บทที่ 10.4 ชื่อเสียงป่นปี้ (4)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 10 ชื่อเสียงป่นปี้ (4) โดย Ink Stone_Romance

“ดี…ดียิ่ง จวนอ๋องหนานเหอของพวกท่านช่างไร้เยื่อใยเสียจริง!” ฮูหยินแซ่จางโกรธอย่างถึงที่สุด ขบเขี้ยวพูดลอดไรฟันออกมาไม่กี่คำ มองเห็นจางติ่งตัวอ่อนปวกเปียกถูกลากออกไป ในที่สุดก็รับไม่ไหว กระอักเลือดออกมาเป็นลมล้มพับไปโดยพลัน

“ท่านแม่!” จางอวิ๋นอี้และคนแซ่เจิ้งตื่นตระหนกตกใจทำอะไรไม่ถูกต่างก็รีบเข้าไปโอบฮูหยินแซ่จางอย่างอลม่าน

ฮ่องเต้มองด้วยสายตาเย็นเยียบ ไม่มีสีหน้าอ่อนโยนแม้แต่น้อย เพียงแต่กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ติ้งเป่ยโหวทุจริตปิดบังต่อเบื้องบนมีโทษมหันต์ เผยแพร่ราชโองการของข้าออกไป ถอดยศสกุลจาง ตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมด หักเงินหกแสนตำลึงเข้าท้องพระคลัง เพื่อใช้ในการซ่อมแซมเขื่อนอีกครั้ง เห็นแก่ความสัมพันธ์ของจางคังและข้าในสมัยก่อน คนอื่นในสกุลจางก็ไม่อาจปล่อย เอาออกจากราชการให้หมด!”

ฮ่องเต้ยังนับว่าปรานีอยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่าล้างสกุล ก็ยังเหลือเงินตั้งหลักให้พวกเขาด้วย เมื่อไม่มีฐานันดร พวกเขาสกุลจางก็เหมือนถูกผลักเข้าไปอยู่ในบึงโคลนอีกครั้ง ไม่มีตัวตนอีกต่อไปแล้ว!

จางอวิ๋นอี้ที่อยู่ภายใต้ความสิ้นหวังนั้น ส่งแววตาขอความช่วยเหลือไปยังฉู่หลิงอวิ้น “ท่านหญิง ท่านพ่อเขาพลั้งเผลอไปชั่วครู่ วันนี้เขาสำนึกผิดแล้ว พวกเราอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านขอความเมตตาแทนท่านพ่อ ให้เขาได้ทำความดีชดใช้ความผิดด้วยเถิด?”

เวลานี้จะให้นางเปิดปากได้อย่างไร?

ทั้งฉู่อี้หมินก็ยังแสดงท่าทีไม่พอใจต่อนาง

คนแซ่เจิ้งมองเห็นลูกสาวนั้นหน้าแดง นึกถึงจุดจบของสกุลจางในเวลานี้กลับรู้สึกมีความสุขขึ้นมา นางดึงฉู่หลิงอวิ้นมาไว้อีกด้าน “จางอวิ๋นเจี่ยนก็ตายไปแล้ว อวิ้นเอ๋อร์และพวกเจ้าสกุลจางก็ไม่นับว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก เรื่องที่สกุลจางทำความผิด พวกเจ้าก็พยายามแก้ไขกันเอาเอง อย่าได้ดึงนางติดร่างแหไปด้วย!”

หัวใจของฉู่หลิงอวิ้นเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง

ทั้งชีวิตนางล้วนคิดว่าตัวเองนั้นฉลาดไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ ทว่าครั้งนี้เพิ่งจะรู้สึกถึงการถูกข่มขู่ที่มาจากทั่วทิศทางอย่างแท้จริง

ยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับเท้าตัวเอง[1]

ก่อนหน้านี้นางวางแผน เดิมทีก็เพื่อที่จะใช้จุดอ่อนนี้มาควบคุมจางอวิ๋นอี้ กลับเป็นวันนี้ที่ฝีมือไม่ถึง ผลร้ายนี้กลับตกมาสู่ตัวนางเอง

นางรู้ดี หากว่านางไม่ออกหน้าช่วยเหลือ จางอวิ๋นอี้ที่หมดหนทางถอยแล้วก็จะต้องเปิดเผยเรื่องราวของนางอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นชื่อเสียงของนางก็จะป่นปี้ไม่มีเหลือเป็นแน่ และไม่แน่ว่ายังจะถูกฮ่องเต้ประทานความตายให้อย่างลับๆ เพื่อปิดบังเรื่องฉาวโฉ่นี้

“ท่านแม่!” นางรวบรวมสติ มองคนแซ่เจิ้งอย่างร้อนรนใจ คนแซ่เจิ้งปกป้องนาง แต่ว่าฉู่อี้หมินยามนี้กลับโกรธขึ้นหน้าอย่างไม่อาจห้ามได้ ท้ายที่สุดในตอนที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางจึงกัดฟันคุกเข่าลงไปข้างสองสามีภรรยาสกุลจาง พลางกล่าวอย่างจริงจัง “สามีถึงแม้จะตายอย่างเคราะห์ร้าย แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังเป็นสะใภ้สกุลจาง ความผิดที่สกุลจางได้รับ ข้ายินยอมที่จะแบกรับไปกับพวกเขาด้วย”

“เจ้าเด็กคนนี้ ทำเรื่องโง่อะไรลงไป!” คนแซ่เจิ้งเกือบจะพลั้งมือตบหน้านางอยู่รอมร่อ

ฉู่อี้หมินกลับผิดหวังต่อนางอย่างถึงที่สุด กล้ามเนื้อตรงกรามนั้นสั่นไหว พยายามกัดฟันข่มไว้ เบือนหน้าหนีออกไป

จางอวิ๋นอี้ต้องการให้นางออกหน้าร้องขอให้ ไม่คาดคิดว่านางจะทำเพียงขอรับผิดชอบโทษร่วมกับพวกเขา ถูกถอดฐานันดรร่วมกันเช่นนี้

ผลลัพธ์เช่นนี้…

ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเสียหน่อย!

จุดประสงค์ของฮ่องเต้สำเร็จผลแล้ว จึงไม่ได้สนใจรายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้ ก็ลุกจากโต๊ะทรงอักษรเตรียมจะแยกตัวออกไป

จางอวิ๋นอี้เห็นเช่นนั้น ในที่สุดก็ถูกบีบจนหมดหนทาง แววตาประกายเย็นเยียบ ใช้สายตามองไปที่ฉู่อี้หมินอย่างไม่แยกแยะดีชั่ว “ท่านอ๋องหนานเหอ ท่านทำเรื่องก็อย่าได้ทำจนเกินไป พวกเราสองสกุลล้วนเป็นครอบครัวที่เกี่ยวดองกัน บีบบังคับพวกเราจนถึงทางตาย ท่านก็ไม่แน่ว่าจะมีแต่เรื่องดีเสียหน่อย!”

ฉู่อี้หมินเห็นสกุลจางในสายตาตั้งแต่เมื่อใดกัน? แม้แต่ฉู่หลิงอวิ้น เขาในตอนนี้ก็ยังไม่อยากที่จะได้นางมาเป็นลูกสาวอีกต่อไปแล้ว จึงทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด เผยใบหน้าเย็นชาเตรียมจะเดินเคียงไปกับฮ่องเต้ด้านนอก

จางอวิ๋นอี้ที่เห็นเหตุการณ์ ในช่วงเวลาอันสั้นนั้นในใจโกรธจนถึงขีดสุด จู่ๆ เขาก็ยิ้มอย่างมืดมน “แต่ว่าเป็นเพราะลูกสาวใจง่ายของท่านที่ทำเรื่องอับอายลงไป เพื่อที่จะปกปิดเรื่องเน่าเฟะ ท่านก็ทนไม่ไหว รีบลงมือกับสกุลจางของข้าอย่างเหี้ยมโหด อยากจะฆ่าล้างสกุลของพวกเรา? ท่านคิดว่าเช่นนี้จะสามารถปิดบังความอัปยศไว้ได้งั้นรึ? ในเมื่อท่านไม่เหลือทางรอดไว้ให้พวกเรา ข้าก็ไม่จำเป็นจะต้องสนใจสิ่งใดอีกแล้ว!”

ในขณะที่เขาพูดก็ผลักฉู่หลิงอวิ้นมาตรงหน้าฮ่องเต้และฉู่อี้หมิน

ฉู่หลิงอวิ๋นไม่คาดคิดมาก่อน เมื่อถูกเขาผลักอย่างแรงจึงถลาไปอยู่บนพื้น

“เจ้าพูดจาเหลวไหล!” ฉู่หลิงอวิ้นรีบดึงตัวเองขึ้นมา หันหน้ามองไปทางเขาอย่างดุร้าย

จางอวิ๋นอี้นั้นไม่สนใจอะไรแล้วทั้งนั้น…

ในเมื่อฮ่องเต้พูดว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ของท่านปู่จึงเมตตาอยู่บ้าง เช่นนั้นเรื่องที่เขาและฉู่หลิงอวิ้นลักลอบเล่นชู้กันก็เป็นเพียงเรื่องฉาวโฉ่ ไม่ใช่โทษตาย ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดถูกวางไว้ที่นั่นแล้ว เขาก็ไม่เกรงกลัวที่จะดึงเอาชื่อเสียงของจวนอ๋องหนานเหอมารับโทษด้วยกันอีกต่อไป

“ข้าพูดจาเหลวไหลงั้นรึ?” จางอวิ๋นอี้ยิ้มเย็น “เช่นนั้นข้าบอกเรื่องที่พวกเราทำกันเมื่อวานให้ฝ่าบาทและฮองเฮาฟังดีหรือไม่?”

หลัวฮองเฮาและคนแซ่เจิ้งล้วนไม่เชื่อว่าระหว่างฉู่หลิงอวิ้นและจางอวิ๋นอี้จะมีอะไรเกี่ยวข้องกันได้

คนแซ่เจิ้งตาทั้งสองข้างลุกเป็นไฟ ในขณะที่กำลังจะเปิดปาก ฉู่หลิงอวิ้นก็ฉวยโอกาสช่วงอลม่านกล่าวขึ้นก่อน

“ไม่ใช่ข้า! เมื่อคืนวานคือจื่อซวี่ต่างหาก!”

เพิ่งจะพูดจบไป นางก็รู้สึกเสียใจจนอยากจะกัดลิ้นตัวเอง!

เดิมทีก็ไม่มีอะไร พอนางพูดประโยคนี้ขึ้นมา การพยายามปกปิดนั้นก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยขึ้นมาอย่างทันที

คนแซ่เจิ้งร่างสั่นไหว ถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยใบหน้าซีดเผือด

หลัวฮองเฮาตกตะลึงจนเบิกตาค้าง บนใบหน้านั้นมีท่าทีของความผิดหวังและเจ็บปวดมาแทนที่ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างไม่หยุด

จางอวิ๋นอี้ที่อยู่ด้านข้างยังคงเยาะเย้ยถากถาง เล่าอธิบายความอย่างออกรสถึงเรื่องราวของคืนก่อนที่ผ่านมา ขณะนั้นฉู่หลิงอวิ้นก็ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น ถูกมองด้วยสายตาราวกับมีดคมทิ่มแทงมาจากทั่วสารทิศ ในใจพลันรู้สึกสิ้นหวังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“อา…” หลังจากนั้นพักใหญ่ ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะแหบแห้งที่เหมือนจะมีความหมายคลุมเครือดังมาจากฮ่องเต้

ฉู่หลิงอวิ้นชาไปทั่วหนังศีรษะ

พบว่านิ้วของฮ่องเต้นั้นสั่นระริก ริมฝีปากกระตุกอย่างไม่หยุดหย่อน โกรธจนใบหน้ากลายเป็นสีแดงแล้ว เนิ่นนานกว่าจะพยายามพูดออกมาได้หนึ่งประโยค “หลี่รุ่ยเสียง ไป…”

เขายังพูดไม่จบ ก็โกรธขึ้นหน้าจนยากที่จะกล่าวต่อไป

หลี่รุ่ยเสียงไม่ว่าเวลาไหนก็เดาใจเขาถูกอย่างแม่นยำ จึงหมุนกายออกไป ไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมตะแกรงในมือ ด้านบนมีกาหยกใบหนึ่ง ทั้งยังมีชุดแก้วสุราที่แกะสลักด้วยหยก

ใบหน้าของฉู่หลิงอวิ้นไร้สี ขดตัวไปทางด้านหลัง

ฮ่องเต้เหลือบมองดูนาง ก็หันหลังกลับไปโดยไม่มองสักนิด

หลี่รุ่ยเสียงถอนหายใจ ก่อนจะเดินเข้าไป ยกตะแกรงนั้นไปวางบนพื้นตรงหน้านาง “ท่านหญิง เชิญดื่มเสียเถิด!”

“ไม่…” ฉู่หลิงอวิ้นนั้นส่ายหน้าพัลวัน หดตัวไปด้านหลังอย่างไม่หยุด

ฮ่องเต้ประทานความตายให้นาง เช่นนั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว

ในใจของนางยุ่งเหยิงวุ่นวาย ตื่นตระหนกและหวาดกลัว ปีนขึ้นไปดึงกระโปรงคนแซ่เจิ้งเอาไว้ เงยหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตามองหน้านาง ร่ำไห้คร่ำครวญ “ท่านแม่ ท่านต้องเชื่อข้า ข้าไม่เคยทำ ข้าไม่เคยทำเรื่องอันใดที่ทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์เลยจริงๆ จางอวิ๋นอี้คนนั้นกล่าวคำโกหกเพื่อปรักปรำข้า ข้าไม่ได้ทำจริงๆ!”

ไม่เพียงแต่เรื่องครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ที่นางและจางอวิ๋นอี้ถูกเขาจับได้ ฮ่องเต้ก็ได้คาดโทษเอาไว้แล้ว

คนแซ่เจิ้งอย่างไรก็ยอมเสียลูกสาวไปไม่ได้ จึงคุกเข่าลงไปร่ำไห้กอดขาฉู่อี้หมินเอาไว้ “ท่านอ๋อง ท่านพูดสิ อวิ้นเอ๋อร์เป็นผู้บริสุทธิ์ นางเป็นลูกของท่านนะ ท่านคงไม่อาจถึงขนาดกล้ามองดูนางตายได้หรอก! ท่านรีบพูดสิ ไปร้องขอความเมตตาจากฝ่าบาท!”

ฉู่อี้หมินใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว จ้องมองฉู่หลิงอวิ้นเขม็ง ตัวเขาเองก็เกลียดลูกไม่รักดีคนนี้อย่างอยากจะกลืนนางทั้งเป็น ยังจะให้ขอความเมตตาแทนนางงั้นหรือ?

คนแซ่เจิ้งนั้นไร้ซึ่งความหวัง จึงทำได้เพียงปีนไปขอร้องทางหลัวฮองเฮา

หลัวฮองเฮายิ่งโมโหที่ตนเองถูกทำให้ขายหน้า โกรธขึ้นหน้าจนหายใจแทบไม่ทัน…

ฉู่หลิงอวิ้นเป็นหลานรักที่นางคอยประคบประหงมเก็บไว้ในดวงใจมาโดยตลอด แม้ว่าจะเป็นจื่อซวี่ที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับจางอวิ๋นอี้จริงๆ แต่ว่าการวางกลอุบายที่เกี่ยวพันกันมาขนาดนั้น ทั้งยังฆ่าสามีของตัวเองอีก!

เมื่อนึกถึงเด็กคนนี้ที่หัวเราะคิกคักเอาอกเอาใจต่อหน้านางทุกวัน นางก็ตัวสั่นกลัวอย่างลูกนก เวลานี้จะให้นางยืนขึ้นได้อย่างไร?

ตัวของฉู่หลิงอวิ้นไม่ยอมแตะต้องสุรานั้นเป็นแน่ สีหน้าของฮ่องเต้ค่อยๆ หมดความอดทน แววตาของหลัวฮองเฮาสว่างวาบนับครั้งไม่ถ้วน ท้ายที่สุดก็ถือสิทธิ์ตัดสินใจแทนเขา กล่าวด้วยเสียงเบา “แม่นมเหลียง…”

สามคำที่ยังไม่ทันได้พูดให้เข้าใจดี กลับเป็นช่วงเวลาอันสั้นที่เหมือนกับทำให้ฉู่หลิงอวิ้นเจอกับนรกบนดิน

ปฏิกิริยาของนางอย่างแรกก็คือต้องเผ่นหนี

แต่ก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว แม่นมเหลียงพาข้าหลวงสองคนที่มีกำลังมากจับตัวนางกลับมา ทั้งสองคนตรึงร่างนางเอาไว้ ก่อนแม่นมเหลียงจะเดินไปหยิบกาสุราที่พื้น

“ไม่…” คนแซ่เจิ้งร้องอย่างโหยหวนพยายามจะถลาเข้าไป

เย่าสุ่ยจึงนำคนมากักตัวนางไว้อย่างทันที

ฉู่หลิงอวิ้นนั้นเม้มปากหลีกหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่าแม่นมเหลียงกลับใช้แรงบีบคาง ยกกาสุราเทลงไปในปากของนาง

———————————–

[1] ยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับเท้าตัวเอง อุปมาว่าคิดจะทำร้ายผู้อื่น แต่ผลร้ายนั้นกลับย้อนมาหาตัวเอง