บทที่ 185 วิเคราะห์คดี

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 185 วิเคราะห์คดี
สำนักงานขนส่งแบ่งเป็นสองสาย คือกองฝั่งและกองส่ง ขุนนางที่มีระดับสูงที่สุดคือผู้ว่าการขนส่ง ระดับสี่ชั้นเอก ควบคุมดูแลคนในสำนักงานขนส่งทั้งนอกในรวมเกือบพันคน

“สำนักงานขนส่งคือหนึ่งในหน่วยงานของราชสำนักที่แฝงผลประโยชน์มากที่สุด ในปีหยวนจิ่งที่ 20 ราชสำนักเคยผลักดันการขายตำแหน่งขุนนาง และที่ขายก็คือตำแหน่งเกี่ยวกับการขนส่ง” ผู้ตรวจการจางเดินไปพลางเอ่ยเสียงเคร่งขรึม

“พอถึงปีหยวนจิ่งที่ 22 นโยบายซื้อขายตำแหน่งขุนนางก็ถูกเว่ยกงกับสมุหราชเลขาธิการหวังร่วมมือกันห้ามปราม แต่ก็เพียงแค่สองปี พวกแมลงไม่ได้เรื่องที่เข้ามามีมากจนน่าโมโห จนถึงตอนนี้ก็ยังมีพวกเปลืองภาษีขโมยตำแหน่งสูงๆ ไปอยู่”

สวี่ชีอันไม่ใช่สนใจความโกรธเกรี้ยวของผู้ตรวจการจาง แต่กลับดึงประเด็นน่าสนใจบางอย่างออกมาจากคำพูดเขาได้

จำเป็นต้องให้ศัตรูคู่แค้นอย่างเว่ยเยวียนกับสมุหราชเลขาธิการหวังร่วมมือกันปรามเอาไว้ คนที่จะขายตำแหน่งขุนนางผู้นั้นเป็นใครกัน

ไม่จำเป็นต้องถามเลย จักรพรรดิหยวนจิ่งแน่นอน

จักรพรรดิผู้ขายตำแหน่งขุนนางในประวัติศาสตร์มีไม่น้อย จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ใช่ข้อยกเว้น จักรพรรดิเหล่านี้ล้วนมีบางอย่างเหมือนกัน นั่นก็คือ ใช้เงินเหมือนน้ำไหล

อีกอย่างคำวิจารณ์ในประวัติศาสตร์ที่มีต่อจักรพรรดิเหล่านี้ก็ไม่ค่อยดีนัก อย่างน้อยก็มีการวิพากษ์วิจารณ์โจมตีพฤติกรรมเช่นนี้อยู่

มาถึงสำนักงานขนส่งของอวี่โจวแล้ว พวกเจ้าหน้าที่ก็เห็นกองกำลังดุดัน และมีขุนนางใหญ่สวมชุดคลุมแดงเดินนำ กับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อกปักลายฆ้องทองคำ

ทั้งหมดจึงรีบพุ่งเข้าไปรายงานในที่ทำการทันที โดยไม่มีแม้แต่คำสอบถาม

ผ่านไปพักหนึ่ง ผู้ว่าการขนส่งของสำนักงานขนส่งอวี่โจว ขุนนางระดับสี่ชั้นเอกผู้นั้น ก็รีบวิ่งออกไปรับหน้าด้วยตัวเอง

ผู้ว่าการขนส่งผู้นี้มีอายุเกินห้าสิบปีแล้ว หนวดเคราขาวโพลน หน้าตาธรรมดา หว่างคิ้วมีไฝสีดำ ทำให้หน้าตาที่ดูธรรมดาทั่วไปของเขาพิเศษขึ้นมาหน่อย

“ข้าคือจางสิงอิง รับหน้าที่เดินทางไปตรวจสอบอวิ๋นโจวตามพระกระแสรับสั่งขององค์จักรพรรดิ นี่คือเอกสารภายใน” ผู้ตรวจการจางหยิบสมุดเล่มบางออกมาแล้วส่งไปให้

“ที่แท้ก็ใต้เท้าผู้ตรวจการนั่นเอง เสียมารยาทแล้วๆ เชิญด้านในขอรับ” เมื่อผู้ว่าการขนส่งอ่านดูเอกสารเสร็จแล้วก็ยื่นคืนด้วยความเคารพ จากนั้นหันกายผายมือเชิญให้

คนทั้งคณะเดินเข้าไปในที่ทำการ ผู้ว่าการขนส่งนำผู้ตรวจการจางมายังห้องโถงใหญ่ของที่ทำการ หลังจากนั่งลงดื่มชาแล้ว ผู้ว่าการขนส่งก็เอ่ยยิ้มๆ

“ใต้เท้าผู้ตรวจการเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จึงคิดจะพักผ่อนอยู่ที่อวี่โจวสักหลายวันหรือขอรับ”

เขาสังเกตดูผู้ตรวจการที่มาจากเมืองหลวงผู้นี้อย่างใจเย็น คิดเพียงแต่อีกฝ่ายเป็นคนน่าเบื่อที่เคร่งขรึมจริงจังเท่านั้น ตั้งแต่พบหน้าจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยเผยรอยยิ้มออกมาเลย

‘ใต้เท้าที่มาจากเมืองหลวงล้วนมีท่าทางเช่นนี้หรือ’

‘…ผู้ว่าการขนส่งผู้นี้ยังไม่รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องสินะ’ ผู้ตรวจการจางโบกมือ “ข้ามิได้มาพักที่นี่ เพียงมาดูความคืบหน้าของคดีเท่านั้น”

“ไยจึงกล่าวเช่นนี้ล่ะขอรับ” ผู้ว่าการขนส่งเอ่ยอย่างตกใจ

ผู้ตรวจการจางมองไปด้านนอกโถงใหญ่แล้วกล่าวเสียงดัง “นำตัวเข้ามา!”

สมาชิกกองธงเหลืองทั้ง 62 คนซึ่งรวมถึงชายฉกรรจ์หน้าหนวดฟางเฮ่อถูกนำตัวเข้ามาทั้งหมด ร่างกายของเขามีบาดแผลทั้งเบาทั้งหนัก สีหน้าซึมเซา

เมื่อเห็นคนเหล่านี้ ผู้ว่าการขนส่งก็ยืนขึ้นมาด้วยความตกใจและงุนงง มือชี้ไปที่พวกเขาแล้วมองผู้ตรวจการจาง “คนพวกนี้มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดถึงสวมชุดเครื่องแบบของสำนักงานขนส่งของข้าได้”

“นี่ก็คือสาเหตุที่ข้ามาเยี่ยมเยียนใต้เท้าผู้ว่าการขนส่ง”

จากนั้น ผู้ตรวจการจางก็บอกเรื่องทั้งหมดให้ผู้ว่าการขนส่งฟังอย่างละเอียด คนหลังฟังจบแล้วก็หน้าซีดเผือด ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เอ่ยพึมพำว่า “ไม่ใช่เรื่องดี ไม่ใช่เรื่องดีเลย…”

จิ๊ๆ บุคลิกท่าทางจะแย่เกินไปแล้วกระมัง เทียบกับขุนนางที่ข้าเคยรู้จักในเมืองหลวงแล้ว ผู้ว่าการขนส่งคนนี้ก็เป็นแค่ระดับสำริดดีๆ นี่เอง…สวี่ชีอันบ่นออกมาในใจ สังเกตดูสีหน้าและท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ว่าการขนส่งไปพลาง

ผู้ตรวจการจางเอ่ยเสียงขรึม “ใต้เท้าผู้ว่าการขนส่ง ข้าขอถามท่าน คดีนี้ท่านรู้เห็นหรือไม่?”

ผู้ว่าการขนส่งส่ายหน้าเป็นพัลวัน แก้ตัวอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าไม่รู้เรื่องนะ ใต้เท้าผู้ตรวจการ…”

ผู้ตรวจการจางไม่สนใจ หันหน้าไปมองโหรชุดขาวในกลุ่มคน โหรชุดขาวสองสามคนก็พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการแสดงว่าเขาไม่ได้โกหก

นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ผู้ตรวจการจางก็เอ่ยว่า “เจ้ากองส่งอยู่ในที่ทำการหรือไม่”

ตอนนี้ผู้ว่าการขนส่งถึงหันความสนใจไปที่ตัวคนร้าย แค้นนักที่มีนกสองหัวคนหนึ่งอยู่ใต้บัญชาของตน เขาเอ่ยเสียงขรึมว่า

“เจ้ากองส่งเหยียนข่ายผู้นั้นลาพักวันนี้ ไม่อยู่ในที่ทำการ ข้าจะพาผู้ตรวจการจางไปจับกุมเจ้าคนร้ายผู้นั้นเดี๋ยวนี้”

เจ้ากองส่งเหยียนข่ายไม่อยู่ในที่ทำการ ผู้ตรวจการจางจึงโบกมือสั่งให้กองทหารพยัคฆ์ทะยานกระจายตัวไปล้อมจวนสกุลเหยียนเสีย

หยางมู่หัว ผู้ว่าการขนส่งจากสำนักงานขนส่งก็นำมือปราบยี่สิบคนไปด้วยเช่นกัน

หลังจากกองทหารพยัคฆ์ทะยานกระจายตัวไปแล้ว เจียงลวี่จงก็พาคนทำลายประตูบุกเข้าไปซึ่งๆ หน้า กุมตัวคนรับใช้และผู้คุ้มกันในจวนเอาไว้ทั้งหมด

กองทหารพยัคฆ์ทะยาน มือปราบจากสำนักงานขนส่ง และหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสามกำลังพลพลิกหาทั่วทั้งจวนสกุลเหยียน รวดเร็วประดุจสายฟ้า ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ตอบสนอง

“ใต้เท้า คนอยู่ที่ห้องหนังสือขอรับ”

มือปราบจากสำนักงานขนส่งเป็นผู้พบเหยียนข่ายก่อน เมื่อสวี่ชีอันตามเพื่อนร่วมงานไปยังห้องหนังสือก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว เขาเห็นเลือดไหลนองเต็มพื้น เหนียวข้นอย่างรวดเร็ว

เจ้ากองส่งเหยียนข่ายนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ใหญ่อย่างไร้กำลัง ศีรษะเอียง ลำคอมีแผลลึกหนึ่งแผล ที่พื้นใต้แขนขวามีกริชด้ามหนึ่งตกอยู่

เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์เช่นนี้อยู่เหนือความคาดหมายของผู้ว่าการขนส่งหยางและผู้ตรวจการจาง ความตื่นตะลึงและโกรธเกรี้ยวสุมอยู่เต็มอก

แต่ไฟโทสะของทั้งคู่นั้นแตกต่างกัน ความโกรธของผู้ว่าการขนส่งใกล้เคียงกับความโมโหอย่างไร้ความสามารถมากกว่า เมื่อเจ้ากองส่งตาย สายตาทั้งหมดก็จะมารวมกันที่ตัวเขา เขาจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยคนแรกสุด

ส่วนผู้ตรวจการจางนั้นเป็นความโกรธประเภทต้มเป็ดสุกแล้วแต่เป็ดกลับบินหนีไปได้

คนมีมากเกินไป จะทำลายที่เกิดเหตุได้ง่าย…อีกอย่างก็รับประกันไม่ได้ว่าฆาตกรไม่ได้อยู่ที่นี่ มีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะทำลายเบาะแสสำคัญ…สวี่ชีอันเป็นผู้ที่ใจเย็นที่สุด ขณะที่ความคิดวาบผ่าน เขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

“ทุกคนออกไปจากห้องหนังสือ ไปรออยู่ข้างนอก”

ผู้ตรวจการจางที่ได้ยินประโยคนี้ก็ตื่นตะลึง เขากวาดมองทุกคนแล้วเอ่ยเสียงเครียด “ไปรออยู่ข้างนอกให้หมด ออกไปจากห้องหนังสือ”

ไม่นาน ในห้องหนังสือก็เหลือเพียงเจียงลวี่จง สวี่ชีอัน และใต้เท้าทั้งสอง

“ใต้เท้าผู้ตรวจการ เหยียนข่ายผู้นี้จะต้องฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิดแน่นอนขอรับ คดีนี้ไม่เกี่ยวกับข้านะ” ผู้ว่าการขนส่งหยางอธิบายไม่หยุด กำจัดความสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว

ผู้ตรวจการจางไม่สนใจเขาเลย หันไปพูดกับสวี่ชีอันว่า “สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าตรวจดูให้ดี”

ผู้ว่าการขนส่งหยางเหลือบมองสวี่ชีอันอย่างอดไม่ได้ ไม่นานก็ละความสนใจ แล้วหันไปอธิบายกับผู้ตรวจการจางต่อ พล่ามปรับทุกข์ว่าตนนั้นบริสุทธิ์

“รอยเลือดแข็งตัวเป็นก้อน เพิ่งตายได้ไม่นาน แต่ต้องเป็นก่อนที่พวกเราจะเข้ามาในจวน” เจียงลวี่จงกล่าว

“น่าจะตายตอนที่พวกเราเข้าไปในสำนักงานขนส่งขอรับ” สวี่ชีอันพยักหน้า

เขาตรวจดูศพของเหยียนข่ายคร่าวๆ บาดแผลชัดเจนเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องชันสูตรอีก เขาถูกปาดคอ ตัดเส้นเลือดขาดตาย

ตรวจดูศพเรียบร้อยแล้ว สวี่ชีอันก็ไปตรวจดูทั่วทุกมุมของห้องหนังสือตามปกติ เพื่อตามหาร่องรอยเบาะแสที่อาจมีอยู่

ทั้งการกระทำนี้ใช้เวลาเพียงห้านาทีสั้นๆ สวี่ชีอันก็ถอนหายใจ “ใต้เท้าผู้ตรวจการ เขาถูกฆาตกรรมขอรับ ไม่ใช่ฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด”

ผู้ตรวจการจางพยักหน้า “เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น”

ผู้ว่าการขนส่งที่พร่ำบ่นไม่หยุดก็หยุดแก้ตัวแล้วหันไปมอง

“หากเส้นเลือดแดงใหญ่ถูกตัดขาด คนก็ขาดอากาศหายใจ…และจากสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอด จะต้องมีการดิ้นรน ไม่ใช่อยู่ในท่านั่งเช่นนี้ แน่นอนว่า เรื่องแค่นี้ยังไม่พอตัดสินว่าเขาถูกฆ่าได้” สวี่ชีอันกล่าว

“เหยียนข่ายเป็นคนถนัดซ้ายใช่ไหมขอรับ”

ผู้ว่าการขนส่งหยางตะลึง “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

“ข้างนิ้วกลางมือซ้ายมีตุ่มด้านหนาๆ อยู่ เกิดจากการจับพู่กันตลอดปี ตุ่มด้านของคนทั่วไปจะอยู่ที่นิ้วกลางมือขวา ดังนั้นข้าเลยเดาว่าเขาเป็นคนถนัดซ้ายขอรับ

“พวกท่านดูที่แผลบนคอ ด้านซ้ายลึก ด้านขวาตื้น นี่เป็นรอยมีดที่เกิดจากการถือดาบด้วยมือขวาขอรับ”

‘เทพมาก’ …ผู้ว่าการขนส่งมองสวี่ชีอันด้วยความตื่นตะลึง ในดวงตาไม่มีแววดูถูกแม้แต่นิดอีกแล้ว สามารถหาเบาะแสออกมาในเวลายังไม่ถึงครึ่งก้านธูป และวิเคราะห์ถึงสาเหตุการตายที่แท้จริงได้

สำหรับผู้ว่าการขนส่งที่ไม่เชี่ยวชาญการสืบคดี นี่คือการแสดงความสามารถที่ทำให้คนตบโต๊ะชมเปาะได้เลย

‘ช่างร้ายกาจนัก’ …ผู้ตรวจการจางก็เพิ่งเคยเห็นความสามารถในการสืบคดีของสวี่ชีอันกับตาตัวเองเป็นครั้งแรก แม้เขาจะเคยได้ยินได้ฟังมานานแล้วก็ตาม ไม่ว่าขุนนางในเมืองหลวงจะเผยแพร่เรื่องฆ้องทองแดงตัวน้อยผู้นี้อย่างไรก็ช่าง แต่การได้ยินกับได้เห็นด้วยตามันคนละเรื่องกันเลย

‘ถึงอย่างไรไม่มีประโยชน์ ไม่อาจทำให้การสืบคดีความคืบหน้าได้…สาเหตุการตายของเหยียนข่ายคือถูกปาดคอ ไม่เหมือนการตายแบบฉูดฉาดที่พ่อมดฆ่าคนในฝัน แต่ก็เพราะวิธีการฆาตกรรมที่เรียบง่ายเช่นนี้เป็นสิ่งที่ใครก็ทำได้ จึงยิ่งทำให้หาตัวฆาตกรได้ยาก…ในสถานการณ์ที่ไม่มีการตรวจตราดูแล การไขคดีนั้นเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยมากจริงๆ’

“ประตูหน้าต่างไม่มีร่องรอยงัดแงะหรือทำลาย เห็นได้ชัดว่าฆาตกรกับผู้ตายรู้จักกัน ไปสอบปากคำคนรับใช้ในจวนเถอะขอรับ ดูว่ามีคนมาเยี่ยมเยียนที่นี่ หรือว่าได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเหยียนข่ายบ้างหรือไม่ อีกอย่างควรสอบปากคำทุกคนในสำนักงานขนส่งด้วย ซึ่งรวมไปถึงใต้เท้าผู้ว่าการขนส่ง และจำไว้ว่าต้องตรวจค้นตัว หลีกเลี่ยงไม่ให้มีอาวุธเวทมนตร์ปกปิดกลิ่นอายมาบดบังการสังเกตการณ์ของวิชามองปราณขอรับ” สวี่ชีอันให้ความเห็น

ผู้ตรวจการจางกล่าว “ใต้เท้าผู้ว่าการขนส่ง โปรดให้ความร่วมมือแก่พวกเราด้วย”

เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ต่อจากนั้น โหรสามคนของสำนักโหราจารย์ก็สังเกตดูขุนนางและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานขนส่งอย่างไม่หยุดหย่อน

แต่กลับไม่เป็นผล เมื่อเจ้ากองส่งเหยียนข่ายเสียชีวิต เบาะแสของคดี ‘โจรกรรมยักยอกทรัพย์’ ก็ถูกทำลายลง

ผู้ตรวจการจางพร้อมด้วยเจียงลวี่จงไปยังสำนักงานตุลาการความมั่นคงของอวี่โจว หน่วยงานนี้รับผิดชอบการลงโทษตัดสินคดี เป็นหน่วยงานที่ดูแลจัดการเรื่องนี้ได้พอดี ขณะเดียวกันก็เป็นหน่วยงานในกำกับดูแลของราชสำนักด้วย อยู่ในฝ่ายตรวจการ

ผู้ตรวจการจางก็คือขุนนางตรวจสอบของฝ่ายตรวจการ เป็นหัวหน้าโดยตรงของสำนักงานตุลาการความมั่นคง

ท่ามกลางแสงสายัณห์ยามเย็น สวี่ชีอันอยู่บนหลังคาของสำนักงานขนส่ง รับแสงอาทิตย์สีทอง และคิดวนเวียนเรื่องคดีนี้อยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา

เจ้ากองส่งตายไปคนหนึ่ง เบาะแสของทั้งคดีก็หายไปด้วย อา นี่ก็เป็นเบาะแสเหมือนกัน หมายความว่าคนที่อยู่หลังม่านไม่ได้ควบคุมทั้งสำนักงานขนส่ง

ดูจากจุดนี้แล้ว นี่ไม่ใช่แค่คดีทุจริตธรรมดาๆ จริงๆ ด้วย…เจ้ากรมโยธาหมดอำนาจไปแล้ว แต่สำนักงานขนส่งของอวี่โจวยังคงลอบส่งแร่เหล็กไปยังอวิ๋นโจวซ้ำๆ ต่อไป…นี่แปลว่ายังมีคนควบคุมอยู่หลังม่าน อำนาจของคนผู้นี้ไม่มาก ประสานได้แค่เจ้ากองส่งคนหนึ่ง ไม่สิ อาจไม่ใช่ว่าอำนาจไม่มาก ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะต้องการปิดบังเป็นความลับ

ถ้าไม่ใช่เพราะข้าที่มีโชคช่วยมาพบเข้าล่ะก็ เรื่องลักลอบส่งแร่เหล็กก็อาจจะดำเนินต่อไปก็ได้

ในเมื่อมีการลักลอบขนส่งแร่เหล็ก เช่นนั้นจะมีลักลอบส่งเกลือหลวงกับดินประสิวหรือไม่ ต้องให้ราชสำนักตรวจสอบสำนักงานขนส่งของทุกๆ มณฑลดูสักหน่อยแล้ว

“การเดินทางไปอวิ๋นโจวครั้งนี้เกรงว่าจะอันตรายกว่าที่คิดเสียอีก” สวี่ชีอันครุ่นคิดด้วยความกังวล พลันได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกเขาอยู่ข้างล่าง

“หนิงเยี่ยน ไป ไปเที่ยวที่สำนักสังคีตกัน” ซ่งถิงเฟิงยืนอยู่ในลานที่ว่าการ กวักมือเรียกเขา

“ไม่ไป ข้ากำลังคิดเรื่องเป็นงานเป็นการอยู่” สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“ไปเถอะ ได้ยินว่าสาวๆ ของสำนักสังคีตที่อวี่โจวรู้จักปรนนิบัติดีมากๆ เลยนะ” ซ่งถิงเฟิงเพียรรบเร้า

“ไปแต่สำนักสังคีตทั้งวี่ทั้งวัน ระวังจะเลื่อนขั้นไม่ได้ตลอดชีวิตเถอะ” สวี่ชีอันตอบกลับด้วยหวังจะหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้า[1]

สำนักสังคีต อวี่โจว

ท่ามกลางเสียงดนตรีไพเราะเสนาะหู สวี่ชีอันยกแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วหัวเราะเสียงดัง “มา ดื่มๆๆ ลอยอยู่ในน้ำมาหกวันแล้ว”

เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยกแก้วขึ้น แต่ละคนมีสาวงามผู้หนึ่งอยู่ข้างตัว รินเหล้าเคล้าสุราให้ แย้มยิ้มหวานหยาดเยิ้ม

สวี่หนิงเยี่ยนตามมาอย่างที่คิด เรื่องนี้ซ่งถิงเฟิงไม่ได้แปลกใจนัก ถ้าพูดให้ถูกต้องบอกว่าอยู่ในการคาดเดาต่างหาก

ตอนที่อยู่เมืองหลวง สวี่ชีอันไม่เคยเป็นคนชวนไปสำนักสังคีตก่อนเลย ล้วนเป็นซ่งถิงเฟิงที่เสนอขึ้นมา จากนั้นเขากับจูกว่างเสี้ยวก็ตามไปด้วยกัน

บางครั้งตอนที่สวี่หนิงเยี่ยนกำลังฝึกตนอยู่ เขาก็มักจะถูกด่ากลับมาว่า ‘ซ่งถิงเฟิง หัดมีจิตสำนึกสักหน่อยเถอะ อย่ามากวนข้าฝึกตนจะได้ไหม’

พอด่าจบก็ตบก้นตามมาด้วย

สำนักสังคีตของอวี่โจวแตกต่างจากเมืองหลวง พื้นที่ไม่ได้ใหญ่โต แต่ปลูกสร้างอยู่ใกล้แม่น้ำ มีเรือนหกหลัง และหอสูงสองหลัง ทิวทัศน์งดงามชนะเลิศ

ผิวน้ำที่ไหลเป็นคลื่นทำให้เงาสะท้อนของโคมแดงบิดเบี้ยว เสียงดนตรีดังไปทั่วเรือน ล่องลอยไปตามผิวน้ำ สะท้อนเป็นแสงพราวระยับ

ด้วยตำแหน่งฐานะของพวกสวี่ชีอันแล้ว ย่อมไม่ไปดื่มเหล้ากับนักเที่ยวร้อยพ่อพันแม่เหล่านั้นในหอใหญ่แน่นอน และด้วยการนำทางของเจ้าหน้าที่จากสำนักงานขนส่ง พวกเขาจึงมาประชุมชากันที่เรือนของคณิกานามว่า หงซิ่ว

คณิกานามว่าหงซิ่วผู้นี้คล้ายจะไม่เต็มใจ คนทั้งคณะกินเหล้าอยู่ในเรือนตั้งเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว นางยังไม่ออกมาเลย

…………………………….

[1] หลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้า หมายถึง สั่งสอนผู้คนให้เป็นคนดี มีความสามารถ