ถูกต้อง หลินมั่นหรูรู้สึกว่า ขอเพียงเหลิ่งรั่วปิงตาย ซือคงอวี้จึงจะตัดใจ แล้วตนถึงจะมีโอกาส
ตอนที่ลูกน้องที่มารายงานเดินออกไป หลินมั่นหรูลืมตาขึ้นช้าๆ มองทิวทัศน์ยามค่ำคืนนอกหน้าต่าง หรี่ตาลงอย่างมีเลศนัย
“กุหลาบพิษ” เสียงของหมาป่าสีเทาราวกับฟ้าผ่ายามค่ำคืน ดังขึ้นในห้องขนาดใหญ่ หลินมั่นหรูหลุดจากภวังค์ ตกใจจนหัวใจเต้นแรง รีบโค้งตัวและก้มศีรษะลง ”ค่ะ คุณหมาป่าสีเทา”
แววตาของหมาป่าสีเทาราวกับเหยี่ยวกำลังล่าเหยื่อ เขาจดจ้องใบหน้าของหลินมั่นหรู ”กุหลาบพิษ อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าวิหารไม่ใช่คนที่เธอจะเพ้อฝันถึงได้ นางฟ้ารัตติกาลเองก็ไม่ใช่คนที่เธอแตะต้องได้ ถ้ายังอยากมีชีวิต อย่าคิดแตะต้องนางฟ้ารัตติกาลเด็ดขาด!”
มีคนรู้ความคิดที่อยู่ภายในใจของตน หลินมั่นหรูสั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยความหนาวเย็น ”ฉันไม่กล้าค่ะ”
“หึ!” หมาป่าสีเทาถอนสายตาเย็นยะเยือกกลับ ”ตอนนี้นางฟ้ารัตติกาลย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หนานกงแล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหนล้วนมีหนานกงเยี่ยคอยตามประกบ พวกเราไม่สะดวกที่จะลงมือ นิ่งเงียบรอโอกาสเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เธอทำตัวดีๆ หน่อย รอฟังคำสั่งจากฉัน”
“ค่ะ” ภายใต้แววตาเฉียบคมของหมาป่าสีเทา หลินมั่นหรูไม่กล้าที่จะแอบคิดทำอะไรอีก แต่ความคิดที่จะกำจัดเหลิ่งรั่วปิงยังคงไม่แปรเปลี่ยน
*****
อาเธอร์ทำตามคำสั่งของซือคงอวี้ มุ่งหน้าไปยังประเทศเอ้าตูเพื่อลอบฆ่าไซ่ตี้จวิ้น
จากการสะกดรอยตามและตามสืบมานานกว่าสิบวัน อาเธอร์เลือกลงมาในคลับเฮ้าส์หรูแห่งหนึ่ง เพราะที่นี่มีผู้คนมากมาย ง่ายต่อการหลบหนี
อาเธอร์เดินผ่านห้องโถงชั้นหนึ่งที่ชายหญิงกำลังเต้นรำด้วยกัน ตรงขึ้นไปชั้นสอง เดินไปที่ห้องของไซ่ตี้จวิ้น เขาสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีดำ สวมหมวกแก๊ปสีดำ เหมือนนักฆ่าในค่ำคืนที่มืดมิด
ไซ่ตี้จวิ้นถูกฉู่เทียนรุ่ยลากมาที่คลับเฮ้าส์แห่งนี้ ตั้งแต่กลับมาจากเมืองหลง เขาก็จมดิ่งในความเงียบเหงา
ฉู่เทียนรุ่ยถอนหายใจด้วยความจนปัญญา ”ตี้จวิ้น พวกเราเป็นเพื่อนมานานสิบกว่าปีแล้ว ตอนนี้แกเป็นแบบนี้ ทำให้ฉันเป็นห่วงจริงๆ ในเมื่อโชคชะตาเป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นแกก็ปล่อยมือเถอะ ยังจะคิดถึงเธอทำไม”
ไซ่ตี้จวิ้นมองดูไวน์ในมือ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถอนหายใจยาว ”แกไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรักแบบฉัน แกไม่มีวันเข้าใจหรอก”
“ไม่ใช่แบบนั้น ตอนที่หนานกงเยี่ยใช้ปืนมาข่มขู่แล้วแย่งเธอไปจากแกที่เมืองเฟิ่ง แกก็ไม่ได้แทบเป็นแทบตายเหมือนตอนนี้ไม่ใช่หรือ เธอไม่ใช่ผู้หญิงของแกอยู่แล้ว เรื่องนี้แกรู้มานานแล้วไม่ใช่เหรอ”
“แกพูดถูก ตอนนั้นที่ฉันเสียรั่วปิงไปฉันไม่ได้รู้สึกเศร้าแบบนี้ เพียงแต่รู้สึกเสียดายและเจ็บใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน รั่วปิงเคยเป็นคู่หมั้นของฉันมาก่อน ฉันกับเธอเคยอยู่ใกล้กันมากๆ อีกแค่ก้าวเดียวรั่วปิงก็จะกลายเป็นภรรยาของฉันแล้ว สูญเสียเธอไปแบบนี้ ทำให้ฉันปวดใจมาก สู้ไม่เคยมีความหวังตั้งแต่แรกยังจะดีเสียกว่า”
ไซ่ตี้จวิ้นดื่มไวน์ในแก้วหมดในรวดเดียว ”ฉันเคยอยากจะให้ทุกอย่างที่ดีที่สุดกับเธอ ทะนุถนอมเธอ เอาอกเอาใจเธอ รักเธอตลอดชีวิต แต่ตอนนี้ฉันกลับให้อะไรกับเธอไม่ได้ รั่วปิงสูญเสียการมองเห็นแล้ว แต่ฉันกลับอยู่ข้างกายเธอไม่ได้” ดวงตาของไซ่ตี้จวิ้นมีน้ำตารื้นขึ้นมา ”เทียนรุ่ย แกไม่เข้าใจความเจ็บปวดของฉัน”
ฉู่เทียนรุ่ยพยักหน้า และดื่มไวน์จนหมดแก้ว ถูกต้อง ความรู้สึกบางอย่าง ความเจ็บปวดบางอย่าง มีแค่คนที่เจอกับตัวเท่านั้นถึงจะรู้ดีที่สุด แม้คนอื่นจะรู้สึกแบบเดียวกัน แต่ก็ไม่อาจรู้สึกเหมือนส่วนลึกในใจของคนที่โดนกับตัวได้หรอก
ขณะที่ผู้ชายทั้งสองเข้าสู่ความเงียบ ประตูห้องถูกคนเตะอย่างแรง จากนั้นปืนพกสีดำเล็งไปยังไซ่ตี้จวิ้น วินาทีถัดมา กระสุนเย็นยิงไปยังระหว่างคิ้วของเขา
ฉู่เทียนรุ่ยไหวตัวเป็นคนแรก โยนแก้วออกไปอย่างรวดเร็ว
เพล้ง!
กระสุนยิงกระทบกับแก้วไวน์ แก้วแตกดังเพล้ง เสียงแสบแก้วหูทำลายความเงียบภายในห้อง
อาเธอร์ไม่ให้ทั้งสองมีโอกาสไหวตัวทัน กำลังจะยิงนัดที่สอง แต่ตอนเหนี่ยวไกเขากลับลังเล เพราะเขาเห็นหน้าคนที่พุ่งมาตรงปลายกระบอกปืนของเขาแล้ว ใบหน้านั้นละหม้ายคล้ายคลึงกับเขา อาเธอร์รู้จักคนคนนี้ เขาคือหมอศัลยกรรมที่มีชื่อเสียงระดับโลกฉู่เทียนรุ่ย และเป็นอาของเขา อาที่อายุมากกว่าเขาแค่สองปีเท่านั้น
เหตุเพราะอาเธอร์ลังเลไปหลายวินาที ฉู่เทียนรุ่ยจึงสบโอกาส เตะไปที่ท้องของอาเธอร์ ฉู่เทียนรุ่ยเองก็เป็นคนที่ต่อสู้เก่ง วินาทีแห่งความเป็นความตาย เขาทุ่มแรงไปทั้งหมด ตัวของอาเธอร์กระแทกไปที่ผนัง ร่างของเขาไถลลื่นลงมา แต่ปืนพกในมือยังคงจับเอาไว้แน่น
ฉู่เทียนรุ่ยเดินเข้าไปหาพยายามจะแย่งปืนจากอาเธอร์ อาเธอร์ลุกขึ้นยืนด้วยความชาญฉลาด ปลายกระบอกปืนเล็งไปยังฉู่เทียนรุ่ย ทว่ากลับไม่ได้เหนี่ยวไกล ทั้งยังดึงหมวกแก๊ปลงต่ำ
ฉู่เทียนรุ่ยหยุดชะงัก ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนที่ชายชุดดำคนนี้บุกเข้ามาในห้อง เปี่ยมด้วยเจตนาฆ่า ยิงปืนต้องการเอาชีวิตไซ่ตี้จวิ้น แต่ตอนนี้เขากลับใจอ่อน ทั้งยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับตนตรงๆ เป็นเพราะอะไรกันแน่
ไซ่ตี้จวิ้นเองก็รีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว คว้าปืนพกออกมา เล็งไปที่อาเธอร์ แต่เขาเองก็เห็นบางอย่างผิดปกติ จึงไม่ได้ยิงออกไป ”นายคงไม่อยากฆ่าเทียนรุ่ย แต่อยากฆ่าฉัน ถูกต้องไหม”
อาเธอร์เงียบ ภายใต้หมวกแก๊ปเขาเงยหน้าขึ้นมองไซ่ตี้จวิ้น ซึ่งเป็นเป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้ เมื่อก่อนทุกครั้งที่เขาทำภารกิจ ล้วนทำได้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้เขากลับลังเลชักช้า เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอาของเขาจะเป็นเพื่อนสนิทของไซ่ตี้จวิ้น เป็นเพื่อนที่รักกันถึงขั้นยอมเอาชีวิตเข้าช่วย หากตอนนี้เขาดึงดันที่จะฆ่าไซ่ตี้จวิ้น เกรงว่าฉู่เทียนรุ่ยจะสู้กับเขาด้วยชีวิต เขาทำร้ายอาตัวเองไม่ได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมวิหารถึงเลือกเด็กกำพร้ามาเป็นสายลับ เพื่อให้พวกเขาไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
อาเธอร์ลังเล ความคิดของเขาแล่นไปมาอย่างรวดเร็ว กำลังคิดหาวิธีจัดการเรื่องในวันนี้
สามคน ปืนสองกระบอก นิ่งค้างกลางอากาศ
ฉู่เทียนรุ่ยรู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่คิดจะฆ่าเขา ทั้งยังเหมือนไม่อยากให้เขาเห็นหน้า ดังนั้นเขาจึงกวาดสายตามองดูคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว อย่างกะทันหัน สายตาของเขาจับจ้องไปยังไฝตรงติ่งหูของอาเธอร์ ”ฉู่อี้ นายคือฉู่อี้!”
มือของอาเธอร์หยุดชะงัก เขาไม่รู้ว่าฉู่เทียนรุ่ยจำตนได้อย่างไร การได้พบกันกะทันหันทำให้ความคิดของเขาว่างเปล่า
ฉู่เทียนรุ่ยก้าวไปด้านหน้าสองก้าวด้วยความดีใจ ”แกคือฉู่อี้ใช่ไหม ต้องใช่แน่ๆ ไม่ผิดแน่นอน ติ่งหูของแกมีไฝหนึ่งเม็ด ฉันจำได้เป็นอย่างดี”
อาหลานพบเจอกันอีกครั้ง ทำให้อาเธอร์รู้สึกตื้นตันใจมาก หวนคิดถึงคนในครอบครัวที่จากไป นึกถึงเรื่องในอดีต ความรู้สึกเจ็บปวดพลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจ นัยน์ตามีน้ำใสรื้นขึ้นมา สุดท้าย เขาลดปืนที่อยู่ในมือลง ทว่ายังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้น
ไซ่ตี้จวิ้นลดปืนลง เดินไปหาฉู่เทียนรุ่ย แล้วมองไปที่อาเธอร์ ”แกพูดว่าเขาคือฉู่อี้ หลานชายที่พลัดพรากกันมานานหลายปีของแก?”
ฉู่เทียนรุ่ยจับจ้องไปที่อาเธอร์ซึ่งมีหมวกแก๊ปบังเอาไว้กว่าครึ่งหน้า ”ตอนที่รั่วปิงมาหาฉัน เธอบอกว่านายรู้เรื่องที่ฉันกลับไปตามหาญาติที่ซีหลิงมานานแล้ว แต่เป็นเพราะตัวตนของนายพิเศษจึงมาเจอฉันไม่ได้ ตอนนี้พวกเราเจอกันแล้ว นายยังไม่กล้านับญาติกับฉันอีกเหรอ”
อาเธอร์ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้น ”อาครับ ยกโทษที่ผมนับญาติกับอาไม่ได้ วันนี้ผมถูกสั่งให้มาฆ่าไซ่ตี้จวิ้น แต่ดูท่าแล้วภารกิจคงไม่สำเร็จ อารักษาตัวด้วยนะครับ ผมไปก่อน”
พูดจบ อาเธอร์หมุนตัวหันหลังเดินออกไป ฉู่เทียนรุ่ยรีบคว้าหัวไหล่เขาเอาไว้ ”ฉู่อี้ พวกเราเป็นญาติกัน นายคือญาติคนเดียวที่ฉันเหลืออยู่บนโลกใบนี้ ฉันมีอะไรมากมายอยากจะพูดกับนาย นายจะไปแบบนี้ไม่ได้”
อาเธอร์พยายามกลั้นน้ำตา ”โชคชะตาไม่อนุญาตให้ผมกับอาพบกัน อาครับ ดูแลตัวเองด้วย”
เขาทำภารกิจไม่สำเร็จ ทั้งยังทำภารกิจนี้ไม่สำหรับ ทำได้เพียงกลับไปตายเพื่อแทนคำขอโทษต่อซือคงอวี้ การเจอหน้ากันครั้งนี้ถือเป็นการบอกลาตลอดชีวิตแล้ว
ฉู่เทียนรุ่ยไม่ยอมปล่อยมือ ”ฉู่อี้ นายกับรั่วปิงทำงานให้กับองค์กรอะไรกันแน่ ถึงต้องรับภารกิจลอบฆ่า ทั้งยังลึกลับจนถึงขั้นนับญาติกับญาติตนเองไม่ได้??”
“อาไม่รู้ดีที่สุดครับ” อาเธอร์ดึงมือตนเองกลับด้วยความหนักแน่น ”รั่วปิง…ฝากอาดูแลเธอด้วยนะครับ”
พูดจบ อาเธอร์ก้าวเท้าออกไป ไม่หันกลับมาอีก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายเลือดที่เชื่อมต่อกันหรือไม่ ฉู่เทียนรุ่ยรู้สึกเป็นการลาจากชั่วชีวิต
หัวใจของฉู่เทียนรุ่ยจมดิ่งลงไปในเหวลึก เขารีบวิ่งตามออกไปถึงนอกคลับเฮ้าส์ แต่ตอนไปถึงหน้าประตูคลับเฮ้าส์ ก็ไม่เห็นอาเธอร์แล้ว
ไซ่ตี้จวิ้นเองก็วิ่งตามออกไป ตบบ่าฉู่เทียนรุ่ยเบาๆ ”อย่าเพิ่งเสียใจ ฉันคิดว่าฉันรู้เขาทำงานให้ใคร”
“ใคร?” ฉู่เทียนรุ่ยหันควับ มองไปทางไซ่ตี้จวิ้น
“ตรงนี้ไม่สะดวกพูด พวกเรากลับไปก่อนค่อยคุยกัน”
ทั้งสองขับรถ มายังวิลล่าของไซ่ตี้จวิ้น เข้าไปในห้องหนังสือ
ไซ่ตี้จวิ้นพูดเปิดอก ”ที่ซีหลิง มีแค่คนเดียวที่ต้องการชีวิตของฉันที่สุด”
“ใคร?”
“ซือคงอวี้”
“เจ้าวิหารซีหลิง?” ฉู่เทียนรุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย ”แกกับเขามีความแค้นอะไรกัน”
“ฉันกับเขาไม่เคยมีความแค้นส่วนตัวอะไรกัน” แววตาของไซ่ตี้จวิ้นนิ่งสงบทว่าทอดมองไปไกล ”ประเทศซีหลิงเป็นประเทศเล็กๆ เศรษฐกิจของประเทศต้องอาศัยการร่วมมือกับต่างประเทศ ตั้งแต่ซือคงอวี้สืบทอดตำแหน่งเจ้าวิหาร เขาพยายามพัฒนาธุรกิจวัสดุก่อสร้างของซีหลิง มีความขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์กับบริษัทไซ่เหวย เพื่อการแข่งขันทางการตลาด ฉันทำหลายอย่างเพื่อที่จะควบคุมธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างของซีหลิง การกระทำของฉันส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศซีหลิง คิดว่าเพราะเรื่องพวกนี้ เขาจึงอยากเอาชีวิตฉัน”
ฉู่เทียนรุ่ยขมวดคิ้วด้วยความกังวล ”ถ้าเป็นแบบนี้ ฉู่อี้คือสายลับของวิหาร?”
“มีความเป็นไปได้” ไซ่ตี้จวิ้นเงยหน้าขึ้น ”เมื่อกี้นายบอกว่ารั่วปิงกับอาเธอร์ทำงานให้องค์กรเดียวกัน?”
“อื้ม” ฉู่เทียนรุ่ยพยักหน้า ”ตอนนั้นที่รั่วปิงมาหาฉันได้ เป็นเพราะเธอมีจี้หยกของฉู่อี้”
ไซ่ตี้จวิ้นขมวดคิ้วเป็นปม ครุ่นคิดลุ่มลึก พูดแบบนี้ เหลิ่งรั่วปิงก็คือสายลับของวิหารซีหลิง ถ้าอย่างนั้นเธอ…
*****
แสงแดดในเดือนกุมภาพันธ์ ปุยขาวของต้นหลิวลอยล่องเต็มท้องฟ้าราวกับหิมะตก ลมฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น
วันนี้ เป็นวันตรวจตาของเหลิ่งรั่วปิง หนานกงเยี่ยขับรถส่งเธอไปโรงพยาบาลเอกชนหนานกงด้วยตนเอง
หลังจากคุณหมดตรวจดูอาการ ส่ายหน้าไปมา ”เส้นประสาทตาได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีการหดตัว แต่ลิ่มเลือดยังคงไม่สลาย กินยาต่อไปนะครับ ถ้าหากลิ่มเลือดที่กดทับเส้นประสาทสายตาลสลายเร็ว ก็มีโอกาสในการกลับมามองเห็น”
นี่เป็นการมาหาหมอครั้งที่สามแล้ว ได้ข้อสรุปแบบนี้ทุกครั้ง เหลิ่งรั่วปิงไม่รู้สึกอะไรแล้ว โลกของเธอยังคงมืดสนิท ภายในใจของเธอก็มีแสงสว่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าหากไม่ใช่เพราะความอบอุ่นและรักใคร่ของหนานกงเยี่ย เธอคงทิ้งชีวิตแบบนี้ไปแล้ว
หนานกงเยี่ยผิดหวังมาก แต่เขากลับไม่กล้าแสดงสีหน้าออกมา ยิ้มแล้วพูด ”ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะรักษาจนคุณกลับมามองเห็นเหมือนเดิม หืม?”