ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 151 จารึกเรือนซอมซ่อ

จอมศาสตราพลิกดารา

หนึ่งหมื่นตำลึงทองไม่ใช่หนึ่งหมื่นตำลึง ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นมหาศาลเกินไป

 

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุพูดขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย “ก่อนหน้านี้ทำไมข้าถึงคิดวิธีนี้ไม่ได้กัน?” หากคิดวิธีนี้ได้ ป่านนี้โรงฝึกยุทธ์พลังพายุได้รวยไปถึงไหนๆ นานแล้ว? ยังต้องจัดลูกศิษย์ไปแบกหามที่ท่าเรือทุกวันเสียที่ไหน?

 

เทพพยากรณ์ได้ยินแล้วตกใจใหญ่ “ดีที่ท่านคิดวิธีเสียสติแบบนี้ไม่ได้ มิฉะนั้นโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเราได้กลายเป็นสำนักร้างไปแล้ว” ขูดรีดข่มขู่ แถมยังรีดไถสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลตัวโหดแบบนั้นอีก นี่ใช่เรื่องที่ใครก็กล้าทำหรือ?

 

แต่ว่าครั้งนี้ ความสมเหตุสมผลอยู่ที่ยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์คนนี้ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ได้

 

“เป็นอย่างไร? คิดให้ดี โอกาสมีเพียงครั้งเดียว” เสียงของหลี่มู่ดังออกมาจาก ‘เรือนซอมซ่อ’ อีกครั้ง “ข้าไม่บังคับเจ้า เจ้าเลือกเอาเอง พูดตามตรงนะ หากข้าเป็นเจ้าแล้วละก็ ข้าจะใช้ดาบฟันให้ตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ลูกไม่เอาถ่านแบบนี้ตายไปเสียก็นับว่าเจ้าได้กำไรแล้ว เสียเจ้าลูกแบบนี้ไปแล้ว เจ้าก็กลับไปตบแต่งอนุพยายามๆ เข้ายังมีได้อีกสองสามคน มีประโยคหนึ่งกล่าวว่าไงนะ อ้อ ลูกคนแรกเลี้ยงจนเสียคนไปแล้ว มีคนที่สองจงใช้ประสบการณ์อบรมเลี้ยงดูใหม่อีกครั้ง” ในน้ำเสียงเจือการหยอกล้ออันมีเจตนาร้าย

 

โจวเต๋อเต้าเหงื่อเต็มหน้าผาก ยืนอึ้งอยู่กับที่ สีหน้าดิ้นรนเหี้ยมเกรียม

 

“ท่านพ่อ ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย ท่านมีข้าเป็นลูกชายแค่คนเดียวนะ…” โจวอวี่ที่ถูกมัดอยู่ในรถม้า ทั้งตัวขยับไม่ได้ พยายามดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ทั้งคร่ำครวญ ร้องลั่น ราวกับตกอยู่ในทรายดูดเหลือแค่หัวที่โผล่ออกมาข้างนอก ตะโกนราวกับคนเป็นฮิสทีเรีย

 

โจวเต๋อเต้ากัดฟัน กล่าวว่า “ได้ ข้ารับปากเจ้า”

 

เขาได้ลูกเมื่อยามแก่ มีแค่ลูกชายคนนี้คนเดียวเท่านั้น ถึงได้ตามใจขนาดนี้ อีกทั้งสิ่งที่ยิ่งสำคัญก็คือ โจวเต๋อเต้าใช่ว่าจะไม่มีอนุ เขาแอบเลี้ยงอนุไว้ข้างนอกอีกหลายบ้าน แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร กินยาวิเศษต่างๆ ไม่รู้ต่อเท่าไหร่ หลายปีผ่านไปก็ไม่มีบุตรอีกเลย เหมือนว่าเขาจะไม่ไหวในด้านนี้แล้ว

 

ดังนั้นลูกไม่เอาไหนคนนี้ เขาต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้

 

ไม่เช่นนั้นจะสืบทอดสกุลต่อไปอย่างไร?

 

“ดี เช่นนั้นเจ้าก็ไปเตรียมเงินมาเถอะ ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน”

 

เสียงของหลี่มู่ดังขึ้น

 

ใบไผ่เขียวชุ่มชอุ่มใบหนึ่งปลิดปลิวลงมาจากกำแพงเขียวมรกตของบริเวณ ‘เรือนซอมซ่อ’ ปลิวลอยละล่องมาพร้อมกับเสียงนี้ มันปลิวเข้าไปในช่องของรถม้า ร่วงลงบนหน้าผากของโจวอวี่ที่ร้องแหกปาก

 

พูดแล้วก็แปลกนัก เพียงเสี้ยวขณะที่ใบไผ่แตะลงไป โจวอวี่ที่ดิ้นรนสุดชีวิตจนหน้าดำหน้าแดงก็สงบลงทันที แววตาของเขากลับคืนสู่สภาพปกติ จากนั้นก็สงบลงแล้วหลับตาช้าๆ เข้าสู่ห้วงนิทราไปเหมือนกับนอนหลับลึก

 

“ภายในหนึ่งวัน เขาจะปลอดภัยไร้กังวล”

 

เสียงของหลี่มู่ดังขึ้นอีกครั้ง

 

โจวเต๋อเต้าพุ่งเข้าไปในรถม้า พิจารณาดูลูกชายอย่างละเอียด หมอชื่อดังที่ตามมาด้วย หลังจากแตะชีพจรก็พยักหน้า พูดขึ้นว่า “ชีพจรของคุณชายโจวสม่ำเสมอ ลมหายใจสงบ อวัยวะภายในเต้นชัดเจน ไม่เป็นอะไรแล้ว แค่หลับไปเท่านั้น”

 

โจวเต๋อเต้าโล่งอก

 

“ขอบคุณท่านยอดปรมาจารย์ที่ออมมือ” เขาประสานมือ

 

จากนั้นหันไปชี้ยังรถม้าสองสามคันข้างหลัง โจวเต๋อเต้าพูดอีก “นี่คือของกำนัลที่ข้าแซ่โจวเตรียมไว้ให้ท่านก่อนมา ท่านโปรดรับเอาไว้ด้วย นี่ไม่ได้นับรวมกับหนึ่งหมื่นตำลึงทองที่ตกลงกันไว้ ก่อนหน้านี้ล่วงเกินท่านไป ขอท่านโปรดอภัยด้วย เพียงแต่สมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลของข้า ทรัพย์สมบัติมีจำกัด รวบรวมหนึ่งหมื่นตำลึงทองให้ได้ภายในหนึ่งวันก็ค่อนข้างฉุกละหุก ขอท่านเมตตาขยายเวลาให้อีกสักหน่อย ให้ข้ารวบรวมนำมามอบให้ภายในหกวันเป็นอย่างไร?”

 

ใน ‘เรือนซอมซ่อ’ เงียบงันไปครู่หนึ่ง ในตอนที่โจวเต๋อเต้าใจเต้นระส่ำ ก็ได้ยินเสียงของยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์ดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าก็แค่อยากจะยืดเวลามอบเงินออกไปหลังจากที่ข้าสู้กับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์บ้าบออะไรนั่นไม่ใช่รึ? หึๆ หากข้าตาย เจ้าก็ไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว ใช่ไหมเล่า?”

 

“นี่ ข้าไม่กล้าเด็ดขาด” โจวเต๋อเต้าเหงื่อเย็นชื้นซึมทั่วหน้าผาก สิ่งที่เขานึกไว้ย่อมเป็นความคิดนี้ นึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะมองออกในชั่วพริบตาเดียว

 

“ข้ารับปากเจ้าก็ได้ เจ้าไปเถอะ” เสียงของหลี่มู่ดังออกมาจากข้างใน

 

โจวเต๋อเต้ารีบหมุนตัวจากไปราวได้รับการละเว้นโทษ

 

คนสกุลโจวก็ถอยไปด้วยเช่นกัน

 

“เจ้าโจวเต๋อเต้านี่มันคนโง่” ใบหน้างดงามของหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์เผยความเหยียดหยาม พูดพร้อมแสยะยิ้ม

 

เทพพยากรณ์ฉงน “เอ๋ ลูกพี่ทำไมคิดอย่างนั้นเล่า?”

 

“เจ้าคิดดูนะ หากยอดปรมาจารย์หลี่มู่สู้จนตายขึ้นมาจริงๆ ถึงตอนนั้นลูกชายของเขาก็ยิ่งไม่มีคนช่วย ได้ตายแน่ไม่ต้องสงสัย หากข้าเป็นเขาจะต้องให้หลี่มู่ถอนอาคมของลูกชายก่อนที่จะไปท้าดวลให้ได้ แบบนี้ถึงจะไม่พลาด” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุกล่าว

 

เทพพยากรณ์ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ลูกพี่ ท่านอาจจะลืมเรื่องอะไรไปเรื่องหนึ่ง”

 

“เรื่องอะไร?”

 

“หากคนที่ลงอาคมตายไป มีโอกาสในระดับหนึ่งว่าอาคมที่ลงไว้ในร่างของผู้โดนอาคมจะสลายไปเองโดยไม่ต้องแก้”

 

“เอ๋? มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”

 

“มีแน่นอน แต่ว่าก็เป็นแค่โอกาสส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ร้อยทั้งร้อย โจวเต๋อเต้าก็กำลังวางเดิมพัน หากหลี่มู่สู้จนตัวตาย และอาคมในตัวโจวอวี่ไม่สลายไป เช่นนั้นโจวอวี่ต้องตายก็ตายไปเถอะ สำหรับเขาแล้วนี่คือลิขิตสวรรค์ ถึงอย่างไรหนึ่งหมื่นตำลึงทองก็มากมหาศาลจนปวดใจเอาการอยู่ ข้าเดาว่าเขาคิดจะฝากการตัดสินใจครั้งนี้ไว้กับสวรรค์มากกว่า” เทพพยากรณ์เอ่ย

 

“มารดามันสิ เจ้าพวกพ่อค้านี่นะ ทั่วตัวช่างเหม็นกลิ่นทองแดง[1]เสียจริงๆ คนที่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมีเยอะเกินไปแล้ว” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุกล่าวดูถูก

 

เทพพยากรณ์เอ่ยไม่ออก

 

“ไป ไปเยี่ยมเยือนสักหน่อย” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์สลัดเปลือกเมล็ดแตงโม ลุกยืนขึ้นเดินไปทางประตูใหญ่ของ ‘เรือนซอมซ่อ’

 

เทพพยากรณ์รีบตามไป “ลูกพี่ ท่านจะไปดึงหลี่มู่มาเป็นพวกจริงๆ รึนี่”

 

“แน่นอนอยู่แล้ว เขาจะเป็นเศรษฐีล้านตำลึงทองเร็วๆ นี้แล้ว ข้าไม่มีทางปล่อยเขาไปเด็ดขาด” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุหยีตาจนเป็นจันทร์เสี้ยว ดวงตาส่องประกายสีทองระยับ ละโมบเป็นที่สุด

 

……

 

หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป

 

“มารดามัน…ปฏิเสธได้ไร้เยื่อใยเสียจริง” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุโมโหจนหน้าอกกระเพื่อม กัดฟันกรอดเดินออกไปจากตรอกไล่หมู พูดงึมงำว่า “หากไม่ใช่ว่าข้าสู้มันไม่ได้แล้วละก็ ข้าจะอัดจนมารดามันจำไม่ได้เลย โมโหจริงๆ”

 

ถึงแม้นางจะได้เข้าไปใน ‘เรือนซอมซ่อ’ สมปรารถนา และก็ได้พบยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์หลี่มู่ในตำนานจริงๆ แต่ว่าความปรารถนาที่จะดึงเขาเข้ากลุ่ม อีกฝ่ายกลับปฏิเสธอย่างไม่ลังเล ทำให้นางขายหน้าเป็นอย่างมาก

 

ทว่าเทพพยากรณ์กลับพูดพลางโคลงศีรษะไปด้วย “ขุนเขาเลื่องชื่อหาใช่สูงหรือต่ำ หากมีเทพสถิตเขานั้นก็เลื่องลือได้ สายน้ำศักดิ์สิทธิ์หาใช่ตื้นหรือลึก หากมีมังกรปกปักก็อำนาจศักดิ์สิทธิ์ได้ เรือนนี้ซอมซ่อโกโรโกโส แต่ข้าที่เป็นเจ้าของเปี่ยมด้วยคุณธรรม ที่แห่งนี้จึงมิได้ซอมซ่อ ฮ่าๆ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ คิดไม่ถึงว่าหลี่มู่คนนี้ไม่ใช่แค่ฝึกฝนทั้งวิชาเวทวิชายุทธ์เท่านั้น พรสวรรค์ด้านอักษรก็เป็นเลิศ ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ บทนี้ยอดเยี่ยมมากพอที่จะเล่าลือไปทั่วหล้าได้ สมกับที่เป็นบัณฑิตจิ้นซื่ออายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ”

 

เขาเห็น ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ บทนี้ที่หน้าอาคารหลักของเขตเรือนเล็ก ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหลี่มู่จึงเรียกชื่อเรือนหลังเล็กที่ราวกับแดนเซียนในชนบทว่า ‘เรือนซอมซ่อ’ ช่างเหมาะจริงๆ ทุกคำทุกตัวอักษรช่างสะท้านลึกไปถึงวิญญาณ ในทุกๆ ตัวอักษรเต็มไปด้วยพลังที่มุ่งจะก้าวไปข้างหน้า

 

เทพพยากรณ์ก็นับว่าเป็นคนมีการศึกษาคนที่สองในโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ เคยสืบเรื่องราวในอดีตของหลี่มู่มาบ้าง เมื่ออ่านจารึกเรือนซอมซ่อบทนี้จบ เขาก็รู้ว่าทำไมหลี่มู่จึงเดินคนเดียวลำพังทีละก้าวๆ จากลูกที่ถูกทอดทิ้งตัดความสัมพันธ์กับบิดา ถูกขับไล่ออกจากจวนสกุลหลี่ จนมาถึงวันนี้ได้ เด็กหนุ่มคนนี้มีความมุ่งมั่นและพลังใจที่แข็งแกร่งชวนให้คนตื่นตะลึงจริงๆ

 

‘เรือนซอมซ่อ’ บทนี้ช่างเหมาะกับชะตาชีวิตของเขายิ่งนัก

 

ตอนนี้ ในเมืองฉางอันเล่าลือถึงพลังที่แข็งแกร่งไร้พ่ายของยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์คนนี้กันให้ทั่ว แต่จะมีสักกี่คนกันที่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีพรสวรรค์ด้านกวีที่ยิ่งโดดเด่นเป็นหนึ่ง?

 

เห็นท่าทางของเทพพยากรณ์เหมือนเมาสุราเช่นนี้ หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุก็ถามอย่างอดรนทนไม่ไหว “นี่ๆๆ เจ้าทอดถอนใจถึงขนาดนี้ หรือ ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ อะไรนั่นจะเยี่ยมยอดจริงๆ?”

 

“แน่นอน ในอดีตเคยมีคุณชายเหวินจงปินแห่งจักรวรรดิเดินทางผ่านเมืองฉางอัน และแต่ง ‘ลำนำความสมบูรณ์ของเมืองโบราณ’ เอาไว้ ทำให้กระดาษในเมืองฉางอันแพงในชั่วพริบตา ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ ของยอดปรมาจารย์หลี่มู่บทนี้หากเผยแพร่ออกไป ข้าว่าจะต้องเป็นที่ฮือฮาเช่นกันแน่นอน บทกวียอดเยี่ยมไร้เทียมทานจริงๆ” เทพพยากรณ์ชมไม่ขาดปาก

 

“ชิ ก็แค่บทกลอนซังกะบ๊วยที่ยกหางตัวเองเท่านั้น จะเป็นไปได้อย่างไร” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุพูดอย่างโมโห

 

“ลูกพี่ พูดตามตรง คนหยาบกระด้างเช่นท่าน ข้าว่าอย่าได้วิจารณ์บทกวีเลยดีกว่า จะได้ไม่ตกเป็นที่หัวเราะของคนอื่น…โอ๊ย ตีข้าทำไมกัน พอแล้วๆ ข้าผิดไปแล้ว…อ๊าก ช่วยด้วย ไม่ให้คนพูดความจริงแล้วหรือไง…”

 

“เจ้าพูดมาให้ชัดๆ นะ ข้าหยาบกระด้างตรงไหน? หา? ข้าเกลียดที่คนด่าว่าข้าหยาบกระด้างที่สุด ข้าเป็นเด็กผู้หญิง…”

 

ไกลออกไป บนหอไม้ไผ่ที่อยู่ลึกในตรอกไล่หมู

 

หลี่มู่นวดขมับ มองพวกตัวตลกหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุสองคนนี้จนลับตาไปอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

สำหรับโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ ในข้อมูลที่เจิ้งฉุนเจี้ยนเขียนก็มีกล่าวถึงเหมือนกัน กล่าวไว้ว่าเป็นแหล่งรวมคนชั่ว ลูกศิษย์ที่รับไว้ล้วนหน้าตาอัปลักษณ์ ลักเล็กขโมยน้อยต่างๆ แต่ว่าในข้อมูลของเจิ้งฉุนเจียนก็ยอมรับว่าหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์ถานเยี่ยนจือเป็นบุคคลที่ร้ายกาจ ถึงแม้จะเป็นสตรี แต่ ‘วิชาหมัดสุริยัน’ ที่เพิ่มพลังด้วยนวมทองแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด กระทั่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นวิชาหมัดอันดับหนึ่งในเมืองฉางอัน ทั้งยังอยู่ในยี่สิบอันดับแรกของยอดฝีมือเมืองฉางอัน พลังยังอยู่เหนือหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงเสียอีก

 

ที่จริงหลี่มู่สัมผัสได้ถึงการมาของถานเยี่ยนจือและเทพพยากรณ์นานแล้ว

 

กลิ่นอายล้ำลึกเกินหยั่งที่เขาสัมผัสได้ยามแรก ก็คือหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุถานเยี่ยนจือนั่นเอง

 

ดังนั้นหลังจากสกุลโจวจากไป สองคนนี้มาขอพบอยู่ข้างนอก หลี่มู่จึงตกลงให้พวกเขาเข้ามาเป็นข้อยกเว้น

 

แต่ว่า คำเชิญที่ถานเยี่ยนจือชักชวนให้เขาเข้าร่วมกับโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ แน่นอนว่าเขาปฏิเสธไป

 

เขาไม่มีเวลาไปทำเรื่องเหลวไหลไร้สาระกับคนประหลาดพวกนี้

 

กลับกลายเป็นว่าเทพพยากรณ์นั่นพบ ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ ที่สลักอยู่บนป้ายหน้าประตูอาคารไม้ไผ่โดยบังเอิญ จึงราวกับดื่มสุราชั้นเลิศ เมามายอยู่ตรงนั้น เอ่ยชมไม่หยุดปาก สายตาเปลี่ยนไปในตอนนั้นทันที เสมือนกลายเป็นแฟนคลับแล้วอย่างไรอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่านึกว่า ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ เป็นผลงานของหลี่มู่

 

หลังจากส่งพวกหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุสองคนแล้ว ประมาณครึ่งชั่วยาม หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์คนปัจจุบันจางเฉิงเฟิง ก็มาส่งหนังสือท้าดวลถึงตรอกไล่หมูในชุดผ้าป่านขาวด้วยตัวเอง

 

“เซียนกระบี่สวรรค์บรรพชนตระกูลข้า วางตำราลับ ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ เป็นเดิมพัน ขอท้าสู้ยอดปรมาจารย์หลี่มู่ กล้ารับคำท้าหรือไม่?” เสียงของจางเฉิงเฟิงอยู่ภายใต้ระลอกคลื่นกำลังภายใน ทำให้ทั่วทั้งเขตเมืองฉางอันแทบจะได้ยินกันหมด

 

“ได้”

 

หลี่มู่ตอบโดยไม่คิด

 

เขาเอ่ยถึงของกำนัลวางเดิมพัน เดิมทีก็มุ่งไปที่ ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ อยู่แล้ว

 

“หลังจากนี้สามวัน ที่ลานของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ สกุลจางจะรอการมาเยือนของยอดปรมาจารย์หลี่มู่ด้วยความเคารพ” ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงกัดฟันกล่าว “ไม่ทราบว่ายอดปรมาจารย์หลี่มู่จะใช้อะไรเป็นของเดิมพันในการท้าดวลครั้งนี้?”

 

หลี่มู่โต้แย้งอย่างไร้ยางอายทันที “เป็นเจ้าท้าดวลข้า ไม่ใช่ข้าไปท้าดวลเจ้าเสียหน่อย ทำไมข้าต้องวางเดิมพันด้วย?”

 

จางเฉิงเฟิงตะลึงอ้าปากค้าง สุดท้ายก็จากไปอย่างอาฆาต

 

ไม่นานนัก ข่าวนี้ก็แพร่ไปในเมืองฉางอัน

 

ศึกของยอดปรมาจารย์เป็นที่ฮือฮาไปทั่วเมืองฉางอัน ระลอกคลื่นนี้ถึงกระทั่งแผ่กระเพื่อมไปยังเขตเมืองอื่นๆ ของจักรวรรดิ

 

……………………………………………………

 

 

 

 

[1] ตัวเหม็นกลิ่นทองแดง เป็นคำพูดที่ส่วนใหญ่ใช้เหน็บแนมพ่อค้า คหบดี หรือผู้ที่เห็นเงินเป็นพระเจ้า เนื่องจากอิทธิพลความคิดลัทธิหรู (ขงจื๊อ) ทำให้คนจีนโบราณมองว่าการหากินโดยการค้าขายหรือการพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นเรื่องน่าอับอาย