ตอนที่ 194 ชาติก่อนและชาตินี้

แม่ครัวยอดเซียน

หนานกงเวิ่นเทียนที่ใบหน้าเริ่มหายแดงเดินตามตวนมู่เหยาไปที่หอดาวจรัสฟ้า เมื่อถึงสีหน้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

“สหายหนานกงช่างโชคดีจริงๆ หอดาวจรัสฟ้าเป็นหอเก็บของล้ำค่าของหอเทียนจีเก๋อ มีแต่ปู่ทวดของข้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์จะบอกว่าใครเข้ามาได้แถมบอกว่าเลือกอะไรก็ได้อีก” ตวนมู่เหยวพูดด้วยความอิจฉาน้อยๆ

“ดีขนาดนี้เชียว เพียงแต่ทำไมข้าต้องเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรตอนนี้ ผู้บำเพ็ญใส่ใจกับความเป็นธรรมชาติ ทำไมจึงต้องรีบร้อนให้ข้าเพิ่มพลังบำเพ็ญด้วย” หนานกงเวิ่นเทียนถามขึ้นด้วยความสงสัย

“เรื่องนี้น่ะหรือ เพราะเป็นเรื่องค่อนข้างเร่งด่วน อีกอย่างใช้ของล้ำค่าจากฟ้าดิน ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายแน่นอน” ตวนมู่เหยาชูมือราวกำลังกล่าวคำสาบาน

“ถ้าเช่นนั้น ทำไมต้องเร่งข้ารีบเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรด้วย สหายตวนมู่ เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามเรื่องนี้กับข้า” หนานกงเวิ่นเทียนถามพลางหยุดชะงักฝีเท้า

“เรื่องนี้น่ะหรือ เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้ามาดูอะไรกับข้าแล้วเจ้าจะรู้เอง” ตวนมู่เหยาพูดพลางถอนหายใจ ปู่ทวดพูดไว้ไม่มีผิด สุดท้ายก็ต้องได้ใช้มันอยู่ดี

ทั้งสองคนเข้าไปในหอดาวจรัสฟ้า ตวนมู่เหยาหยิบหินก้อนหนึ่งด้านบนลงมาอย่างระมัดระวัง

“นี่คือหินย้อนเวลา ตรงนั้นมีเบาะนั่งชำระจิตอยู่ เจ้าขึ้นไปนั่งแล้วสัมผัสหิน และเจ้าจะเข้าใจ” ตวนมู่เหยากล่าว

หนานกงเวิ่นเทียนรับหินมา ความรู้สึกบอกกับเขาว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับชีวิตเขา แต่ดูแล้วตนเองอาจจะเป็นบ้าได้เลยทีเดียว แต่ก็อดอยากดูไม่ได้ ทั้งๆ ที่พลังบำเพ็ญเพียรของตัวเองอยู่ในช่วงชำระล้างแล้ว ไม่ควรเป็นเช่นนี้

“สหายหนานกง เจ้าดูเองแล้วกัน ข้าจะออกไปรอเจ้าข้างนอก” ตวนมู่เหยาพูดจบก็เดินจากไป

หนานกงเวิ่นเทียนจับหินย้อนเวลา บีบแล้วคลายมือสลับกันไป เดินไปนั่งที่เบาะนั่งชำระจิต เพ่งประสาทเซียนไปที่หินย้อนเวลา

เวลาย้อนกลับไปตอนที่อิงเสวี่ยฉีกมิติออกมาช่วยเหลือเขา เขาตกลงไปที่ป่าซื่อเลี่ยนหลินของสำนักเมฆาคล้อย แต่คนที่เจอเขาไม่ใช่หลิวหลี แต่กลับเป็นชายคนหนึ่ง จากนั้นทั้งสองกลายมาเป็นพี่น้องกัน คนผู้นั้นช่วยเขาบำเพ็ญเพียร ไม่ถามด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร ของทุกอย่างที่มีก็ให้เขาใช้หมด จนเขาเริ่มไว้ใจ กระทั่งพลังบำเพ็ญเพียรของเขาฟื้นกลับมาที่ช่วงพื้นฐาน แล้วชายผู้นั้นก็นัดเขาดื่มสุรา เขาไม่ได้ระมัดระวัง จึงดื่มมากเกินไป จนสุดท้ายก็พบว่าตัวเองถูกดูดพลังไปเป็นจำนวนมาก ร่างกายคล้ายเป็นหุ่น แถมยังถูกกักขัง โดนกุญแจศักดิ์สิทธิ์ล็อคเอาไว้ ทั้งตัวแทบจะไม่มีอะไรเหลืออยู่ คนผู้นั้นเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป กล่าวว่ารู้ตั้งแต่แรกว่าเขาเป็นร่างหยินล้วน รอพลังเขาฟื้นกลับมาก็จะสามารถดูดพลังได้ ต่อไปจะเป็นคู่บำเพ็ญร่วมของเขา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ใช้ชีวิตเยี่ยงทาส คนผู้นั้นมีความสุขก็จะมาหาเขาคนเดียว หากหงุดหงิดก็จะพาคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาหาเขา เขาแค้นนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

เวลาทุกข์ทนเช่นนี้ของเขาผ่านไปสิบปี เมื่ออิงเสวี่ยฟื้นขึ้นมา ทนเห็นตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จึงสลายตัวเองเป็นเถ้าธุลี เพื่อกลายเป็นพลังของตนเอง และหายสาบสูญจากโลกนี้ไปตลอดกาล วันนี้คนผู้นั้นก็มาเช่มเดิม แต่ไม่รู้ว่าเขาได้พลังมา เขาฆ่าคนผู้นั้นแล้วหนีไป แต่ก็ถูกคนจำนวนมากไล่ล่า เพื่อนำตัวไปเป็นคู่บำเพ็ญ เพราะคุณสมบัติของร่างกาย

ตอนแรกเขาหนีไปอยู่ที่โลกมนุษย์ ถูกเด็กสาวที่เป็นสาวใช้คนหนึ่งเก็บไป เด็กสาวผู้นี้จิตใจเมตตา แบ่งของกินครึ่งหนึ่งของนางให้เขา อีกทั้งยังช่วยเขารักษาอาการบาดเจ็บ แถมบอกว่าเขาสวยขนาดนี้ นางจะปกป้องเขาเอง ขนมที่เจ้านายให้มา นางก็แบ่งให้เขา จนกระทั่งเด็กสาวเริ่มโตขึ้นมาเป็นสาวน้อยที่งดงาม วันหนึ่งก็หายตัวไป นางบอกว่าจะนำขนมอร่อยๆมาให้เขา แต่เมื่อเขาออกไปก็พบว่านางได้ปลิดชีวิตตัวเองไปแล้ว สาเหตุคือนางไม่ใช่สาวใช้ของบ้านนี้ แต่เป็นลูกสาวของนายท่านกับอนุภรรยา ทายาทของฮูหยินทำผิด จำเป็นต้องนำลูกสาวไปแลก ฮูหยินไม่ยอมให้ลูกสาวต้องรับกรรม จึงนึกถึงลูกนอกสมรสที่นางแสนจะเกลียดชังคนนี้ วางแผนให้สาวน้อยผู้นี้ปรากฏตัวท่ามกลางฝูงชน คนผู้นั้นกลับพึงใจในตัวนาง เพียงแต่ว่านังหนูคนนี้หัวรั้นไม่ยอมทำตาม ดึงปิ่นปักผมออกมาปลิดชีวิตตัวเอง เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่สังหารคนทั้งครอบครัว ฝังสาวน้อยผู้นี้แล้วจากไป

และสุดท้ายเขาหนีไปโลกมาร ถูกผู้ปราดเปรื่องในศาสตร์ดูดกลืนพลังพาตัวไป ทว่าไม่ได้ให้เขาไปเป็นคู่บำเพ็ญ  แต่กลับสอนเคล็ดวิชาดูดพลังให้เขา เขาคับแค้นใจ จึงตั้งใจบำเพ็ญเพียร ใช้ชีวิตกับชายหญิงมากหน้าหลายตา โดยใช้หน้าตาและร่างกายของตัวเอง พลังบำเพ็ญเพียรจึงยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆอยู่ในจุดที่คนอื่นนับถือ คนตั้งฉายาเขาว่า ‘มารเจ้าเสน่ห์’

เมื่อเยี่ยซิงหวงชิงตำแหน่งพญามารมาได้ เขาก็ได้ช่วยเหลือด้วย เพราะทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน เขายินดีจะได้เห็นโลกนี้วิบัติ เยี่ยซิงหวงโจมตีดินแดนอื่นๆ เขาก็รับหน้าที่เป็นแนวหน้า โดยเฉพาะเมื่อโจมตีสำนักเมฆาคล้อย เขาโมโหสำนักเมฆาคล้อยในตอนนั้นที่อบรมสั่งสอนศิษย์ที่แย่ๆพวกนั้นออกมา สังหารคนในสำนักเมฆาคล้อยแทบเหี้ยนสำนัก

โจมตีโลกอสูรเทพ อยู่ๆเขาก็นึกถึงพ่อแม่ขึ้นมา แต่นึกไม่ถึงว่าตั้งแต่ที่พ่อแม่ของเขารู้เรื่องฉายามารเจ้าเสน่ห์ของเขา จึงปลิดชีวิตตัวเองไปแล้ว

สุดท้ายทุกดินแดนเกิดความเสียหายอย่างหนัก สรรพชีวิตล้มตายไปนับไม่ถ้วน โลกอสูรเทพร่ายมนตร์อัญเชิญอสูรเทพบรรพกาลออกมาสังหารเขากับเยี่ยซิงหวง

อาจเพราะถึงแม้เขาจะเป็นผู้บำเพ็ญมาร แต่ในตัวของเขามีพลังเทพหงส์เหมันต์ของอิงเสวี่ยอยู่ อสูรเทพบรรพกาลล่วงรู้ถึงชะตาของเขา ถึงทำลายกายหยาบของเขา แต่ยังเหลือประสาทเซียนที่มีกลิ่นอายพลังของอิงเสวี่ยไว้ เขาล่องลอยไปทั่วถึงขนาดลืมไปว่าตัวเองเป็นใคร จนกระทั่งวันหนึ่งเขาลอยไปถึงสกุลหนานกง เห็นมารดาของเขากำลังตั้งครรภ์พอดี  เขาจึงเกิดใหม่อีกครั้ง จากนั้นเขาก็กลับมาเกิดที่สกุลหนานกง กลายมาเป็นหนานกงเวิ่นเทียน

หนานกงเวิ่นเทียนอึ้งไป นี่คือชาติที่แล้วของตนเอง ในใจกระสับกระส่ายอย่างมาก จนมีสัญญาณเหมือนจะถูกมารครอบงำ เบาะนั่งชำระจิตที่อยู่ด้านล่างก็ปล่อยกลิ่นอายเย็นสบายออกมา เพื่อให้เขาสงบใจลง แต่ใจเขาก็ยากจะสงบลงได้

“ดูแล้ว ในใจของดาวหงส์ไม่สงบนิ่ง” ผู้เฒ่าพูดพลางมองดาวหงส์ที่ส่องแสงกระพริบ

หนานกงเวิ่นเทียนกำหินย้อนเวลาแน่น ภาพที่ปรากฏขึ้นก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

ภาพย้อนกลับไปวันที่อิงเสวี่ยฉีกมิติออกมา เขาหมดสติอยู่ในป่าซื่อเลี่ยนหลินของสำนักเมฆาคล้อยเช่นเดิม มีเด็กหนุ่มปลอมๆมาเก็บเขาไป นางตั้งใจดูแลรักษาอาการบาดเจ็บให้เขา ทำของอร่อยให้เขากิน เมื่อล่วงรู้ถึงคุณสมบัติร่างกายของเขา ก็นำกระดิ่งที่ใช้ปกปิดคุณสมบัติร่างกายของนางแบ่งให้เขา และปลอบโยนเขาเมื่ออารมณ์เขาไม่ดี แบ่งปันสิ่งของที่ได้มากับเขา ช่วยแก้แค้นแทนเขา นังหนูที่คอยปกป้องเขามาโดยตลอดก็คือหลิวหลี ภาพของนางทับซ้อนเข้ากับสาวน้อยในโลกมนุษย์คนนั้น ทั้งสองคือคนคนเดียวกัน

หนานกงเวิ่นเทียนลืมตาขึ้นด้วยจิตใจสงบลงไม่น้อย ในชาตินี้เขาก็ยังเป็นร่างหยินล้วน มีคุณสมบัติเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญ แต่กลับมีคู่ชีวิตที่ไม่ทอดทิ้งกัน คุ้มครองเขาให้ปลอดภัย เติบโตมาด้วยกัน ในชาตินี้ของเขาต้องมีความสุขมากแน่ ใจของหนานกงเวิ่นเทียนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ดูมีแนวโน้มจะบรรลุขั้น

“ฮ่าฮ่า สมแล้วที่เป็นดาวหงส์ที่ดาวมังกรตกหลุมรัก นี่ต่างหากที่เป็นภารกิจของเจ้า เรื่องราวในชาติที่แล้วเป็นเพียงเรื่องราวที่ผ่านไปแล้วเท่านั้น” ผู้เฒ่ามองดาวมังกรกับดางหงส์ที่ส่องแสงสว่างอยู่บนฟ้าด้วยความยินดี

“นังหนู ชาติที่แล้วเจ้าปกป้องข้าในช่วงหนึ่ง ส่วนชาตินี้เจ้าปกป้องข้าจนทุกวันนี้ ข้ายินดีจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเจ้า หากเจ้าเป็นมังกร ข้ายินดีจะเป็นหงส์ ยอมอยู่ใต้เจ้า” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าวคำปฏิญาณออกมา นังหนู เจ้าเป็นคนเปลี่ยนชะตากรรมในชาตินี้ ขอบคุณเจ้ามาก การได้เจอเจ้าถือเป็นโชคดีจริงๆ

เมื่อเขาลุกขึ้นยืนจากเบาะนั่งชำระจิต หนานกงเวิ่นเทียนก็มองหาของล้ำค่าที่เหมาะสมกับตัวเองอย่างไร้ซึ้งความกดดัน เขาจะต้องพยายามเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียร เพื่อจะได้ออกไปสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับนังหนู

หลิวหลีที่กำลังตรงไปเขตชายแดน อยู่ๆก็รู้สึกอบอุ่น ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังกอดเกี่ยวตนเอง นางหวังแค่ว่าตัวเองจะสามารถจัดการให้เรียบร้อยเร็วๆ เสี่ยวเทียนจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก เขาเป็นดาวหงส์ สมควรได้รับการปกป้องจากดาวมังกร

ส่วนฟากหนานกงเวิ่นเทียน เมื่อเลือกของเสร็จก็ออกจากหอดาวจรัสฟ้าก็ให้ตวนมู่เหยาพาเขาไปที่หอดารากร

ถึงแม้ตวนมู่เหยาจะรู้จักหินย้อนเวลา แต่ปู่ทวดของเขาบอกว่าของสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขา เขาจึงไม่ได้สนใจ เขาเคยได้ยินปู่ทวดพูดถึงบ้างเล็กน้อย จึงแอบสงสัยว่าหนานกงเวิ่นเทียนไปเห็นอะไรมา แต่ก็ไม่กล้าถาม

หลังจากส่งหนานกงเวิ่นเทียนที่หอดารากร เขาก็รีบกลับไปหาปู่ทวดของเขาเพื่อรอรับคำสั่ง

“ท่านปู่ทวด สหายหนานกงเลือกของเสร็จ ไปเข้าฌานที่หอดารากรเรียบร้อยแล้ว”

“ปู่รู้แล้ว อาเหยา แผนผังแปดทิศในคัมภีร์โจวอี้เจ้าเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้เฒ่าถามขึ้น

“เรียนได้เกินครึ่งขอรับ ท่านปู่ทวด” ตวนมู่เหยาเกรงใจน้อยๆ

“เฮ้อ ช้าเกินไป ช้าเกินไป” ผู้เฒ่าส่ายหัวแล้วพูดขึ้น

“หลานละอายแก่ใจยิ่งนัก” ตวนมู่เหยาละอายใจ

“อาเหยาเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกเช่นนั้น ตอนปู่ทวดอายุเท่าเจ้ายังสู้เจ้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เพียงแต่เวลาของปู่มีไม่มาก เจ้าจะต้องเป็นเสาหลักให้กับหอเทียนจีเก๋อให้ได้” ผู้เฒ่าถอนหายใจ ระยะเวลากระชั้นชิดแถมภารกิจก็ใหญ่หลวง พัฒนาการของหลานยังช้าเกินไป

ณ บริเวณชายแดน ฮัวจิงเฟยกำลังสู้กับผู้บำเพ็ญมาร กัดฟันกรอด ผู้บำเพ็ญมารพวกนี้น่ารำคาญจริงๆ ทันใดนั้นเองอยู่ๆผู้บำเพ็ญมารก็สลายกลายเป็นผุยผง ผู้บำเพ็ญมารที่อยู่รอบข้างเช่นเดียวกัน แล้วเขาก็เห็นแสงไฟที่คุ้นตา

“หลงหลิวหลี ในที่สุดเจ้าก็ออกมาจากที่นั่นแล้ว” ฮัวจิงเฟยประหลาดใจ หลงหลิวหลีมาแล้ว ดีเหลือเกิน

“ขอโทษด้วย ข้าติดธุระเลยมาช้า” หลิวหลีรู้สึกผิดเล็กน้อย การพิชิตเพลิงอัคคี ทำให้นางตัดขาดจากโลกภายนอก นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าด้านนอกเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้

“เจ้ามาก็ดีแล้ว จริงสิ พี่หนานกงล่ะ” พวกเขาตัวติดกันตลอดไม่ใช่หรือ

“เสี่ยวเทียนมีเรื่องต้องจัดการ” หลิวหลีพูดผ่านๆ

“ไปหาท่านลุงใหญ่ของเจ้ากับข้าก่อนแล้วกัน ท่านลุงใหญ่ของเจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาในครั้งนี้” ฮัวจิงเฟยนึกอะไรออกก็พูดออกมา

“นำทางไป” หลิวหลีพยักหน้า ไปทักทายท่านลุงเสียหน่อย พวกเขาจะได้วางใจ

………………….