ขณะที่กล่าวประโยคนี้ สีหน้าของถงเหยียนเฉยชา น้ำเสียงเองก็ปรกติธรรมดา แต่หากพินิจให้ดีแล้ว นั่นกลับเป็นความโหดร้ายอย่างมาก เต็มไปด้วยการเย้ยหยัน เพราะการเหยียดยามเช่นนี้แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าไม่อยู่ในสายตา
ซั่งจิ้วโหลวสีหน้าแปรเปลี่ยนทันที ใบหน้าแดงเรื่อ แต่กลับกล่าวอะไรไม่ออก เพราะแม้แต่ตัวเขาก็จำเป็นต้องยอมรับว่าถ้าหากว่ากันถึงเรื่องพรสวรรค์แล้ว เขายังห่างชั้นจากถงเหยียนมากนัก
ด้านหน้าต้นไม้ใหญ่มีเสียงหัวเราะที่ดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างมากดังขึ้นมา
“ฮ่าๆๆๆ ถงเหยียน เจ้านี่ยโสโอหังเหมือนอย่างที่ร่ำลือจริงๆ ในสายตาไม่เคยเห็นหัวคนอื่น…แต่ว่า ข้าชอบ”
กู่หยวนหยวนยิ้มพลางกล่าวขึ้นมา “บันทึกการเดินหมากทั้งหมดของเจ้า ข้าได้ศึกษาดูอย่างจริงจังแล้ว ข้ายอมรับว่าพรสวรรค์ของเจ้านั้นแข็งแกร่งจริงๆ ทว่าข้าเองก็มิได้แย่ ประเดี๋ยวลองดูไหม?”
ถงเหยียนเหลือบมองเขา กล่าวว่า “เฟิงเตาเล่นหมากล้อมไม่เป็น แต่กลับคาดหวังจะให้เจ้ามาเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ที่เบาปัญญาป่าเถื่อนของคนเหนือ ช่างโง่เขลายิ่งนัก”
กู่หยวนหยวนรู้สึกโมโหขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าถือดียังไงมากล่าวเช่นนี้?”
“เขาเล่นหมากล้อมไม่เป็น แล้วเอาอะไรมาตัดสินว่าเจ้าเล่นหมากล้อมเป็น?”
ถงเหยียนกล่าวจบประโยคนี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนเดินหน้าต่อไป
เชวี่ยเหนียงย่อตัวลงเล็กน้อย ทำการคารวะกึ่งอาจารย์ให้แก่เขา
ถงเหยียนมิได้หยุดฝีเท้า หากแต่กล่าวว่า “ข้าไม่ชอบเล่นหมากกับเจ้าเด็กทางเหนือนั่น เอาชนะเขาให้ได้”
ครั้นได้ยินประโยคนี้ เชวี่ยเหนียงรู้สึกดีใจอย่างมาก เพราะการที่ได้ยินถงเหยียนกล่าวเช่นนี้ นั่นหมายถึงการยอมรับจากเขา
รอยกระบนใบหน้าของสาวน้อยคล้ายจะกระโดดออกมา สีหน้าของกู่หยวนหยวนแปรเปลี่ยนเป็นดูแย่อย่างมาก
ไป๋เจ่ามองดูภาพเหตุการณ์นี้อยู่ในป่าอย่างเงียบๆ ภายใต้ผ้าแพรสีขาวพอจะมองเห็นนางส่ายศีรษะเล็กน้อยจนยากที่จะสังเกตเห็นได้
เซี่ยงหว่านซูเดินตามถงเหยียนไปข้างหน้า บนใบหน้ามีร้อยยิ้มเจื่อนๆ
ถึงแม้สำนักจงโจวจะเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า —- หลายคนล้วนคิดเช่นนี้ อย่างน้อยศิษย์ของสำนักจงโจวก็คิดเช่นนี้ — แต่คำพูดและการกระทำของศิษย์พี่ก็แข็งกร้าวเกินไปจริงๆ เหล่าผู้อาวุโสของเรือนอี้เหมาน่าจะไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ แต่กู่หยวนหยวนนั้นเป็นคนที่เทพดาบแย่งตัวมาจากกองทัพเจิงเป่ยด้วยตัวเองเชียวนะ
แล้วศิษย์พี่ยังไปพูดอีกว่าท่านเทพดาบโง่เขลา…
หากเทพดาบโกรธเกรี้ยวขึ้นมาจริงๆ ใครจะรู้ว่าอาจารย์เหล่านั้นจะฉวยโอกาสก่อเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า งานแต่งของท่านกับศิษย์พี่คงจะถูกคัดค้านหนักขึ้นเป็นแน่
……
……
“ถงเหยียน วันนี้อารมณ์ของเจ้าเหมือนจะปัญหา พูดมากเกินไป ข้าค่อนข้างเป็นห่วงนะเนี่ย”
ภายในหุบเขาพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือกลิ่นสุรา กลิ่นนั้นไม่รุนแรง ต่อให้เป็นคนที่รังเกียจสุราเป็นที่สุดอย่างเชวี่ยเหนียงก็มิได้รู้สึกว่าเหม็นอะไร
……
……
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ดมได้กลิ่นสุรานี้ เซ่อเซ่อพลันตะลึงลาน สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นขึ้นมา นางรีบดึงแขนเสื้อของจิ๋งจิ่ว
“คนที่ร้ายกาจจริงๆ คนนั้นมาแล้ว!”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่มุดออกมาจากพุ่มหญ้าคนนั้นมีนามว่าเหอจาน
ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตเขามีอีกฉายาหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากกว่า นั่นคือ — คนที่สอง
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “ทำไมถึงเรียกชื่อนี้?”
เซ่อเซ่ออธิบาย “เพราะไม่ว่าจะเป็นงานชุมนุมเหมยฮุ่ยหรือประลองทางธรรมวิถี เขาก็ล้วนแต่ได้ที่สอง หรือพูดอีกอย่างก็คือได้แค่ที่สอง…”
เจ้าล่าเยวี่ยเลิกคิ้วถามว่า “เขาเข้าร่วมการประลองทางธรรมวิถีได้ด้วยหรือ?”
เซ่อเซ่อถอนใจออกมา กล่าวว่า “พี่เจ้า ดูเหมือนปกติท่านจะไม่ค่อยได้พูดคุยจริงๆ…หลุดประเด็นอีกแล้ว ยังไงซะเขาก็เป็นข้อยกเว้น พวกเรากลับไปพูดเรื่องงานชุมนุมเหมยฮุ่ยดีกว่า เขาเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยสามครั้ง ในการประลองหมากล้อมทุกครั้งล้วนแต่ได้ที่สอง การประลองเขียนพู่กันจีนและวาดภาพก็ได้ที่สอง เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่รู้มีผู้บำเพ็ญพรตหญิงมากมายเท่าไรที่ชื่นชอบเขา”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “ในเมื่อเก่งทั้งหมด เหตุใดไม่ลงประลองพิณ?”
เซ่อเซ่อกล่าวว่า “ได้ยินว่าเขาคิดว่าการดีดพิณเป็นเรื่องที่มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นถึงจะทำ”
เจ้าล่าเยวี่ยส่ายศีรษะ มิได้มีความสนใจอะไรคนผู้นี้อีก เพียงแค่รู้สึกไม่เข้าใจ สามารถคว้าอันดับที่สองในการประลองของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยได้ตั้งหลายรายการ เช่นนั้นจะต้องมีชื่อเสียงอย่างมากแน่นอน เหตุใดตนเองจึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน?
“เขาเป็นผู้บำเพ็ญพรตไร้อาจารย์ อืม…ได้ยินว่าคบค้าสมาคมกับพรรคมารเหล่านั้นด้วย นายน้อยของสำนักเสวียนอินคือเพื่อนสนิทของเขา ดังนั้นเหล่าอาจารย์จึงแอบปกปิดชื่อของเขาไว้ แต่เขาก็ยังมีชื่อเสียงอย่างมาก ที่ท่านกับจิ๋งจิ่วไม่รู้จักเขา…ข้าเองก็รู้สึกแปลกใจอย่างมากเหมือนกัน”
เซ่อเซ่อจนปัญญา
เจ้าล่าเยวี่ยรู้จักนายน้อยของสำนักเสวียนอินผู้นั้น ว่ากันว่าพรสวรรค์ในด้านการบำเพ็ญพรตของเขาดีกว่าลั่วไหวหนานเสียอีก มีชื่อเสียงอย่างมากในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
—- กระทั่งนางยังเคยได้ยิน เช่นนั้นก็ย่อมต้องมีชื่อเสียงอย่างมากจริงๆ
“ในเมื่อไปมาหาสู่กับพรรคมาร เหตุใดถึงยังอนุญาตให้เขาเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยอีก? ถึงขนาดให้ลงประลองทางธรรมวิถีได้”
“ว่ากันว่าผู้อาวุโสจากสำนักต่างๆ เสียดายความสามารถของเขา ทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาเข้าสู่วิถีมารจริงๆ จึงจงใจดูแลเขาเป็นพิเศษ…”
แต่เซ่อเซ่อพลันพูดเสียงเบาๆ ว่า “ท่านแม่เคยบอกว่า ความจริงแล้วเป็นเพราะเขาไม่มีสำนัก หลายสำนักต่างอยากรับเขาเป็นศิษย์ ถึงได้ทำแบบนี้”
จิ๋งจิ่วได้ยินเช่นนี้ รู้สึกว่าคนที่ชื่อเหอจานผู้นี้ไม่เลว ยิ่งไปกว่านั้นฉายาคนที่สองที่ว่านั้นก็ไม่เลว ในใจครุ่นคิดว่าจะรับไว้เป็นศิษย์ดีหรือไม่
ทันใดนั้นเขาคลำไปที่ข้อมือของตนเอง ก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่าโซ่กระบี่ได้ถูกเขาเอาไปใส่ไว้บนข้อมือของปีศาจจิ้งจอกที่ชื่อเสี่ยวเหอแห่งเมืองอิ้งเฉิงแล้ว ตอนนี้สือซุ่ยน่าจะออกจากหมู่บ้านไปแล้ว หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น ตอนที่กลับมายังคงเป็นเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ อย่าได้เป็นเหมือนศิษย์พี่ของเขาเมื่อครั้งนั้นเลย
……
……
ร่างกายเหอจานกำยำ ดูเหมือนเมื่อครู่เขาจะนอนอยู่ในพุ่มหญ้า มิเช่นนั้นจะต้องถูกตนเห็นไปนานแล้ว
เขาปัดเศษหญ้าที่อยู่บนเสื้อผ้าออก ถือไหสุราเดินไปด้านหน้าถงเหยียน กวาดตามองขึ้นลง แลดูสงสัย
ท่าทีที่ถงเหยียนมีต่อเขาไม่เหมือนกับคนอื่น กล่าวว่า “นึกว่าครั้งนี้เจ้าจะไม่มา”
“มีเรื่องสนุกให้ดู ข้าย่อมต้องมาแน่นอน”
เหอจานยิ้มๆ พลางมองไปยังริมธาร
จิ๋งจิ่วและคนอื่นๆ อยู่ตรงนั้น
ถงเหยียนมองไปทางนั้น กล่าวว่า “เจ้าและข้าล้วนเป็นพวกบ้าคลั่ง ก็แค่เพิ่มมาอีกคนหนึ่งเท่านั้น มีอะไรให้ต้องสนใจ”
“หลายวันก่อนข้าได้เจอเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง แตกต่างจากพวกบ้าคลั่งอย่างพวกเราโดยสิ้นเชิง ข้าได้รับแรงบันดาลใจมาบ้าง จึงมีความก้าวหน้า”
เหอจานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าคิดว่าตอนนี้ข้าเอาชนะเจ้าได้”
ถงเหยียนกล่าว “อย่างนั้นหรือ?”
เหอจานกล่าว “ถ้าระดับของเจ้ายังเป็นเหมือนตอนที่อยู่เมืองซวงซานเมื่อปีที่แล้วล่ะก็”
ถงเหยียนกล่าว “อย่างนั้นปีนี้ก็ไม่มีหวังแล้วล่ะ”
กล่าวจบประโยคนี้ เขาก็สืบเท้าเดินขึ้นเขาไปต่อ
เหอจานเดินตามฝีเท้าเขาไป กล่าวเซ้าซี้ต่อว่า “ถ้าไม่ลองดู ข้าไม่มีทางเชื่อเจ้า”
ต้นไม้เขียวขจี แสงอาทิตย์สาดลงไปบนผิวน้ำ
ขณะที่ถงเหยียนเดินผ่าน เขามิได้เหลือบมองดูจิ๋งจิ่วและคนอื่นๆ เลย
เหอจานหยุดฝีเท้า ยกมือขึ้นมาคารวะพวกเขา พลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “เจ้า…ท่านคือคนผู้นั้น?”
ขณะที่กล่าว เขาไม่ได้มองจิ๋งจิ่ว หากแต่มองเจ้าล่าเยวี่ย
เห็นได้ชัดว่าเขามิได้สนใจจิ๋งจิ่วที่เข้าร่วมประลองหมากล้อมเลย เพียงแต่รู้สึกใคร่รู้ในตัวเจ้าล่าเยวี่ยที่ร่ำลือกันเท่านั้น
เจ้าว่าเยวี่ยกล่าว “มีอะไร?”
เหอจานยกไหสุราที่อยู่ในมือขึ้นมาพลางเลิกคิ้ว
เจ้าล่าเยวี่ยส่ายศีรษะ
เหอจานทำสีหน้าเบื่อหน่าย
เซ่อเซ่อกล่าวถามขึ้นมาอย่างอยากรู้อยากเห็น “นี่คือเหล้ากระดูกมังกรที่ท่านเป็นคนหมักเองที่ร่ำลือกันใช่หรือไม่?”
“ก็แค่เจียว[1]แก่ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งนักพรตรุ่นก่อนยังเป็นคนสังหารด้วย ข้าเพียงแค่โชคดีเก็บกระดูกมาได้สองสามท่อนเท่านั้น”
เหอจานยิ้มพลางกล่าว “อีกอย่างหมักมานานขนาดนี้แล้ว มันมิได้มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะ เพียงแต่รสชาติยังพอใช้ได้ อยากลองดูไหม?”
เซ่อเซ่อใช้หางตาเหลือบมองดูศิษย์พี่ชุ่ย
เหอจานยิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “พวกเราไปคุยกันทางด้านนั้นดีไหม?”
……
……
เหอจานพาสาวน้อยมานิ่งกินปลาย่างร่ำสุราอยู่บนลำธาร
มิใช่ทุกคนจะมีอารมณ์มานั่งพักผ่อนหย่อนใจเหมือนอย่างเขา
ความสนใจของทุกคนล้วนแต่อยู่ที่ตัวถงเหยียน พวกเขาต่างอยากรู้ว่าถงเหยียนจะเลือกศาลาไหน
ถงเหยียนยืนอยู่ริมผา สองมือไพล่หลังมองออกไปนอกภูเขา สายลมพัดโบกเสื้อผ้า ส่งเสียงดังฟิ้วๆ
ตรงนั้นไม่มีศาลา เหมือนกับริมธารที่จิ๋งจิ่วอยู่
เสียงพูดคุยในเขาฉีผานดังขึ้นเรื่อยๆ
ถงเหยียนคล้ายคิดจะยืนอยู่ริมผาจนกระทั่งการประลองหมากล้อมเริ่มขึ้น
ไม่มีใครรู้ว่าต้องรออีกนานเท่าไร
เจ้าล่าเยวี่ยพลันพูดกับจิ๋งจิ่วว่า “อย่าเอาเก้าอี้ออกมา”
จิ๋งจิ่วกำลังเตรียมจะหยิบเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมา ครั้นได้ยินคำพูดนี้จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าเองก็ใส่ใจเรื่องนี้?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “วันนี้เจ้าเป็นตัวแทนชิงซานลงประลอง ต้องให้ความสำคัญหน่อย”
จิ๋งจิ่วคิดว่ามีเหตุผล จึงนั่งลงไปบนพื้นหญ้า
…………………………………………………………………
[1]เจียว คือมังกรในตำนานประเภทหนึ่ง