บทที่ 187 ผู้ล่วงลับแห่งเมืองชิงโจว

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 187 ผู้ล่วงลับแห่งเมืองชิงโจว?
โอกาสของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน หากพลาดไปแล้วก็พลาดเลย แม้จะเสียใจเพียงใด ก็ไม่มีวันเอาคืนมาได้

แม่นางหงซิ่วที่พลาดโอกาสที่จะโด่งดังในชั่วข้ามคืน ได้แต่ร้องไห้จนเหนื่อยหอบ คงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะเข้าใจความจริงข้อนี้ จากนั้นก็ต้องปรับปรุงตัวด้วยความรู้สึกหดหู่ใจเป็นเวลายาวนาน

คณิกาหงซิ่วร้องไห้ขนาดนี้ จึงจำต้องถอนตัวจากการประชุมชา คุณชายเว่ยและคนอื่นๆ สมกับที่เป็นปัญญาชนที่มีความรู้และมีเหตุผล พวกเขาไม่เพียงไม่ได้กล่าวโทษหรือต่อว่าต่อขาน แต่กลับปลอบโยนให้นางพักผ่อนมากๆ

หลังจากส่งหงซิ่วกลับไปแล้ว คุณชายเว่ยและคนอื่นๆ ก็ดื่มเหล้ากันต่อ เดิมทีสถานที่เช่นสำนักสังคีตก็เป็นสถานที่สำหรับการพบปะสังสรรค์และสมาคมอยู่แล้ว

หญิงงามข้างกายเป็นเหมือนเครื่องประดับ ไม่มีก็ไม่เป็นไร พวกผู้ชายนั้นก็ดื่มและพูดคุยกันตามประสา

“เมื่อกี้เจ้าบอกว่ามีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาประชุมชาไม่ใช่หรือ”คุณชายเว่ยเอะใจ นึกเรื่องนี้ขึ้นได้ จึงถามสาวใช้ที่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ ว่า

“เมื่อครู่แม่นางหงซิ่วบอกว่า ในจำนวนนั้นมีคนอ้างว่าแม่นางฝูเซียงเป็นคนสนิทของเขานี่”

“ดูเหมือนว่าจะใช่เจ้าค่ะ” สาวใช้พูด

คุณชายเว่ยพอคาดเดาในใจได้รางๆ แล้วจึงหยุดดื่มเหล้า แล้วจ้องหน้าสาวใช้อย่างจริงจัง “เจ้า..ฆ้องทองแดงคนนั้นชื่ออะไร”

“คุณชาย บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ” สาวใช้ส่ายหน้า คิดในใจว่า ‘ข้าไม่ได้ใส่ใจ’

คุณชายคนอื่นๆ ล้วนเป็นคนฉลาด เมื่อนึกถึงความผิดปกติของแม่นางหงซิ่วเมื่อครู่นี้ ต่างก็พากันตกใจ “ถ้าอย่างนั้น เจ้าสวี่หนิงเยี่ยนนั่นมาที่อวี่โจวหรือ”

คดีของเจ้ากองส่งเพิ่งเกิดขึ้นวันนี้ ข่าวยังไม่แพร่กระจายในอวี่โจว บัณฑิตกลุ่มนี้ มีเพียงคุณชายเว่ยเท่านั้นที่มีภูมิหลังเกี่ยวข้องกับวงราชการ แต่หากอยากรู้เรื่องพวกนี้ ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งหรือสองวัน

“พรุ่งนี้ลองไปดูที่จุดพักเปลี่ยนม้าก็ได้ ถ้าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพักที่จุดพักเปลี่ยนม้า จะต้องไปเยี่ยมเยียนให้ได้”

ณ จุดพักเปลี่ยนม้า

รถม้าลดความเร็ว และจอดอยู่ด้านนอกจุดพักเปลี่ยนม้า

ผู้ตรวจการจางลงจากรถม้า สีหน้าเคร่งขรึม และกลับไปที่จุดพักเปลี่ยนม้าพร้อมกับเจียงลวี่จงที่ติดตามเขามา เวลานี้เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า

ผู้ตรวจการจางเหลือบมองคอกม้าที่อยู่ไกลออกไป มีม้าเพียงไม่กี่ตัวที่ถูกผูกไว้ที่นั่น หลังจากเข้าไปในจุดพักเปลี่ยนม้า และถามทหารประจำจุดพักเปลี่ยนม้าแล้ว จึงได้รู้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเกือบทั้งหมดไปมั่วสุมกันอยู่ข้างนอก ไม่ได้กลับมาที่จุดพักเปลี่ยนม้า

ผู้ตรวจการจางซึ่งกลุ้มใจอยู่จึงได้พูดด้วยความโกรธเคืองว่า “เหลวไหล พวกเรารับพระบัญชาจากองค์จักรพรรดิ จะเกียจคร้านและเอาแต่เสพสุขเช่นนี้ได้อย่างไร ”

เจียงลวี่จงพูดยิ้มๆ ว่า “พวกเขาอัดอั้นอยู่บนเรือมาหลายวันแล้ว การผ่อนคลายเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ใต้เท้าผู้ตรวจการสบายดี คนอื่นๆ จะทำอะไรก็ไม่สำคัญ”

ทั้งสองขึ้นไปชั้นบน มีชายสวมกางเกงชั้นในเดินมาตามทางเดินอันมืดมิด เดินกอดอก ตัวสั่นเทาท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ

เจียงลวี่จงมีความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืน พูดด้วยความสงสัยว่า “เจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่”

“ข้าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ อาบน้ำเย็น”

สวี่ชีอันซึ่งไม่ได้ค้างคืนที่สำนักสังคีตตอบคำถาม

“แล้ว?”

“ที่นี่คือภาคใต้” เขาพูดโดยไม่ทันคิด แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจ “ทบทวนความรู้สึกในอดีต… ฆ้องทองคำเจียง ผู้ตรวจการจางพวกท่านกลับมาแล้วหรือ คนอื่นๆ ค้างคืนที่สำนักสังคีตกัน”

ผู้ตรวจการจางพยักหน้า เดินเข้าไปในห้องของตัวเอง

“ทำไมเจ้าไม่ค้างคืนที่สำนักสังคีต” เจียงลวี่จงสังเกตสวี่ชีอันอย่างละเอียด เท่าที่เขารู้ เจ้าหมอนี่เป็นคนหนึ่งที่ช่ำชองเรื่องผู้หญิง

“การค้าอะไรที่เกี่ยวข้องกับเงินนั้นล้วนเป็นเรื่องต่ำ และเป็นความชั่วร้าย ขอต่อต้านพฤติกรรมเช่นนี้อย่างเด็ดขาด” สวี่ชีอันกล่าวจบด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วเดินจากไปไกล

เจียงลวี่จงมองตามหลังเขาไป คิดในใจว่า ‘เจ้าหมอนี่คงจะดื่มมากเกินไป จึงพูดจาเลอะเทอะ อีกอย่าง ทหารระดับหลอมจิตนั้นมีภูมิคุ้มกันต่อความหนาวเย็นและความร้อนมานานแล้ว แต่เขากลับแสร้งทำเป็นหนาวเหน็บ’

สวี่ชีอันเข้ามาในห้อง ปิดประตู แกล้งทำตัวสั่นอย่างสนุกสนาน ขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว ม้วนตัวเข้ากับผ้าห่ม ทำเหมือนตัวเองอาศัยอยู่ในภาคใต้ที่หนาวเย็นและชื้น

พูดตามตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์แล้ว แม้ว่าอวี่โจวจะไม่ใช่พื้นที่ชายฝั่งทะเล แต่ก็จัดว่าอยู่ทางภาคใต้ แตกต่างจากเมืองหลวงที่หนาวเข้ากระดูก ความหนาวเย็นในอวี่โจวจะเกาะติดกับผิวหนังและแทรกซึมเข้าไปในรูขุมขน

ทำให้สวี่ชีอันนึกถึงภาคใต้ที่เขาเคยอาศัยอยู่ในชาติก่อน การอาบน้ำในฤดูหนาว ปิดน้ำร้อนถูสบู่ ถูไปตัวสั่นไป

อาบน้ำเสร็จก็สวมเสื้อผ้า สวมไปสวมไปน้ำมูกก็ไหลออกมา

น่าเสียดายที่ทหารระดับหลอมปราณนั้นสุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแกร่ง ปกติจะไม่รู้สึกหนาว ถึงแม้จะแช่อยู่ในน้ำแข็ง อย่างมากที่สุดก็แค่รู้สึกเย็นๆ

ห่อตัวด้วยผ้านวมแล้ว สวี่ชีอันก็หลับไปอย่างสบายใจ

แสงเทียนริบหรี่ ส่องแสงสลัวพลิ้วไหว

ผู้ตรวจการจางนั่งอยู่หน้าโต๊ะ หยิบพู่กันขึ้นมา แล้วเขียนข้อความลงในบนกระดาษ

‘กระหม่อมเดินทางผ่านอวี่โจว ได้สังเกตเห็นคดีทุจริตโดยไม่ได้ตั้งใจ เหยียนข่ายเจ้ากองส่งจากสำนักงานขนส่งแห่งอวี่โจว บงการพรรคธงเหลืองซึ่งเป็นพรรคในท้องถิ่นสังหารกองอารักขาเรือ ยักยอกแร่เหล็ก ลักลอบขนส่งไปยังอวิ๋นโจ…’

‘กระหม่อมได้อ่านสำนวนคดีเรือล่มของสำนักงานขนส่งแห่งอวี่โจว พบว่าภายในเวลาสิบปี มีคดีเรือล่มทั้งหมดสี่สิบสามคดี มีแร่เหล็กสูญหายไปสองล้านชั่ง จำนวนมหาศาล ทำให้ผู้คนโกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง โจรปล้นชาติ ขุดรีดต้าฟ่ง รีดนาทาเร้นประชาชน ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก’

‘ในเขตแดนของอวี่โจว ภายในเวลาสิบปีมีแร่เหล็กสูญหายไปสองล้านชั่ง หากรวบรวมจากทั้งสิบหกแคว้นของต้าฟ่ง จะเป็นจำนวนมหาศาลเพียงใด กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงตรวจสอบคดีเรือล่มของสำนักงานขนส่งทุกแคว้นในต้าฟ่งอย่างถี่ถ้วน’

‘อดีตเจ้ากรมแห่งกรมโยธาสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมด แอบสนับสนุนโจรในอวิ๋นโจว เกรงว่าจะมีแผนทรยศบ้านเมือง นอกจากนี้ ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันฉลาดเกินใคร มีความสามารถโดดเด่น เป็นเสาหลักของชาติ การสืบสวนคดีครั้งนี้ คนผู้นี้มีความดีความชอบมากที่สุด’

‘การเดินทางไปอวิ๋นโจวอันตรายอย่างไม่อาจคาดเดาได้ กระหม่อมจะพยายามอย่างสุดความสามารถ จะตั้งใจทำงานจนตัวตาย’

พลบค่ำวันต่อมา คนทั้งคณะเดินทางออกจากอวี่โจว โดยสารเรือเดินทางต่อไปยังอวิ๋นโจว

ในตอนกลางวันสวี่ชีอันพากองทหารพยัคฆ์ทะยานและสหายร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ไปซื้อของกินของใช้เช่นผักตามฤดูกาล เหล้า และข้าวสารในเมือง

ใช้งบของสำนักงานขนส่ง เท่ากับของฟรี

คืนวันนั้น พ่อครัวบนเรือทำอาหารเย็นมากมายให้กับคณะผู้แทนพระองค์ หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว สวี่ชีอันก็นั่งขัดสมาธิฝึกลมหายใจอยู่ในห้อง

“หนิงเยี่ยนเอ๋ย เมื่อคืนเจ้าไม่ได้หลับนอนร่วมกับคณิกาที่สำนักสังคีต ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก” แม้แต่ซ่งถิงเฟิงยังรู้สึกเสียดายแทนเพื่อนร่วมงาน

“เฮ้อ แม่นางหงซิ่วคนนั้นดูแคลนทหารที่หยาบคายอย่างพวกเรา” สวี่ชีอันพูด

“นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่ได้เปิดเผยฐานะของตัวเอง หากเจ้าบอกนางว่าเจ้าคือผู้ปราดเปรื่องที่ประพันธ์ ‘กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’ นางจะไม่รีบเสนอตัวให้เจ้าเองหรือ” ซ่งถิงเฟิงตอบ

สวี่ชีอันรู้สึกสงสัยเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมเจ้าจึงไม่ช่วยข้าพูดเล่า”

ซ่งถิงเฟิงยิ้มเยาะ “คนชั่วช้า ข้ารู้สึกอิจฉาตาร้อนจนแทบทนไม่ไหว จะให้ข้าช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงให้เจ้า แล้วยังต้องดูเจ้านอนกับคณิกาอีกหรือ”

“เจ้าทำตัวเจ้าชู้ไปวันๆ ก็มีความสุขดีไม่ใช่หรือ”

“เหมือนกันเสียที่ไหนล่ะ”

“ปิดไฟแล้วก็เหมือนกันหมด”

“หมายถึงเป่าตะเกียงใช่หรือไม่” ซ่งถิงเฟิงแก้ไขให้ถูกต้อง

ตะเกียงน้ำมันใช้เป่า ปิดไฟมีหมายความว่าอะไร

จูกว่างเสี้ยวก็กำลังฝึกลมหายใจเช่นกัน จึงหยุดครู่หนึ่ง ลืมตาขึ้นแล้วพูดว่า “นอกจากคณิกาของสำนักสังคีตแล้ว ข้าคิดว่าหัวหน้ามือปราบหลี่ว์แห่งที่ว่าการเมืองก็ถูกใจหนิงเยี่ยนมากเช่นกัน”

ซ่งถิงเฟิงรู้สึกเศร้าใจยิ่่งกว่าเดิม “เจ้าทำได้อย่างไร ความสามารถในการล่อลวงพวกผู้ดีเก่งกล้าไม่เบา สอนพี่ชายบ้างสิ”

“พี่ชายหรือ”

“สอนน้องชายบ้างสิ”

“เจ้าต้องเรียกท่านพ่อก่อน”

“ไสหัวไปซะ!” ซ่งถิงเฟิงปฏิเสธทันที เขาเคยถูกสวี่หนิงเยี่ยนใช้วิธีเดียวกันหลอกมาครั้งหนึ่งแล้ว

“จะเรียกหรือไม่”

“ท่านพ่อ”

สวี่ชีอันยิ้ม

“หมายความว่าอย่างไร” ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวไม่เข้าใจ

“ต้องใช้ความจริงใจ อย่าหลอกขึ้นเตียงเพียงอย่างเดียว” สวี่ชีอันพูด

“ดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่เจ้ามีคุณสมบัติที่จะพูดเช่นนี้ด้วยหรือ” หลังจากที่ซ่งถิงเฟิงพูดจบ เขาก็พูดอย่างโกรธเคืองขึ้นมาทันทีว่า “เจ้าหลอกให้ข้าเรียกท่านพ่ออีกแล้ว รีบเรียกกลับเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย”

เขาพูดจบก็กระโจนเข้าใส่ เตรียมล็อกตัวเขาไว้

ในเวลานี้ หูของทั้งสามคนกระดิก พวกเขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากข้างนอก

“เกิดเรื่องแล้ว…” สวี่ชีอันถีบซ่งถิงเฟิงออก แล้วพุ่งออกไปจากห้อง โดยไม่ทันสวมรองเท้า

สหายร่วมหน่วยสองคนวิ่งตามไปติดๆ

บรรดาฆ้องเงินที่มีการบำเพ็ญถึงขั้นสูงต่างก็พุ่งตัวออกมาเกือบจะพร้อมกัน ตามมาด้วยฆ้องทองแดง

ตอนกลางคืนไม่มีเรือสัญจร แต่จะจอดอยู่ในบริเวณที่มีน้ำไหลเอื่อยๆ ผิวน้ำที่มืดมิด ชายฉกรรจ์จากกองทหารพยัคฆ์ทะยานคนหนึ่งกำลังพยายามตะเกียกตะกาย เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่ในน้ำ

ดูเหมือนเขาจะว่ายน้ำเป็น แต่ใต้น้ำมีอะไรบางอย่างดึงเขาไว้ พยายามลากเขาลงน้ำอย่างสุดชีวิต

“ฮึบ!”

ในห้องโดยสาร มีเสียง ‘ฮึบ’ ของเจียงลวี่จงดังออกมาเบาๆ

ชายฉกรรจ์จากกองทหารพยัคฆ์ทะยานก็ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ เหมือนเป็นอิสระจากพันธนาการ ไม่ได้จมลงไปอีก

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลบนดาดฟ้าหย่อนเชือกลงไป แล้วดึงเขาขึ้นมา

ในเวลานี้ มีคนจากกองทหารพยัคฆ์ทะยานจำนวนมากพุ่งขึ้นมาจากใต้ท้องเรือ ทุกคนสวมเสื้อเกราะพร้อมอาวุธ หน้าตาถมึงทึง

“ไม่มีอะไรแล้ว แค่คนตกน้ำ” สวี่ชีอันหันไปพูดปลอบโยน จากนั้น ก็หันไปสำรวจชายฉกรรจ์ที่ตกลงไปในน้ำอย่างละเอียด เห็นที่ข้อเท้าของเขา มีรอยนิ้วมือสีคราม

“เกิดอะไรขึ้น” ฆ้องเงินคนหนึ่งถาม เขาเป็นฆ้องเงินซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของเจียงลวี่จง

ครั้งนี้คนที่เป็นหัวหน้าคณะคือฆ้องทองคำเจียงลวี่จง ยกเว้นสวี่ชีอันที่เว่ยเยวียนส่งมาฝึกงานแล้ว หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เหลือทั้งหมดล้วนอยู่ใต้บังคับบัญชาของเจียงลวี่จง

สำหรับซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวนั้น เป็นคนที่สวี่ชีอันลากตัวมาด้วย เพราะค่าเดินทางในการปฏิบัติงานนอกสถานที่นั้นช่างดึงดูดใจเสียเหลือเกิน แล้วยังมีโอกาสได้สร้างความดีความชอบอีกด้วย

ชายฉกรรจ์คนนั้นสำลักน้ำออกมาหลายครั้ง แล้วก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ใบหน้าของเขาซีดจางเล็กน้อย คาดว่าอาจเป็นเพราะตกใจ

“ข้าน้อยดื่มเหล้ามากไปหน่อย เมื่อครู่วิ่งขึ้นมาจะปล่อยน้ำ… จู่ๆ ก็ได้ยินใครบางคนเรียกข้าอยู่ในน้ำ และเมื่อก้มลงไปดู ก็เห็นท่านแม่ที่ตายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ท่านแม่เลี้ยงดูข้ามาจนโต ก็รู้สึกเศร้าใจมาก แล้วก็กระโดดลงไป หลังจากตกลงไปในน้ำข้าน้อยก็ได้สติ ในเมื่อท่านแม่กลายเป็นผีไปแล้ว แล้วมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร แต่สิ่งนั้นได้จับเท้าของข้าไว้แน่น แล้วลากข้าลงไปที่ก้นแม่น้ำ…”

“มันคือผีพราย” คนแจวเรือผู้มากประสบการณ์คนหนึ่ง กล่าวด้วยความหวาดผวาเล็กน้อยว่า “เมื่อคนตายไปแล้วศพก็จะกลายเป็นพลังหยิน มักจะล่อลวงคนที่เดินผ่านไปมาให้ลงไปในน้ำ คลองสายนี้มีคนตายมาแล้วไม่รู้กี่มากน้อย เมื่อพลังหยินทับถมนานปี ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีผีพรายเกิดขึ้น ตกกลางคืนใต้เท้าทุกท่านอย่าออกมาจะดีกว่า ผีพรายไม่เคยขึ้นฝั่ง ตราบใดที่ไม่ขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ก็ไม่เป็นไร เวลาพวกเราออกเรือ เมื่อถึงเวลากลางคืน ไม่ว่าจะกินดื่มหรือขับถ่ายก็จะทำที่ห้องโดยสารเรือ นี่คือข้อบังคับของการเดินทาง”

ทุกคนต่างหันขวับโดยไม่ตั้งใจ มองดูผืนน้ำที่มืดมิด เจอเรื่องแบบนี้ตอนกลางคืน ชวนให้สยองจับใจ

เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ทหารชุดเกราะของกองทหารพยัคฆ์ทะยานจึงไม่ออกมาแก้ปัญหาการเผาผลาญพลังงานในตอนกลางคืนอีกเลย ส่วนหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยังคงปฏิบัติเช่นเดิม

อย่างเช่นสวี่ชีอัน ทุกคืนจะจงใจวิ่งไปปลดปล่อยบนดาดฟ้าเป็นสายยาว แต่ก็ไม่เคยเจอผีพรายในตำนานสักครั้ง

ไม่ใช่เป็นเพราะสวี่ชีอันใจกล้า อยากจะให้ผีพรายลาคลอด เขาแค่อยากจะดูว่าพรายน้ำหน้าตาเป็นอย่างไรเท่านั้น ชาติที่แล้วต้องตกใจเป็นอย่างมากเพราะฟังนิทานเรื่องพรายน้ำ

วันนี้ ในที่สุดคณะผู้แทนพระองค์ก็เดินทางมาถึงท่าเรือชิงโจว

หลังจากมาถึงชิงโจวแล้ว ก็จะต้องเปลี่ยนเป็นเดินทางทางบก เดินทางทางบกต้องอาศัยรถม้าและม้า ซึ่งคณะผู้แทนพระองค์ไม่มีสิ่งเหล่านี้ จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือให้ทางการชิงโจวเป็นผู้จัดหาให้

หลังจากลงจากเรือแล้ว ผู้ตรวจการจางก็หัวเราะร่าเดินไปหาสวี่ชีอัน แล้วพูดว่า “สมุหเทศาภิบาลของชิงโจวเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ หยางกงหยางจื่อเชียน”

สวี่ชีอันไม่ได้โต้ตอบพักหนึ่ง ผู้ตรวจการจางจึงพูดเสริมว่า “ฆราวาสจื่อหยาง”

………………………