ในคืนนั้น ลู่ฝานนั่งอยู่หน้าสุสานเครื่องทรงทั้งคืน

เหมือนอย่างที่อาจารย์อี้ชิงพูด วิชาเปลี่ยนเกราะฝังลึกอยู่ในหัวเขา ทำความเข้าใจหนึ่งคืน ลู่ฝานรู้แล้วว่าควรใช้ยังไง

เห็นชุดเกราะบนตัวแบบเลือนราง เป็นชุดเกราะที่มีลาย เหมือนชุดเกราะที่วาดค่ายกลเต็มไปหมด เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง

ชุดเกราะสีขาวปกคลุมบนตัว เหมือนชุดเกราะสุดหรูที่ขายในร้านค้าอาวุธ แต่กลับแข็งแกร่งทนทานกว่าชุดเกราะพวกนั้นหลายเท่า ส่องแสงสว่างภายใต้แสงอาทิตย์

ชุดเกราะแบบสวมทั้งตัว สามารถใส่เป็นเสื้อผ้าได้ ตอนไม่ได้ใช้งาน มันจะซ่อนอยู่ในตัว กลายเป็นเกราะห่อหุ้มกระดูก ปกป้องอวัยวะภายในกับกระดูกได้ดีที่สุด เมื่อมันโดนพลังวิญญาณกระตุ้น จะสามารถปกคลุมร่างกายได้ ถึงกระทั่งที่กลายเป็นหมวกเกราะรูปมังกร ปกป้องส่วนหัวเอาไว้มิดชิด

ลู่ฝานหาน้ำออกมา มองด้านหลังของชุดเกราะตัวเอง เหมือนพวกนักบู๊ฆ่ามังกรในตำนาน

แบกกระบี่หนักบนหลัง เหมือนเพิ่มความโหดร้ายขึ้น ต่อยลงไปบนเกราะหนึ่งหมัด ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย พลังป้องกันระดับนี้ ใช้งานได้ดีกว่าผิวหนังเผ่ามังกรของเขา จากวิชาที่เซียนบู๊ซงหยางถ่ายทอดให้เขา ถ้าฝึกเกราะนี้ถึงขั้นสูงสุด จะเหมือนกับเกล็ดของมังกรขนาดใหญ่ในสมัยโบราณ อาวุธวิเศษทำอะไรไม่ได้ สวรรค์ไม่สามารถทำลายได้

เวลาทั้งคืน ลู่ฝานสามารถเก็บและปล่อยเกราะออกมาได้ตามใจชอบ

เขาต้องทำเพียงแค่ใช้ปราณชี่หล่อเลี้ยงเกราะในร่างกายต่อไป ก็เพียงพอแล้ว

เกราะระดับนี้ ถ้าคนอื่นฝึกฝน แค่ใช้วิญญาณรวมตัวเป็นเกราะขั้นแรก ก็ยากจะควบคุมได้แล้ว ยังดีที่เซียนบู๊ซงหยางช่วยเขาให้ผ่านขั้นนี้มาได้

สิ่งที่ลู่ฝานต้องทำ คือฝึกให้แข็งแกร่ง ยกระดับผลการฝึกตน ชุดเกราะจึงจะยกระดับตามไปด้วย

ค่ายกลห้าธาตุกับค่ายกลหยินหยางขนาดใหญ่ในตัว ยังดูดซับและกลั่นพลังฟ้าดินอยู่ตลอดเวลา

ค่ายกลห้าธาตุดูดซับพลังฟ้าดิน ค่ายกลหยินหยาง กลั่นเป็นพลังที่ดี เพื่อให้ร่างกายลู่ฝานดูดซับ

มีค่ายกลสองค่ายกลนี้ เรียกได้ว่าความเร็วในการฝึกของลู่ฝานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นำห่างนักบู๊คนอื่นไปไกล โดยเฉพาะหลังจากที่ค่ายกลทั้งสองค่ายกล ขยายใหญ่ขึ้นห้าเท่า ความเร็วในการดูดซับพลังฟ้าดิน ก็เพิ่มขึ้นห้าเท่าด้วย

ดูเหมือนว่า การที่ลู่ฝานเอาพลังบริสุทธิ์ ให้ค่ายกลทั้งสองค่ายกล ได้ดูดซับ เป็นเรื่องที่ถูกต้องมาก

ท้องฟ้าเริ่มสว่าง แสงสาดส่องไปทั่ว

ลู่ฝานลุกขึ้นเพื่อจะเดินกลับ ก่อนจะไป เขาตั้งใจทำความสะอาดสุสานของเซียนบู๊ซงหยางด้วย

เดินกลับมายังคณะหนึ่งเดียว เพิ่งมาถึงข้างหน้า ลู่ฝานเห็นหานเฟิงร้องโอดครวญอยู่ ศิษย์พี่ฉู่สิงกับศิษย์พี่ฉู่เทียนขนาดคนที่มีเมตตา อ่อนโยนดั่งน้ำ อย่างศิษย์พี่ใหญ่ กำลังรุมกระทืบเขาอยู่

โดนรุมไปพลาง หานเฟิงตะโกนออกมาว่า “แรงอีก แรงขึ้นอีก”

ลู่ฝานอึ้งไป ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ลู่ฝานรีบเดินเข้าไปลากศิษย์พี่หานเฟิงออกมา “เกิดอะไรขึ้นครับ ศิษย์พี่ทั้งสามกระทืบศิษย์พี่หานเฟิงทำไม”

ศิษย์พี่หานเฟิงโดนรุมจนหน้าตาฟกช้ำดำเขียว พูดไม่ชัด “ศิษย์น้องลู่ฝาน นาย……ปล่อยฉัน”

ศิษย์พี่ฉู่สิงหนังตากระตุก “นายถามเขาเองเถอะ ไอ้นี่อยากโดนกระทืบ แถมยังให้เรารุบกระทืบเขา เราก็ไม่เกรงใจอยู่แล้ว”

ฉู่เทียนกับศิษย์พี่ใหญ่พยักหน้าหงึกหงัก

ลู่ฝานมองศิษย์พี่หานเฟิง “ศิษย์พี่หานเฟิง เกิดอะไรขึ้น พี่ให้พวกเขากระทืบเหรอ”

“ศิษย์น้องลู่ฝาน นายบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นตาย ถึงจะฝึกวิชาหนึ่งเดียวสำเร็จ ฉันกำลังสัมผัสกับความเป็นตายอยู่ มาสิ รุมกระทืบฉันต่อ ศิษย์พี่ฉู่สิง ครั้งก่อนกางเกงพี่ขาดเป็นรู ฝีมือผมเองแหละ เดินโชว์ก้นในคณะอื่น คงรู้สึกไม่เลวใช่ไหม ศิษย์พี่ใหญ่ เนื้อที่พี่กินจนอ้วกครั้งนั้น ผมตั้งใจทำเอง ผมใส่วัตถุดิบอื่นลงไปนิดหน่อย

ลู่ฝานหางตากระตุก รู้สึกว่าศิษย์พี่หานเฟิงกำลังรนหาที่ตาย

ศิษย์พี่ฉู่สิงกับศิษย์พี่ใหญ่ ได้ยินศิษย์พี่หานเฟิงตะโกน โมโหขึ้นมาทันที เข้ามารุมต่อย

ลู่ฝานรีบโยนศิษย์พี่หานเฟิงออกไป ไม่งั้นเละแน่ๆ

ศิษย์พี่ฉู่สิงกับศิษย์พี่ใหญ่ จับศิษย์พี่หานเฟิง แล้วซัดอย่างแรง ซัดไปพลางตะโกนว่า “อยากโดนรุมกระทืบใช่ไหม ที่แท้ฝีมือนายนี่เอง”

ลู่ฝานยืนอยู่อีกด้าน จะบอกความจริงกับศิษย์พี่หานเฟิงดีไหม

เห็นศิษย์พี่หานเฟิงโดนกระทืบจนจะไม่ใช่คนแล้ว ลู่ฝานตัดสินใจไม่พูดดีกว่า ไม่งั้นศิษย์พี่หานเฟิงต้องคลุ้มคลั่งแน่นอน ถึงเขาโดนกระทืบจนอยู่ในสภาพนี้ เขาก็ต้องคลุ้มคลั่งแน่นอน

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงนั่งอยู่ข้างๆ ดื่มชาพลางพูดคุยกันเรื่องทั่วไป และมองหานเฟิงโดนกระทืบไปพลาง

“เป็นวันที่ดีสุดๆ ไปเลย!”

อาจารย์อี้ชิงส่ายหัวไปมา แล้วเอ่ยขึ้น