ตอนที่ 668 ฟู่ยื่อลัวใจสลาย

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ในสวรรค์ไท่หวง ที่เขตแดนเผ่ามาร ลู่หลีไปกล่าวลาฟู่ยื่อลัว “มหาราชา ข้าออกมาจากแดนใต้พิภพนานเกินไปแล้ว ข้าจำต้องกลับไปยังแดนใต้พิภพ ข้าจะนำกองกำลังจากไป”

ฟู่ยื่อลัวขมวดคิ้วเล็กน้อยและถาม “ศิษย์พี่หญิงยังคงไม่ได้จับตัวโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพเลย แล้วทำไมเจ้าถึงรีบร้อนที่จะไปนัก”

“อาคันตุกะจากแดนบาดาลไม่มีทางปล่อยให้ข้ามีโอกาสจับตัวโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ ข้าเองก็รู้เจียมตัวดี ด้วยอิทธิพลอำนาจของข้า ข้าไม่อาจต่อกรกับแดนบาดาลได้ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจที่จะล่าถอย”

ลู่หลีลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “มหาราชา ในเมื่อพวกเราสองต่างก็เป็นเผ่ามาร ดังนั้นให้ข้าให้คำแนะนำกับเจ้าสามข้อก่อนจะไปเถอะ”

ฟู่ยื่อลัวตอบไปด้วยความใคร่รู้ “ศิษย์พี่หญิง เชิญกล่าว”

“ข้อแรกคืออดทน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องอดทน ข้อที่สองคือหดหัว สาเหตุที่เต่าบกมีอายุยืนนานนั้นก็เพราะว่ามันหดหัวเก่ง ข้อที่สามคือจงรักภักดี การจงรักภักดีไม่มีอะไรผิดพลาด ลาก่อน!”

ลู่หลีหวีดร้องด้วยเสียงต่ำ ทำให้สัตว์ประหลาดใต้พิภพทั้งหลายแปรเปลี่ยนเป็นควันดำและกระจัดกระจายไป ร่างของลู่หลีหันกลับ และนางค่อยๆ จมลงไปในพื้นดิน หายวับไปโดยไร้ร่องรอย

ที่สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ

ในที่สุดฉินมู่ก็ระบายลมหายใจโล่งอก และกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็มุ่งหน้าไปยังดาวผิดประหลาดเพื่อสั่งความให้เทพเจ้าที่กำลังเข้าไปในสันตินิรันดร์เคลื่อนที่ช้ากว่านี้สักหน่อย แบบนั้นสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณถึงเสถียรขึ้น

ตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบในหน้าอก โหลเชียนจ้งได้สร้างบาดแผลสองรอยเมื่อแทงทะลุอกของเขา เขาได้ทำลายยอดง่ามตรงกลางที่เล็งมายังหัวใจ แม้ว่าอีกสองยอดง่ามจะแทงเข้าไปในตัวเขา แต่ก็พลาดจุดสำคัญ

นั่นคือเหตุที่ว่าทำไมแสงกระบี่ที่สามของเขาจึงสำคัญที่สุด มันปกป้องชีวิตของเขาด้วยการทำลายภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด

เพราะถึงอย่างไรโหลเชียนจ้งก็แข็งแกร่งอย่างสุดขั้ว แม้ว่าฉินมู่จะหลบเลี่ยงจุดตายไปได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ยังคงไม่เบา ลำพังแค่น้ำลายมังกรนั้นไม่เพียงพอที่จะเยียวยาเขา เศษซากทักษะเทวะของโหลเชียนจ้งยังคงไม่ถูกขับออกไปจากบาดแผล

ฉินมู่ทำความสะอาดบาดแผล และขจัดเศษซากทักษะเทวะของโหลเชียนจ้ง เขาขับเคลื่อนคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลพร้อมกับใช้น้ำลายมังกร เขาถึงค่อยรู้สึกดีขึ้น

ความปั่นป่วนวุ่นวายมาจากสะพาน และเมื่อฉินมู่เดินขึ้นไปดู เขาก็เห็นว่าผู้ฝึกวิชาเทวะที่พิทักษ์สะพานอยู่ได้ขัดขวางฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีเอาไว้

ทหารรักษาการณ์เห็นฉินมู่เดินเข้ามา และรีบกล่าว “จ้าวลัทธิ สองคนนี้มาจากเผ่ามาร และโหวกเหวกที่จะไปยังสันตินิรันดร์ผ่านสะพานนี้”

ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกเจ้าได้เข้ามาในเขตแดนมนุษย์ แล้วยังคิดอยากจะไปสันตินิรันดร์อีก พวกเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะสังหารพวกเจ้าหรือ”

เจ๋อหัวหลีส่ายหัวและกล่าว “พี่ฉิน เจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น หากว่าต่อสู้กันหนึ่งต่อหนึ่งตามกฎยุทธจักรแล้ว ข้าไม่เคยกลัวใครในเผ่ามนุษย์นอกจากเจ้า โหลเชียนจ้งได้ทำให้เจ้าบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้ เจ้าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”

“ใครบอกว่าข้าจะยึดตามกฎยุทธจักรล่ะ”

ฉินมู่ฉงนฉงาย “ที่ข้าสวมใส่อยู่คือชุดขุนนางแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ดังนั้นข้าย่อมยึดตามกฎของสภาราชสำนัก กฎของสภาราชสำนักสันตินิรันดร์ ก็คือไม่มีกฎกติกาอะไรในการต่อสู้”

ฉีเจี่ยวอี๋กลายเป็นกระวนกระวาย และเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าเป็นระยะๆ ฉินมู่กลายเป็นสงสัยขึ้นมาเมื่อเห็นฉีเจี่ยวอี๋มองไปรอบๆ อย่างเลิ่กลั่ก นี่ฉีเจี่ยวอี๋ระแวงว่าเขาจะเรียกคนมารุมกระทืบ หรือว่าเขามองหาอย่างอื่นกันแน่

เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า แต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ

“ทำไมศิษย์พี่ทั้งสองถึงยืนกรานที่จะไปสันตินิรันดร์ด้วยล่ะ ดาวเคราะห์นั้นกำลังเข้าไปในสันตินิรันดร์ และพลังงานที่ย้ายสลับมานั้นมหาศาลเกินไป หากว่าพวกเจ้าต้องการจะเข้าไปในสันตินิรันดร์ พลังงานที่ย้ายสลับมาก็จะยิ่งมหาศาลมากขึ้น”

ฉินมู่กล่าวอย่างจริงใจ “ให้เหตุผลกับข้ามา และบางทีข้าอาจจะตกลงให้ไป”

เจ๋อหัวหลีไม่รู้ว่าทำไมฉีเจี่ยวอี๋ถึงยืนยันที่จะไปยังสันตินิรันดร์ เขาจึงมองไปยังฉีเจี่ยวอี๋

สีหน้าของฉีเจี่ยวอี๋ซีดเผือดสลับมืดคล้ำ เขากัดฟันกรอดและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “จ้าวลัทธิฉิน แม้ว่าข้าจะไปร่ำเรียนมาจากจักรพรรดิดำแดนบาดาล แต่ข้าก็ไม่สามารถทนได้กับวิธีการจัดการเรื่องราวของแดนบาดาล ถ้าข้ามีบางอย่างที่ข้าต้องทำ ข้าก็จะหยุดมันเมื่อถึงเป้าหมาย แต่พวกเขาไม่หยุดที่อะไรทั้งสิ้น! วิธีการที่พวกเขาจัดการเรื่องราวทั้งอำมหิตและโหดร้าย ในเมื่อพวกเราต้องยืมเส้นทางของเจ้าเพื่อช่วยชีวิตตนเอง ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากบอกถึงสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำ”

ฉินมู่รับฟังอย่างอดทนขณะที่คนอื่นกำลังวุ่นวายกับการเสริมความแข็งแกร่งให้กับสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ได้นำทุกๆ คนใช้พลังวัตรเพื่อสะกดข่มการสั่นสะเทือน เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ได้เรียนรู้วิธีการคำนวณมากมายในช่วงหลายปีมานี้ แต่ความสำเร็จของเขาก็ยังคงไม่สูงส่ง เขาได้แต่อาศัยพลังวัตรอันเข้มข้นของตนเพื่อรักษาเสถียรภาพของของสะพาน และยิ่งจนปัญญาเมื่อมาถึงเรื่องการซ่อมแซมอักษรรูน

ฉีเจี่ยวอี๋กล่าวต่อ “แม้ว่าเจ้าจะมีบันทึกเป็นตาย แต่เจ้าก็ไม่รู้ถึงอานุภาพที่แท้จริงของบันทึกเป็นตาย บันทึกเป็นตายแห่งแดนบาดาลสามารถควบคุมความเป็นและความตาย ปลุกคนตายขึ้นมาใหม่ จักรพรรดิดำแดนบาดาลสร้างสมบัติวิเศษเช่นนี้ขึ้นมา และไม่ว่าดวงวิญญาณของผู้ตายจะซ่อนอยู่ในแดนใต้พิภพหรือแดนบาดาล พวกมันก็จะถูกบังคับเพรียกขานมาด้วยบันทึกเป็นตาย”

ฉินมู่หัวใจโลดเต้น “บันทึกเป็นตายมีความสามารถเช่นนี้ด้วยหรือ นี่ไม่แปลว่าโหลอวิ๋นชวีสามารถขับเคลื่อนคนตายทั้งหมดในสวรรค์ไท่หวงเพื่อต่อสู้แทนพวกเขาได้อย่างนั้นหรือ ทั้งสามคนเทียบเท่ากับกองทัพเทพยดาทั้งกองเชียวหรือ”

“ไม่เพียงเท่านั้น!”

ฉีเจี่ยวอี๋กล่าว “เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่สวรรค์ไท่หวง แต่เป็นสวรรค์หลัวฝู!”

ฉินมู่ร้องออกมา “นักบุญคนตัดไม้ตกอยู่ในอันตราย!”

ฉีเจี่ยวอี๋แกว่งขนหงอนข้างหลังศีรษะของเขาอย่างกระวนกระวาย “พี่ฉิน เจ้าประเมินความอำมหิตและโหดร้ายของพวกเขาอย่างใจดีเกินไปแล้ว แดนบาดาลใช้ทุกวิธีการอันต่ำช้าเมื่อต้องจัดการเรื่องราว ไม่เพียงแต่พวกเขาจะทำลายสัตยาบันภูติบดี และทำให้พันธสัญญาระหว่างมารและมนุษย์กลายเป็นไร้ผล พวกเขายังต้องการทำลายล้างสวรรค์ไท่หวง และถล่มพวกเจ้าให้ราบไปในรวดเดียว!”

ข้อมูลพวกนี้ทำจิตคิดของฉินมู่กระเจิดกระเจิงไปหมด “เจ้าหมายถึงว่า…โหลอวิ๋นชวีจะบูชายัญสวรรค์หลัวฝูและทำให้สวรรค์หลัวฝูเข้ามาชนกับสวรรค์ไท่หวงอย่างนั้นหรือ! เป็นไปไม่ได้ นี่จะทำให้เผ่ามารบาดเจ็บล้มตายอย่างมหาศาล นี่ไม่เท่ากับว่าเขาได้ล่วงเกินเผ่ามารด้วยหรอกหรือ ฟู่ยื่อลัว เขา…”

เสียงเขาดังก้องไปในบริเวณโดยรอบ และผู้คนที่กำลังเสริมแกร่งให้แก่แท่นสังเวยอยู่ก็หยุดมือและหันมามองดูเขา

“นั่นแหละ ข้าถึงบอกว่าเจ้าใจดีเกินไป”

ฉีเจี่ยวอี๋เงยหน้าและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขากล่าวอย่างรวดเร็ว “ทำไมสภาสวรรค์ถึงจะต้องใส่ใจกับความเป็นและความตายของเผ่ามารด้วยล่ะ หากว่าสภาสวรรค์ไม่ยี่หระ แดนบาดาลก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน นั่นคือทั้งหมดที่ข้าต้องการพูด ข่าวชิ้นนี้เพียงพอที่จะแลกกับหนทางรอดของข้ากับเจ๋อหัวหลีหรือไม่”

ฉินมู่จิตคิดปั่นป่วน และเขาโบกมือ เสียงของเขาแหบพร่า “ปล่อยพวกเขาไป ปล่อยพวกเขาไป…”

“ขอบคุณมาก!”

ฉีเจี่ยวอี๋โค้งคารวะและลากเจ๋อหัวหลีที่ยังมึนงงสับสนไปยังยอดแท่นสังเวย เขาเดินเข้าไปในสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ และทั้งคู่ก็หายวับไป

หัวใจของฉินมู่สับสน และเขาพลันตะโกนไป “เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ เทพเที่ยงแท้ผางอวี้!”

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ที่อยู่ข้างๆ ก็ตกตะลึง เขารีบถาม “จ้าวลัทธิฉิน ที่ฉีเจี่ยวอี๋กล่าวนั้นจริงหรือไม่”

ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องพิทักษ์ป้องกันสวรรค์ไท่หวงอีกต่อไป! เทพเที่ยงแท้ ไปเรียกทัพทุกๆ คนให้ออกมาจากเมืองหลี เมืองนวลอาภา และเมืองอื่นๆ ให้พวกเขารีบมาที่นี่และอพยพไปยังสันตินิรันดร์!”

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ลังเลและกล่าว “หากว่าฉีเจี่ยวอี๋ให้ข่าวเท็จล่ะ นั่นไม่เท่ากับปล่อยสวรรค์ไท่หวงให้พวกเขายึดครองหรอกหรือ”

ฉินมู่กล่าวอย่างเย็นเยียบ “หากว่ามันจริง ทหารมากมายแห่งสวรรค์ไท่หวงก็จะตกตายอย่างน่าอนาถ!”

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้กัดฟันกรอดและรีบเหาะจากไป

ฉินมู่ยังจิตใจปั่นป่วน และเขางยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้า เขามองไปยังเมืองหลี เมืองนวลอาภา และเมืองเทพยดาเมืองอื่นๆ และในท้ายที่สุดก็มองไปยังดาวเคราะห์แสงฉานที่กำลังเคลื่อนที่ไป เขาพลันตะโกน “เสริมแกร่งสะพานย้ายสลับต่อไป! เลิกมึนงงได้แล้ว เร็วเข้า!”

เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนและคณะพลันตระหนักขึ้นมา และรีบทำงานต่อ

ฉินมู่เองก็เดินกลับไปกลับมา เขาหยุดเท้าและนำเอาบันทึกเป็นตายออกมา เขากัดฟันกรอดและกล่าว “ข้าจะใช้สิ่งนี้ได้อย่างไร โหลอวิ๋นชวีแห่งแดนบาดาลสามารถปลดปล่อยพลานุภาพแห่งบันทึกเป็นตายออกมาได้ แล้วทำไมข้าถึงปลดปล่อยพลานุภาพของมันออกมาไม่ได้”

เขาทดสอบมันแล้ว ทดสอบอีก กระนั้นบันทึกเป็นตายก็ทำได้แค่สะท้อนชื่อของคนที่ถูกส่อง แต่ไม่อาจปลุกคนตายให้ลุกขึ้นมาได้

ในตอนนั้นเอง ท้องฟ้าก็กลายเป็นเจิดจ้ายิ่งขึ้น ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นไปมอง และหัวใจของเขาก็ตกวูบ เขาเห็นเพลิงเปลวไฟแล่นไหลบนท้องฟ้า และมันคือแผ่นปฐพีที่ถูกเผาไหม้เหนือสวรรค์ไท่หวง

สวรรค์หลัวฝู

ทั้งสวรรค์หลัวฝูถูกเผาไหม้ แผ่นดินกำลังสั่นไหว และภูเขาไฟก็กำลังระเบิดออกมา ลาวาได้ไหลนองไปที่แผ่นปฐพี และทะเลก็ระเหยหายไปจนหมด แปรเปลี่ยนเป็นเมฆสายฟ้าอันไร้ประมาณ!

รอบๆ แท่นสังเวย เทพเจ้าทั้งหมดมีสีหน้างงงัน พวกเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าอันว่างเปล่า

ภาพนี้ทั้งน่าเกรงขามและน่าตื่นตระหนก มันทำให้พวกเขาหลงลืมทุกสิ่งทุกอย่างและแหงนมองขึ้นไป

“เสริมแกร่งแท่นสังเวย!” ฉินมู่ตะโกนปลุกทุกคนออกจากภวังค์

ทุกคนตื่นขึ้นมาและรีบเสริมแกร่งให้แก่แท่นสังเวย ความเร็วของดาวเคราะห์ที่เข้าไปในสันตินิรันดร์เพิ่มขึ้นมา และนำแรงกดดันแก่แท่นสังเวยมากขึ้นไปอีก เห็นได้ชัดว่าเทพเจ้าในโลกลอยเลื่อนก็เห็นภาพปรากฏการณ์บนท้องฟ้า และหมายที่จะจากไปก่อนที่สวรรค์หลัวฝูจะร่วงลงมา

เมืองหลีอยู่ใกล้ที่สุด และเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ใช้พลังวัตรมหาศาลเพื่อเคลื่อนย้ายกองทัพ เทพเจ้าอื่นๆ แห่งสวรรค์ไท่หวงก็เคลื่อนกำลังพลออกมาด้วยเช่นกัน และพวกเขาก็รีบรุดไปยังเมืองเทพยดาอื่นๆ เพื่อเคลื่อนทัพมายังสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ

ฉินมู่รีบปล่อยให้ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงเข้าไปในสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ อันเพิ่มแรงกดดันแก่สะพานอย่างหนักหนาสาหัส พื้นดินในบริเวณรอบๆ ปริร้าวอย่างต่อเนื่อง และรอยแยกลึกมากมายก็ปรากฏ มีแต่สะพานย้ายสลับที่ยังคงตั้งตระหง่าน

หากว่ามันยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป สะพานย้ายสลับก็ไม่อาจทานทนได้อีกนาน

“ปล่อยให้ผู้ฝึกวิชาเทวะไปก่อน เทพเจ้าอยู่รอทีหลัง!”

เทพซังเย่ตะโกนและกล่าว “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ไปเมืองเทพยดาอื่นๆ!”

เทพเจ้ามากมายจากไป และรีบนำพาทหารจากเมืองอื่นๆ มา ผู้คนมากมายห้อมล้อมเนืองแน่นรอบๆ สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ และพวกเขาก็ล้วนแต่รอเข้าไปในสะพาน

พลังจิตวิญญาณที่พวยพุ่งออกมาจากสะพานนั้นยิ่งมาก็ยิ่งรุนแรง แสงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และมันยิ่งเจิดจ้ากว่าการบูชายัญสวรรค์หลัวฝูเสียอีก สะพานย้ายสลับยิ่งสั่นสะเทือนมากขึ้น ขณะที่พื้นดินรอบๆ มีเสียงลั่นเปรี๊ยะดังสนั่น!

ยูไลหม่า ผู้ใหญ่บ้าน และคนอื่นๆ รีบรุดมา และใช้พลังวัตรของพวกเขาเพื่อสะกดข่มสะพานเอาไว้ ความช่วยเหลือนี้ช่วยลดแรงกดดันให้แก่ซวีเซิงฮวาและคณะเป็นอย่างมาก ทำให้พวกเขาสามารถซ่อมแซมอักษรรูนที่แตกหักได้

ฉินมู่รีบนำเอาเครื่องมือการคำนวณของเขาออกมา และสังเกตการณ์ความเร็วการร่วงตกของสวรรค์หลัวฝู เขาคำนวณเวลาที่สวรรค์หลัวฝูจะพุ่งเข้าชนกับสวรรค์ไท่หวงว่าจะเป็นเมื่อไหร่ และชนที่ไหนอย่างรวดเร็ว ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็วางเครื่องมือการคำนวณลงไปด้วยความห่อเหี่ยว

“เหลือเวลาอีกเพียงสองชั่วยาม…”

และสถานที่มันจะตกลงมานั้นก็กว้างใหญ่ไพศาล มันคือใจกลางของสวรรค์ไท่หวง และอยู่ชิดใกล้กับเมืองหลี รัศมีของแรงกระแทกนั้นกว้างกว่าหมื่นลี้ ไม่ว่าจะเป็นเขตแดนมารหรือเขตแดนมนุษย์ มันก็จะถูกสวรรค์หลัวฝูบดขยี้เข้าไปตรงๆ!

เขารู้สึกหมดปัญญาอย่างถึงก้นบึ้ง การพุ่งชนแบบนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจป้องกันเอาไว้

ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นเงาร่างหนึ่งเหาะขึ้นไปจากดาวเคราะห์ และพุ่งตรงไปยังสวรรค์หลัวฝูที่ร่วงหล่น มันมีแสงสว่างจากเผ่ามารที่พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และมุ่งหน้าตรงไปยังสวรรค์หลัวฝูด้วย แสงเหล่านั้นคือเทพเจ้าแห่งโลกลอยเลื่อนและมารเทวะแห่งเผ่ามาร!

เทพและมารเหล่านั้นใช้พลานุภาพของกายเนื้อและพลังวัตรของตนเพื่อผลักสวรรค์หลัวฝูออกไปด้วยกำลัง พยายามที่จะเปลี่ยนเส้นทางเดิมของการพุ่งชน!

ในสวรรค์หลัวฝู เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวสะท้านพิภพดังมาเมื่อเทพเจ้าหลายพันตนใช้กำลังทั้งหมดที่มีซัดถล่มเข้าใส่สวรรค์หลัวฝู แม้ว่าพวกเขาจะกล้ามเนื้อฉีกผิวหนังขาด พวกเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแรงส่งของสวรรค์หลัวฝูได้ แต่ก็ทำให้สวรรค์หลัวฝูเบี่ยงเส้นทางตกได้เล็กน้อย

สวรรค์หลัวฝูกดทับลงมาราวกับจานบินขนาดมหึมาที่กำลังร่วงลงมายังสวรรค์ไท่หวง

เมื่อเวลาผ่านไปแต่ละวินาที ผู้ฝึกวิชาเทวะก็เข้าไปในสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณมากขึ้นและมากขึ้น ทหารยังคงถูกส่งมาจากทั่วสารทิศอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มากกว่าครึ่งของดาวเคราะห์ก็จมเข้าไปในสันตินิรันดร์

ห่าฝนเพลิงไฟซัดถล่มลงมาจากท้องฟ้า และนั่นคือสะเก็ดแตกของสวรรค์หลัวฝู หินก้อนใหญ่มากมายร่วงลงจากนภากาศ หินติดไฟหลายร้อยหมื่นพุ่งกรีดฟ้าและทิ้งหางควันหนาเข้มเมื่อพวกมันพุ่งลงมายังดิน

ในเขตแดนเผ่ามาร ฟู่ยื่อลัวกำลังรีบพุ่งทะยานไปและเคลื่อนย้ายผู้ฝึกวิชาเทวะจากเผ่ามารให้ไปยังเมืองอันมีการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งก็คือเมืองแทะทึ้ง

มารเทวะตนอื่นๆ ก็กำลังทำเรื่องเดียวกัน แต่ฟู่ยื่อลัวและคณะเพียงแต่เคลื่อนย้ายผู้ฝึกวิชาเทวะชนชั้นสูง ส่วนมารชั้นเลวทั้งหลายถูกปล่อยให้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา

สายตาของฟู่ยื่อลัวปราศจากอารมณ์ และเขาทำในสิ่งที่ต้องทำไปโดยอัตโนมัติ

เมื่อเขามายังเมืองคู่สม มันก็เงียบสงัดอย่างเหลือเชื่อ ผู้คนที่นี่ไม่แตกตื่นเหมือนกับเมืองอื่นๆ

เมืองคู่สมนั้นสงบเงียบ แม้ว่ามารทั้งหลายจะเดินออกมาบนถนน แต่ก็ไม่มีใครส่งเสียง

เขาเห็นมารดากอดบุตรของนางบนถนนและเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เด็กซุกหน้าลงกับหน้าอกแม่ของตน เขาเห็นกระทั่งคู่รักที่กอดกันและกันเอาไว้แน่น ใบหน้าของเขาพวกสงบเงียบเมื่อมองไปยังท้องฟ้า

บนท้องฟ้า แผ่นดินแตกชิ้นใหญ่ร่วงลงมายังเมืองคู่สม และในสายตาของพวกเขา ชิ้นส่วนแตกหักนั้นใหญ่โตขึ้นทุกทีๆ เพลิงไฟก็ยิ่งร้อนแรงถึงขั้นที่ใบหน้าของพวกเขาแดงฉาน

“หนีไป!” ฟู่ยื่อลัวตะโกนไปยังพวกเขา

ไม่มีสหายร่วมเผ่าคนไหนตอบเขามา และมารดาก็กล่อมเด็กน้อยในอกของนางอย่างอ่อนโยน ไม่มีใครมองไปที่มหาราชาของตน

ตูม

ชิ้นส่วนแตกหักของสวรรค์หลัวฝูตกลงมา ลบล้างเมืองคู่สมไปทั้งเมือง มารทั้งหมดในเมืองถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ด้วยเพลิงไฟและการระเบิด ระเหิดพวกเขาเป็นไอควันในเสี้ยววินาที แรงระเบิดน่าสะพรึงกลัวได้ซัดฟู่ยื่อลัวกระเด็นขึ้น และปลิวไปไกลหลายร้อยลี้

ฟู่ยื่อลัวพุ่งเข้าไปชนกับภูเขาและเงยศีรษะขึ้นมองท้องฟ้า มองไปยังท้องฟ้าที่พังภินท์ด้วยความเหม่อลอย

เขาลุกขึ้นยืน และมันก็มีรอยช้ำเลือดมากมายบนร่าง เขาพลันปลดปล่อยเสียงร้องคำรามด้วยความเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยวไปยังท้องฟ้า ราวกับหมาป่าเฒ่าที่บาดเจ็บ

“อ๊าา อ๊ากกกก อ๊าาาา–”

ใบหน้าทั้งสามของเขาบิดเบี้ยวอย่างน่าสะพรึงกลัว และเสียงคำรามอันฉีกทึ้งหัวใจก็ดังออกมา มันเป็นเสียงคำรามสั้นๆ ในตอนแรก ราวกับว่าเขาไม่มีพละกำลังเหลืออยู่ เสียงคำรามท้ายค่อยๆ ลากยาวขึ้นทุกทีๆ และยิ่งบิดหัวใจมากขึ้นทุกทีๆ

ภาพนี้ดูคล้ายกับเสียงคำรามแห่งความสิ้นหวังของราชามารตู้เถียนอันยืนอยู่บนซากปรักหักพังของโลกของเขา อันฉินมู่ได้พบเห็นเมื่อตอนนั่งเรือกระดาษเข้าไปในแดนใต้พิภพ ความใจสลายและความอับจนปัญญาอัดแน่นอยู่ในเสียงกู่ร้องของเขา