EP.196 อีกโลกหนึ่ง 

 

 

แสงของไฟจากติ่งหลอมทะยานสู่ท้องฟ้า หลินมู่อวี่ใช้ปราณยุทธ์เข้าควบคุมขณะความร้อนถึงจุดสูงสุดแล้วเปลี่ยนให้เป็นพลังงานกลับเข้าสู่ติ่งหลอม ไฟร้อนโหมกระหน่ำยิ่งขึ้นจนศิลากว่าร้อยปอนด์เริ่มละลาย ไฟโลกันตร์ส่งเสียงแผดเผา ทั้งห้องตลบอบอวนไปด้วยความร้อนระอุ หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วเครียด หน้าผากมีเหงื่อผุดซึมจนไหลย้อย 

 

 

“ไม่ได้…” 

 

 

กว่าสองชั่วโมงผ่านพ้น หลินมู่อวี่ผ่อนลมหายใจและคลายปราณยุทธ์ ไฟในติ่งหลอมเริ่มมอดดับพร้อมกับหลินมู่อวี่ที่เริ่มหอบเหนื่อย “ศิลากระด้างนี่แปลกประหลาดยิ่ง ทุกครั้งที่ข้าพยายามหลอมมักจะมีพลังบางอย่างด้านในคอยต้านทานอยู่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปข้าคงหลอมศิลาวิญญาณเก้าสวรรค์นี้ไม่สำเร็จเป็นแน่” 

 

 

ลู่ลู่บินออกมาจากทะเลจิต กระพือปีกโบยบินและเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ หากใช้ไฟหลอมระดับห้าแล้วยังยากต่อการหลอมเหล็กวิญญาณเก้าสวรรค์ ท่านพี่ล้มเลิกเสียไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ?” 

 

 

“ไม่ ข้าจะพยายามต่อไป…” 

 

 

“อย่าฝืนตัวเองให้มากเลยเจ้าค่ะ!” 

 

 

“ข้ารู้ตัวดี!” 

 

 

หลินมู่อวี่เชื่อมั่นว่าไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้ ก่อนจะใช้พลังปราณเริ่มหลอมเหล็กวิญญาณเก้าสวรรค์อีกครั้ง ทั้งที่ทำมาแล้วเกือบทั้งคืนทว่าก็ยังไม่สำเร็จ การหลอมเหล็กเริ่มยากขึ้นทุกครั้งที่เริ่มต้นใหม่เพราะสูญเสียพลังไปมาก ส่งผลให้เช้าวันถัดมาหลินมู่อวี่แทบไม่มีแรงจะทำสิ่งใดต่อ เขาล้างหน้าล้างตาและหลับไปด้วยอาการอ่อนเพลีย 

 

 

เมื่อตื่นขึ้นในช่วงบ่ายหลินมู่อวี่ตัดสินใจล้มเลิกความตั้งใจที่จะหลอมเหล็กต่อ เขาควบม้ามุ่งหน้าไปเมืองหลันเยี่ยนเพียงลำพัง ตั้งใจไปส่งแหวนศิลาชิงหมิงให้เหล่ยหงที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ 

 

 

ก่อนหน้านั้นเขาแวะไปยังร้านค้าจักรวรรดิเพื่อขายโอสถฝันคืนสู่สูงสุดให้แก่จินเสี่ยวถัง ซึ่งราคาที่ตกลงไว้คือขวดละไม่ต่ำกว่าห้าพันเหรียญทอง หากขายได้อย่างที่หวังหนึ่งร้อยขวดราคาที่ได้คงตกอยู่ราวสี่หมื่นเหรียญทอง และเงินที่ได้ในครานี้เขาจะเอาไปใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้ 

 

 

เนื่องจากหลินมู่อวี่ที่มาจากครอบครัวนักธุรกิจรู้ดีว่าการขายโอสถฝันคืนสู่สูงสุดหนึ่งร้อยขวดนี้จะทำให้ตลาดเกิดการอิ่มตัวและขายออกยากขึ้น มีเพียงไม่กี่คนที่จะยอมจ่ายเงินห้าพันเหรียญทองซื้อโอสถหนึ่งขวด ในเมื่อไม่มีคนสนใจซื้อสินค้าก็ขายได้ยาก จนในที่สุดโอสถนี้ก็จะไม่เป็นที่ต้องการของตลาดอีกต่อไป 

 

 

หลังจากนั้นหลินมู่อวี่จึงไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ตั้งใจไว้ ท่ามกลางบรรยากาศเหมันต์ฤดู เหล่าม้าร้องคร่ำครวญด้วยความหนาวเย็น เมื่อมาถึงหน้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ กลุ่มทหารองครักษ์ที่กำลังออกกะหลังลาดตระเวนรอบวิหารเมื่อเห็นหลินมู่อวี่ควบม้ามาจึงกรูเข้าไปหาด้วยความตื่นเต้น “ท่านหลินมู่อวี่กลับมาแล้ว…” 

 

 

“อืม…ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่หรือไม่?” หลินมู่อวี่ยิ้มถาม 

 

 

“เรียบร้อยดีขอรับ ท่านหลินมู่อวี่มาพบท่านผู้นำหรือ?” 

 

 

“อืม…ผู้เฒ่าอยู่ข้างในหรือไม่?” 

 

 

“อยู่ขอรับ…” 

 

 

“ขอบใจมาก” 

 

 

เมื่อเข้าไปในตัววิหาร รอบบริเวณอึกทึกไปด้วยเสียงตะโกนฝึกซ้อมรบของเหล่าปรมาจารย์และลูกศิษย์ หลินมู่อวี่นึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับเหล่ยหงว่าต้องกลับวิหารทุกครึ่งเดือนเพื่อมาฝึกสอนแก่คนอื่นๆ เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วนัก หากไม่ใช่เพราะติดหิมะในป่าล่ามังกร เขาคงกลับมาเร็วกว่านี้แล้วเป็นแน่ 

 

 

“ท่านพี่หลินจื้อ!” 

 

 

ใครคนหนึ่งตะโกนออกมาจากโรงฝึกพร้อมกับดาบในมือ…ฉินหยาน! 

 

 

หลินมู่อวี่ยิ้ม “องค์ชายฉินหยานยังฝึกซ้อมไม่เสร็จหรือ?…อีกอย่างที่นี่ข้ามีนามว่าหลินมู่อวี่” 

 

 

“จริงสิ…ข้าลืมไปเสียสนิทเลย” 

 

 

ฉินหยานเกาหัวอย่างเขินอาย “ท่านพี่กลับมาเป็นปรมาจารย์ที่วิหารแล้วใช่หรือไม่ขอรับ? ข้าไม่ได้เจอท่านมาสักพักแล้ว หากมีโอกาสข้าอยากลองประมือดูสักครั้ง!” 

 

 

“ไม่มีปัญหา ทว่าข้าต้องไปพบท่านผู้นำเหล่ยหงเสียก่อน องค์ชายรอข้าได้หรือไม่? ต่อเมื่อเสร็จธุระแล้วข้าจะมาพบท่าน” 

 

 

“อืม รีบไปรีบมานะท่านพี่!” 

 

 

“อืม” 

 

 

ณ โถงกลาง เกอหยางกำลังเดินอยู่ริมสระอย่างอิดโรยเหมือนมังกรเฒ่าที่ไร้เรี่ยวแรง เขาหรี่ตามองหลินมู่อวี่และตะโกนทักทายทั้งที่ยังถือม้วนกระดาษอยู่เต็มมือ “อาอวี่…กลับมาแล้วรึ?!” 

 

 

“ขอรับท่านเกอหยาง ท่านสะดวกพาข้าไปพบท่านผู้นำได้หรือไม่?” 

 

 

“ตามข้ามา…ท่านผู้นำกำลังฝึกวรยุทธ์อยู่ในโถงกลาง” 

 

 

“ขอรับท่านปู่” 

 

 

ประตูโถงกลางเปิดออก ปรากฏทหารองครักษ์วิหารสองนายยืนอารักขาอยู่โดยมีเหล่ยหงนั่งอยู่บนบัลลังก์เจ้าวิหารตรงกลาง สีหน้าดูเคร่งขรึมขณะที่ร่างกายล้อมรอบไปด้วยปราณยุทธ์ เขากำลังฝึกฝนทักษะเทวะที่หลินมู่อวี่ไม่รู้จัก ทว่าเหล่ยหงสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งสองจุดที่เข้ามายังโถงได้ทันที ก่อนจะลืมตาขึ้นแหละกล่าวทักด้วยรอยยิ้ม “อาอวี่ ในที่สุดก็อยากกลับมาวิหารเสียทีนะเจ้า…” 

 

 

หลินมู่อวี่ประสานมือคำนับ “หลินมู่อวี่ผู้นี้ยินดีที่ได้พบท่านปู่ผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ขอรับ…” 

 

 

“เจ้าเด็กบ้า!” 

 

 

เหล่ยหงยิ้มด้วยท่าทีอันอ่อนโยน “ข้าได้ยินข่าวว่าเจ้าไปสร้างคุณงามความดีไว้ที่ตำหนักกวางโศกา ทั้งยังได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพมังกรพเนจร ไหนจะได้เป็นบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิอีก!” 

 

 

หลินมู่อวี่ตกตะลึงชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบ “เป็นบุตรบุญธรรมเพียงในนามเท่านั้น…ไม่ใช่เรื่องลึกซึ้งอันใด ไม่ต้องทำน้ำเสียงหยอกล้อข้าเช่นนั้นก็ได้!” 

 

 

“เป็นเช่นนี้เอง…” เหล่ยหงหรี่ตามองก่อนยิ้มเยาะ “ถึงจะแค่ในนามแต่ชื่อเจ้าก็ถูกสลักไว้ในผังตระกูล แม้จะไม่ใช่ทุกอย่างเท่านี้ก็นับว่าเป็นเกียรติยิ่งแล้ว ได้เข้าสู่ราชวงศ์เป็นสิ่งที่คนทั่วไปมิอาจใฝ่ฝัน ช่างน่าอิจฉาเสียจริง…” 

 

 

“ขอรับท่านปู่เหล่ยหง” หลินมู่อวี่ยิ้ม “ทว่าเหตุผลหลักที่ข้ากลับมาในครานี้คือนำของขวัญมาให้ท่าน…” 

 

 

“ของขวัญหรือ?” 

 

 

เหล่ยหงแววตาลุกโชนด้วยความอยากรู้ “เจ้านำสิ่งใดมาให้ปู่หรืออาอวี่หลานรัก?” 

 

 

หลินมู่อวี่ล้วงมือหยิบแหวนศิลาชิงหมิงออกมาจากถุงสรรพสิ่ง วิญญาณเต่าทมิฬคำรามลั่นปรากฏตัวออกมาจากแหวน หลินมู่อวี่ยื่นแเครื่องประดับชิ้นเล็กไปด้านหน้า “สิ่งนี้ขอรับ…ท่านชอบหรือไม่?” 

 

 

เมื่อสัมผัสกับแหวน…เหล่ยหงรู้สึกได้ถึงพลังจากวิญญาณที่ถูกหลอมเข้าไป ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “อาอวี่นี่คือ…นี่คืออาวุธระดับปราชญ์ใช่หรือไม่?” 

 

 

หลินมู่อวี่ส่ายหัว “ข้าไม่ทราบถึงระดับเครื่องประดับ จึงไม่แน่ใจว่าใช่ปราชญ์หรือไม่ หากท่านชอบข้าก็พอใจแล้วขอรับ” 

 

 

“ชอบ…ข้าชอบมาก!” 

 

 

เหล่ยหงแทบไม่กล้าวางมันลง “เจ้าทำอย่างไร? เจ้าทำอย่างไรถึงสร้างแหวนวงนี้ได้? ข้าอยากถามมานานแล้วว่าเจ้าไปเรียนวิชาหลอมอาวุธเช่นนี้มาจากที่ใด?” 

 

 

หลินมู่อวี่ยิ้มก่อนจะส่ายหน้า “ท่านปู่โปรดอย่าถามเลยขอรับ ข้าเองก็ไม่รู้จะอธิบายให้ท่านเข้าใจได้อย่างไร” 

 

 

“อย่างนั้นรึ?” เหล่ยหงหรี่ตามองและยิ้ม “เจ้าลองพูดมาก่อนเถิด” 

 

 

หลินมู่อวี่เม้มปาก “เช่นนั้น…หากข้าบอกว่ามาจากโลกอื่นท่านจะเชื่อหรือไม่?” 

 

 

เหล่ยหงเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “อาอวี่ เจ้ากำลังล้อข้าเล่นใช่หรือไม่? จะไปมีโลกอื่นได้อย่างไรเล่า? นอกจากโลกนี้แล้วเห็นทีคงมีแต่สวรรค์กับนรกเพียงเท่านั้น โลกทั้งสามนี้ถือเป็นความเชื่อมาแต่โบราณ แล้วเจ้าจะมาจากโลกอื่นได้อย่างไร?” 

 

 

หลินมู่อวี่หัวเราะก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าถึงได้บอกว่าอธิบายไม่ได้ขอรับ ท่านปู่คิดเสียว่าเป็นเรื่องตลกเถิด…แหวนวงนี้เรียกว่า ‘แหวนศิลาชิงหมิง’ มันเป็นศิลาที่ทำลายไม่ได้ ข้าจึงใช้มันหลอมละลายรวมกับศิลาวิญญาณเต่าทมิฬอายุเก้าพันเจ็ดร้อยปี ดังนั้นแหวนนี้จึงมีคุณสมบัติของอสูรวิญญาณในการปกป้องผู้ใช้ ท่านปู่ดูแลมันให้ดีนะขอรับ!” 

 

 

เหล่ยหงสวมแหวนเข้าที่นิ้วโป้ง “อืม…ข้าจะดูแลมันอย่างดี…ขอบใจเจ้ามากอาอวี่ แล้วค่ำนี้เจ้าสนใจค้างแรมและร่วมทานอาหารเย็นที่วิหารหรือไม่?” 

 

 

“คงต้องขอปฏิเสธขอรับ ข้ายังมีเรื่องต้องสะสางอีกมากที่รังอินทรี” 

 

 

“ไม่เป็นไร ยังเหลือเวลาอีกสิบห้าวันกว่าเจ้าจะต้องกลับมาทำหน้าที่ปรมาจารย์ที่นี่” 

 

 

“เรื่องนั้น…หากข้าว่างข้าจะกลับมาขอรับ!” 

 

 

“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน! พอได้ดีแล้วคิดจะลืมกำพืดตัวเองรึ?” เหล่ยหงยิ้ม “ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับไหนแล้วอาอวี่? มาเถิด ใช้ศิลาทดสอบดูว่าเจ้ามีพลังเท่าไหร่” 

 

 

“ขอรับ” 

 

 

หลินมู่อวี่เดินตามทางที่คุ้นเคยไปยังแผ่นศิลาก่อนจะคำรามลั่นรีดปราณยุทธ์ออกมาจนถึงขีดสุด ทันใดนั้นวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเขาด้วยแสงระยิบระยับ! ศิลารอบข้างเปล่งแสงประกาย…เส้นแสงยาวหกเส้น สั้นแปดเส้นเผยออกมาอย่างสุกสกาว 

 

 

เกอหยางที่ยืนมองอยู่ข้างๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหมือนว่าอาอวี่ของเราจะอยู่ขอบเขตนภาขั้นหนึ่งระดับหกสิบแปด ใกล้จะบรรลุถึงจุดสูงสุดของขั้นหนึ่งแล้ว ฝึกฝนอีกเพียงเล็กน้อยก็จะก้าวสู่ขั้นสองและสร้างเกราะพลังปราณได้เสียที” 

 

 

หลินมู่อวี่พยักหน้าอย่างมีความสุข เขาไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์ในป่าล่ามังกร สำนักอัศวิน และการต่อสู้ทั้งมวลที่ตำหนักกวางโศกาจะช่วยให้พลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เหมือนว่าเขาจำต้องฝึกฝนอีกเล็กน้อยเพื่อเลื่อนขั้น ทว่าสิ่งที่น่ากังวลคือเขาต้องพัฒนาไฟหลอมอาวุธระดับต่อไปให้ได้เสียก่อน เนื่องจากการหลอมเหล็กวิญญาณเก้าสวรรค์ที่ล้มเหลวยังคงกวนใจเขาอยู่ 

 

 

หลังจากกล่าวลาเหล่ยหงและเกอหยาง หลินมู่อวี่กระชับกระบี่เหลียวหยวนเดินไปยังโรงฝึก มีผู้ดูแลคนหนึ่งกำลังควบคุมการฝึกซ้อมช่วงเช้าอยู่ เมื่อเห็นหลินมู่อวี่เขาจึงหยุดและคำนับ “ท่านหลินมู่อวี่!” 

 

 

“สวัสดีผู้ดูแลซุนสุย” 

 

 

เกราะเทวะที่หลินมู่อวี่สวมอยู่ไม่ได้แตกต่างจากชุดของปรมาจารย์ทองคำและเงินเท่าไหร่ เว้นเสียแต่เหรียญยศที่ติดอยู่ตรงคอเสื้อเท่านั้น ทั้งยังสัญลักษณ์ดอกหยินสีทองเปล่งประกายแพรวพราวอันเป็นสัญลักษณ์ทางทหารที่เหล่าปรมาจารย์ไม่สามารถเทียบชั้นได้ แม้กระทั่งผู้ดูแลยังต้องคารวะ… 

 

 

ไม่นานนักฉินหยานก็ออกมาจากโรงฝึก ร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ “ท่านพี่กลับมาแล้ว! ทุกคนมาตรงนี้เร็วเข้า ข้ากำลังจะประลองกับท่านพี่!” 

 

 

ทันใดนั้นบรรดาครูฝึกและปรมาจารย์ต่างพากันออกมาตามเสียงเรียก ระหว่างหลินมู่อวี่ที่เป็นอันดับหนึ่งของปรมาจารย์และฉินหยานที่เป็นอันดับหนึ่งของครูฝึก ช่างเป็นคู่ปรับที่น่าสนใจมาก แม้ทุกคนจะใคร่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ทว่าอันที่จริงเพียงอยากเห็นการต่อสู้ของปรมาจารย์ยุทธ์ของจริงเสียมากกว่า เพราะการฝึกยุทธ์ที่แท้จริงคือการแอบทำตามคนสอน! 

 

 

………………………………….