ตอนที่ 235 ละครตลกของชิ่งเจิ่น

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

ป้อมปราการ 111 สมาคมตระกูลชิ่ง

เที่ยงคืนวันนั้น ระฆังทองแดงกลางป้อมปราการก็ถูกคนของสมาคมตระกูลชิ่งตี

เสียงระฆัง สัญลักษณ์แห่งสันติสุขของตรุษจีนดังขึ้นหง่างแหง่งทั่วป้อมปราการ ไม่นานนักประทัดที่ราคาไม่เหนือบ่ากว่าแรงของคนรวยก็ดังขึ้นหน้าบ้านของพวกเขา เหล่าเด็กๆ เดินออกมาตามถนนแล้วมองภาพพวกนั้นด้วยความตื่นเต้น พวกเขาต่างใส่ชุดใหม่กัน ในมือถือประทัดอันน้อยที่ดึงออกมาจากพวงใหญ่

ชิ่งเจิ่นยืนอยู่ในสวนหน้าบ้านตัวเอง ผมเขายาวขึ้นมาก หลังจากโดนคุมขังในบ้านคู่กับหลัวหลาน จะเรียกช่างตัดผมมายังทำไม่ได้เลย

ทันใดนั้นก็มีอีกาตัวหนึ่งบินผ่านฟ้ามืดสนิท มันบินฝ่าเสียงประทัดอย่างไม่ยี่หระ

ชิ่งเจิ่นยกมือขึ้น อีกาก็ร่อนลงมาเกาะที่แขนเขา ชิ่งเจิ่นหยิบเศษขนมปังให้มันและหัวเราะ “หวังว่าจะไม่รังเกียจนะ ที่นี่ก็มีอาหารไม่ค่อยมากเหมือนกัน หลัวหลานกินไม่พอจนจะผอมโซอยู่แล้ว”

เจ้าอีกาก้มจิกขนมปัง ชิ่งเจิ่งยิ้ม ลูบขนมันไปด้วย

อีกาดำเป็นลางร้ายในสายตาของคนทั่วไปเพียงเพราะมันชอบบินไปยังสถานที่ที่มีคนตาย แต่ชิ่งเจิ่นไม่ได้รังเกียจมันแม้แต่น้อย เขาดูจะชอบมันมากกว่า

สายตาเขาเคลื่อนไปยังท่อไม้ไผ่จิ๋วที่ผูกที่ขาของมัน ชิ่งเจิ่นหยิบมันขึ้นและดึงกระดาษออกมา ยิ่งอ่านไปเขายิ่งฉีกยิ้มกว้าง

“เอาล่ะ ได้รับจดหมายแล้ว แกกลับไปหาเจ้านายให้เขาหาอะไรดีๆ ให้กินเถอะ นี่ตรุษจีนนะ ทำไมเขาใช้งานแกไม่พักเลยล่ะ” ชิ่งเจิ่นเหวี่ยงแขนขึ้นส่งอีกาตัวโตสบายปีกบินขึ้นไปยังท้องฟ้ารัตติกาล

ตอนที่ชิ่งเจิ่นเดินเข้าไปในบ้าน หลัวหลานกำลังนอนอยู่บนโซฟาพร้อมพูดว่า “นายตามใจพวกตาแก่ของสมาคมตระกูลหลี่ไปหรือเปล่า นี่มันตรุษจีนนะ พวกเขาจะไม่ส่งอาหารแบบจัดเต็มมาให้พวกเราเสียหน่อยเหรอไง ผมก็ไม่ให้ตัด แถมยังตัดน้ำตัดไฟพวกเราอีก พวกเราเป็นข้ารับใช้ชั้นดีของสมาคมกระกูลชิ่งนะ พวกเขาทำแบบนี้กับเราได้ยังไง!”

ชิ่งเจิ่นยิ้ม “กินขนมปังส่วนของฉันไปสิ จะโทษก็ได้แต่โทษที่พวกเราเสียป้อมปราการในการดูแลของพวกเราไปแหละมั้ง”

“พวกเราผิด?” หลัวหลานพูดอย่างไม่พอใจ “ใครจะคิดว่าจะมีแผ่นดินไหวเล่า แถมนี่มันตรุษจีนนะ เขาจะปล่อยให้พวกเราหิวแบบนี้ได้ด้วยเหรอไง”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” ชิ่งเจิ่นยิ้ม “เดี๋ยวก็จบแล้ว”

ตอนนั้นเองก็มีเสียงกริ่งดังขึ้นที่ประตู หลัวหลานลุกขึ้นมาจากโซฟา พุงอวบของเขากระเพื่อม “พวกเขาส่งอาหารมาเหรอ”

“ลุงของนายไม่ใจดีขนาดนั้นหรอก คิดจนสมองแทบแตกหาทางเกาะแข้งขาสมาคมตระกูลชิ่งขนาดนั้น มีเหรอจะเสี่ยงมาช่วยเรา” ชิ่งเจิ่นว่าเสียงนิ่ง “ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่เขาจะขีดเส้นแบ่งแยกจากเรา”

การสู้รบภายในสมาคมต่างๆ สกปรกน่ารังเกียจเช่นนี้เสมอ

ตระกูลชิ่งไม่เพียงคุมขังชิ่งเจิ่นและหลัวหลานในบ้านเดี่ยวอันแยกจากคนอื่น พวกเขายังส่งลุงของหลัวหลานมาเฝ้าจับตาด้วย

อาจจะเป็นเพราะทางสภาผู้บริหารสงสัยว่าชิ่งเจิ่นและหลัวหลานทรยศต่อตระกูล พวกเขาเลยอยากให้ทั้งสองคนได้รับรสของการถูกครอบครัวทรยศบ้าง

หลัวหลานกับชิ่งเจิ่นมีบิดาร่วมกันแต่ต่างมารดา ลุงของหลัวหลานได้รับตำแหน่งในสมาคมเพราะหลัวหลานเคยจัดหาให้ แต่ตอนนี้เขากลับถูกส่งมาจับตาหลัวหลาน

แต่ลุงผู้นี้ไม่เห็นแก่อดีต นอกจากจะจับตาอย่างโหดร้ายแล้ว เขาถึงกับพยายามแสดงจุดยืนและขีดเส้นแบ่งระหว่างตนกับชิ่งเจิ่งและหลัวหลานอยู่เนืองๆ ด้วยการหาทางกลั่นแกล้งพวกเขา

ตัดส่วนแบ่งอาหาร ตัดน้ำ ตัดไฟ ไม่รับคำร้องขอจากชิ่งเจิ่นและหลัวหลาน ทุกอย่างล้วนเป็นฝีมือลุงของหลัวหลาน

บางครั้งคนเราก็จินตนาการไม่ออกจริงๆ คนผู้หนึ่งจะทำอะไรบ้างเพื่อเลียแข้งเลียขาผู้มีอำนาจ

หลัวหลานพึมพำระหว่างเดินไปเปิดประตู “ฉันกับเขาก็ใช่ว่าจะสนิทกันดีเสียหน่อย อย่าพูดแซะมากได้ไหม ลุงของนายก็ไม่ต่าง…”

เขาเปิดประตูเผยให้เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ในมือถือถาด ส่งยิ้มมาให้หลัวหลาน

ข้างหลังชายวัยกลางคนมีทหารสองแถว ตั้งแต่ชิ่งเจิ่นแอบลอบดอดออกไปได้ครั้งนั้น ทางสมาคมก็ส่งทหารมาเฝ้ารอบๆ มากกว่าเดิม ต่อให้เป็นช่วงตรุษจีน พวกเขาก็ไม่ลดความระวังลง

หลัวหลานมองชายวัยกลางคนที่ประตูแล้วว่า “มีอะไร”

ชายวัยกลางคนยิ้ม “ไม่ทักทายลุงตัวเองหน่อยเหรอไง”

หลัวหลานพูดอย่างเหยียดหยาม “มั่นหน้าจังนะ”

แต่ชายวัยกลางคนไม่สนใจ เขายิ้ม “วันส่งท้ายปีเก่าทั้งที ฉันต้องเอาอาหารมาให้พวกเธอสองพี่น้องหน่อยสิ”

“อาหารอะไร” หลัวหลานถาม

ชายวัยกลางคนยิ้ม “ฉันมีอาหารกินเหลือที่บ้าน คิดว่าพวกเธอสองพี่น้องน่าจะหิว เลยรีบเอามาส่งให้”

หลัวหลานหัวเราะ “ฉัน หลัวหลาน มีหรือต้องกินอาหารเหลือของคนอื่น”

ชายวัยกลางคนโยนถาดอาหารลงกับพื้น “ถ้าไม่อยากกิน ฉันก็ไม่ห้าม”

ใบหน้าหลัวหลานมืดครึ้มลง เขาจ้องเขม็งไปยังชายวัยกลางคนที่เป็นญาติของตัวเอง

ชิ่งเจิ่นพลันกล่าวกับชายวัยกลางคนว่า “นี่ ออกไปรอข้างนอกแปปสิ”

ชายวัยกลางคนใจสั่น ชิ่งเจิ่นเป็นผู้พูดออกมา อิทธิพลที่ยังเหลืออยู่ในสมาคมของพยัคฆ์หมอบผู้นี้ทำให้เขาหวาดผวาอยู่ไม่น้อย ชายวัยกลางคนเงียบไปพักใหญ่ และสุดท้ายก็เดินออกจากบ้านไป

เขายืนข้างนอก ชมพลุดอกไม้ไฟบนท้องฟ้าเหนือป้อมปราการอย่างอารมณ์ดี

ต่อตอนนี้เอง พอประตูหน้าบ้านเปิดออก ทหารทั้งสองแถวก็ยกปืนเล็งไปทางนั้นทันที พวกเขามองชิ่งเจิ่นพาหลัวหลานออกมายืนหน้าบ้าน

ชิ่งเจิ่นยิ้มกล่าวกับทุกคน “เพราะพวกเรา ทุกคนเลยกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวในวันตรุษจีนไม่ได้ พวกเราจึงอยากแสดงว่าเสียใจต่อทุกท่าน”

หลัวหลานว่า “ใช่แล้ว พวกเราเสียใจด้วย”

ชิ่งเจิ่นยิ้ม “ขอแนะนำตัวเองก่อน ฉันชิ่งเจิ่น ส่วนคนที่ยืนข้างๆ ฉันคืออาจารย์หลัว”

“ใช่แล้ว นั่นแหละฉัน”

ชิ่งเจิ่นหันมองหลัวหลาน “ในเมื่อพวกเราแสดงความเสียใจไปแล้ว พวกเราก็ต้องแสดงละครให้ทุกคนดูเสียหน่อย”

“งั้นพวกเราจะแสดงอะไรล่ะ”

ชิ่งเจิ่งบอกชายวัยกลางคน “แสดง…ตัดผมประเดิมวันแรกของตรุษจีนที่คุณลุงตาย!”

“จัดไป!”

ชายวัยกลางคนโมโหจนหัวเราะ “ยังเป็นเด็กหรือยังไง เล่นบ้าบออะไรอยู่”

“ชู่ว…” ชิ่งเจิ่นยกนิ้วชี้ประทับที่ปาก จากนั้นก็ยกมือขวาที่จับกรรไกรอยู่ตัดผมหลัวหลานไปหน่อยหนึ่ง

ชายวัยกลางคนแค่นเสียง “จับพวกเขาไปขัง!”

ชิ่งเจิ่นมองเขา ยิ้ม “สุขสันต์วันตรุษจีน”

พลุดอกไม้ไฟระเบิดสว่างจ้าเหนือป้อมปราการ แสงเจิดจ้านั้นส่องรอยยิ้มของชิ่งเจิ่นให้เฉิดฉาย พร้อมกันนั้นกระสุนสไนเปอร์แล่นมาจากหลายร้อยเมตร ชั่วพริบตาหมอกโลหิตก็กระจายออกมาจากอกของชายวัยกลางคนผู้ยืนอยู่หน้าชิ่งเจิ่น ร่างเขาของเขาถึงกับโดนแรงเฉื่อยของกระสุนส่งลอยไป!

สายตาของชิ่งเจิ่นเลื่อนจากพลุดอกไม้ไฟมาจับจ้องที่ทหารทั้งสองแถว เขายิ้มแล้วว่า “การแสดงนี้…ทุกคนชอบไหม”

ทุกคนผวา พวกเขานึกว่าชิ่งเจิ่นพยายามยั่วยุพวกตนเฉยๆ ไม่คิดเลยว่าเขาจะทำอย่างที่พูดจริงๆ

ทหารคนหนึ่งพูดเสียงสั่น “ท่านชิ่งเจิ่น…ทำเช่นนี้ไม่กลัวทางสภาบริหารลงโทษท่านหรือ!”

ชิ่งเจิ่นยืนนิ่ง ก่อนจะพูดอย่างสบายอกสบายใจ “ไม่กลัว อย่างไรเสียตอนนี้พวกเขาก็ต้องการฉัน”

ตอนนั้นเองก็มีรถคันหนึ่งขับพรวดมาจากสุดถนน สัญลักษณ์ใบแปะก๊วยถูกพลุดอกไม้ไฟส่องสว่าง

รถมาหยุดนอกบ้าน จากนั้นเลขาจากสภาบริหารก็กระโดดลงมา พอเขาเห็นชิ่งเจิ่นก็พูดเสียงเย็น “ทางสภาบริหารมีคำสั่งให้ชิ่งเจิ่นและหลัวหลานไปรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางทหารที่แนวหน้าทันที”

จากนั้นเขาก็เห็นรอยเลือดอยู่หน้าประตูบ้าน เขามองพวกทหารแล้วถาม “เกิดอะไรขึ้น”

พวกทหารว่า “พวกเขาฆ่าผู้บัญชาการไปแล้วครับ”

เลขาโจวมองศพสภาพไม่สมบูรณ์ที่พื้นแล้วพูดอย่างดูแคลน “ไอ้โง่”