ใช้ได้ทีเดียว นี่ตนเองคงจะเริ่มคุ้นเคยแล้วกระมัง
“ยินดีด้วย แต่ว่าพวกเราออกไปกันก่อนเถอะ อยู่ที่นี่มาตั้ง 60 ปี เริ่มเบื่อแล้วล่ะ” เฟยเผิงรู้สึกดีใจกับหลิวหลี เพียงแต่ว่าการที่ต้องมาติดอยู่ที่นี่หลายปี ทำให้คนที่ได้ไปไหนต่อไหนได้เสมออย่างเขาทรมานเอาการ
“ก็ดีเหมือนกัน” หลิวหลีพูดจบ นางโบกมือบนท้องฟ้าก็ปรากฏโพรงขึ้น หลิวหลีออกไปก่อน ตามด้วยหนานกงเวิ่นเทียน หลังจากนั้นเฟยเผิงกับชิงหลวนก็ตามเข้ามา
“อากาศข้างนอกดีจริงๆ รู้สึกสบายจริงๆ” ชิงหลวนสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แล้วชม
“ขอโทษพวกเจ้าทุกคนจริงๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะลองปรุงยาระดับ 9 ไม่ทราบว่ามีใครสนใจบ้าง” สิ่งที่หลิวหลีพูดทำให้ทุกคนตกใจยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 9
“หลิวหลี เจ้าเป็นนักปรุงยาระดับ 9 แล้วหรือ” หยวนเทียนถึงกับมือสั่น ผ่านไปไม่นานเป็นนักปรุงยาระดับ 9 แล้วหรือ หัวใจของเขาเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ
“ยังไม่ใช่ แต่หากอีกเดี๋ยวทำสำเร็จ ก็จะใช่แล้ว” หลิวหลีส่ายหัว บอกว่าตัวเองกำลังคลำหาวิธีอยู่
“ยังไม่แน่นอน แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถทำได้ พอถึงตอนนั้นข้าจะช่วยรับวิบากอัสนีบาต” เฟยเผิงพูดอย่างอาจหาญ
“รวมข้าด้วย ถึงพลังบำเพ็ญเพียรของข้าจะต่ำที่สุด ข้าก็ขอร่วมช่วยด้วยอีกแรง” ชิงหลวนบอกว่าตัวเองก็ทำได้เช่นเดียวกัน
“รวมข้าด้วย” หยวนเทียนกล่าว เขาคิดถึงช่วงเวลาที่คอยรับวิบากอัสนีบาตตอนอยู่เมืองต้าเยี่ย
“แน่นอนว่าจะขาดข้าไม่ได้” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว เฮ้อ พลังบำเพ็ญเพียรของนังหนูนำหน้าเขาไปอีกแล้ว
“ถ้าเป็นเช่นนี้ พลังบำเพ็ญเพียรก็รอไปก่อนแล้วกัน” หลิวหลีพูดจบ ก็นำเตาเหนือสามัญออกมา แล้วมีมนุษย์จิ๋วปรากฏขึ้นบนมือขวา
“เพลิงอัคคีแปลงกาย” อสูรทั้งสามตนเงียบไป นึกไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะมีเพลิงอัคคีแปลงกายซ่อนอยู่ และได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งอีกมุมหนึ่งของหลิวหลีไปพร้อมกัน
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพลิงอัคคีแปลงกาย” หนานกงเวิ่นเทียนประหลาดใจเล็กน้อย ได้ยินมาว่ามีเพียงเพลิงอัคคีสามอันดับแรกเท่านั้นที่กลายร่างได้ ดูจากสีด้านนอกแล้ว เพลิงอัคคีแปลงกายนี้น่าจะเป็นเพลิงอัคคีอันดับสาม เพลิงดวงใจพสุธา
หลิวหลีปล่อยเพลิงอัคคีเข้าเตาปรุงยา เริ่มจัดการพืชศักด์สิทธิ์แต่เพลิงอัคคีที่ใช้คือเพลิงวิญญาณไม้
“หลิวหลีสลับใช้เพลิงอัคคีได้สุดยอดมาก” ชิงหลวนมองหลิวหลีตาเป็นประกาย สมแล้วที่เป็นคนที่นางนับถือ
“ท่าท่างชำนาญอย่างยิ่ง หากไม่บอกข้าว่านางเพิ่งปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 9 เป็นครั้งแรก ข้าแทบไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าเป็นครั้งแรกของนาง” เฟยเผิงกล่าว
“ผู้มีบุญมักมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นเหนือมนุษย์ทั่วไป” หยวนเทียนกล่าว
นังหนูเจ้านำหน้าข้าไปอย่างไม่รู้ตัวอีกแล้ว แต่ข้าจะตามเจ้าให้ทัน หนานกงเวิ่นเทียนมองหลิวหลี แล้วลอบกล่าวคำปฏิญาณในใจ
ท่าทางคล่องแคล่วของหลิวหลี ทำให้อสูรสามตนกับมนุษย์หนึ่งคนที่มองดูอยู่เพลิดเพลินไม่น้อย จนกระทั่งมีกลิ่นหอมลอยมา ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเพียงแค่ได้กลิ่นก็ทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้น นี่ก็คือยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 9
“เพียงแค่ดมกลิ่นของยาก็ทำให้ข้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาไม่น้อย” เฟยเผิงพูดด้วยท่าทางเกินจริง
“จริงด้วย หวังว่าจะปรุงสำเร็จ” ชิงหลวนพูดพลางประสานมือเข้าหากัน
ราวตอบรับเสียงในใจชิงหลวน เมฆสีดำปกคลุมทั่วท้องฟ้า
“วิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว” หยวนเทียนพูดอย่างตื่นเต้น
“ไป๋ลู่ เจ้าออกไปดูว่าใช่ชิงหลวนกลับมาแล้วหรือไม่ เจ้ารีบไปบอกชิงหลวน ให้พวกเขารีบกลับมา” ชิงเฟิ่งกล่าว
“เพคะ องค์หญิง”
อสูรสามตนกับมนุษย์หนึ่งคนที่อยู่ทางด้านนี้ เตรียมตัวจะเข้ารับวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 9 เชียวนะ พวกเขาช่างโชคดีที่ได้เจอ นับว่าเป็นบุญวาสนาของพวกเขา
……………………..