เข้าสู่กลางดึก ดวงจันทร์ลอยขึ้นสูง คืนนี้ผ่านไปอย่างเงียบสงัด วันที่สองฟ้าสว่างเล็กน้อย ดวงตะวันขึ้นจากตะวันออก แสงม่วงมาจากตะวันออก ลมหนาวพัดผ่านไป

ฟางเจิ้งพลันตื่นขึ้น ลืมตาก็เห็นพริบตาที่ดวงตะวันลอยขึ้นเหนือกว่าเส้นขอบฟ้า แสงทองส่องสว่างพอดี! เขารู้สึกแค่ว่าในใจตนมีบางสิ่งสว่างตาม กายและใจแฝงไว้ด้วยแสงแห่งความเข้าใจ ดีใจ! ดีใจมาก!

พอก้มหน้ามองก็ตกใจสะดุ้ง นี่มันอะไรกัน? ทำไมมีคนมากขนาดนี้?

พวกหลี่เสวี่ยอิงยังไม่ตื่น บางคนหลับจริงๆ บางคนฟังจนหลงใหล

ฟางเจิ้งเกาหัวมองไปรอบๆ ยังดีที่ไม่มีดอกบัว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย จึงรีบดึงหูหมาป่าเดียวดาย พาลิง กระรอกวิ่งไป

กลับมาถึงวัด ฟางเจิ้งทำความสะอาดอุโบสถก่อน แล้วหุงข้าวผลึกหนึ่งหม้อ อ่านข่าวพลางรอกินข้าว

แต่ข้างนอก คล้อยหลังฟางเจิ้ง หลี่เสวี่ยอิงตื่นขึ้นตาม สูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสบาย กำลังวังชาทั่วร่างถึงจุดที่ดีที่สุด เธอบิดเอวขี้เกียจ ภายใต้แสงตะวันส่องสะท้อนทำให้ร่างระหงดูอรชรเป็นพิเศษ “สบายจัง สบายกว่าหลับลึกอีก! ฟินจริงๆ”

หลี่เสวี่ยอิงพูดจบ หันหน้าไปมองก็ต้องตกใจ! ตอนแรกเธอมาคนเดียว ต่อมาเสี่ยวหลิวมาด้วยอันนี้เธอรู้ แต่มีคนมามากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?

“หาว…สบายอ่ะ!”

“อ้า…ฟินจริงๆ หลับลึกไม่ฝันครั้งแรกเลย สบาย…”

“ฉันหลับหรือว่าฟังสวดมนต์กันแน่? เหมือนฟังอยู่ตลอดนะ และก็เหมือนหลับ…”

“ฉันก็เหมือนกัน”

“หืม? หลวงพี่ล่ะ?”

“หลวงพี่ฟางเจิ้งล่ะ?”

ทุกคนตั้งสติกลับมาจึงพากันออกตามหา หลวงจีนที่นั่งอยู่ตรงหน้าหายไป

“ต้องกลับวัดไปแล้วแน่ๆ ไม่ได้ ฉันต้องไปถามเขาว่าสวดมนต์อะไร ทำไมถึงเพราะขนาดนี้” มีคนกล่าว

หลินตงสือพูดเช่นกัน “ฉันจะไปด้วย”

“กลับมาเดี๋ยวนี้! จะไปไหนกัน? วัดเป็นแดนบริสุทธิ์ สมงสมองไปกันหมดแล้วรึไง จะไปก่อเรื่องอะไร? ไปทำงานกันได้แล้ว!” ผู้กำกับอวี๋ต่อว่าด้วยความโมโห เตะส่งคนพวกนี้กลับไป จากนั้นจัดระเบียบเสื้อผ้า “ฉันไปเอง!”

ทุกคนต่างยิ้ม…

“เสวี่ยอิงไปด้วยกันไหม?” ผู้กำกับอวี๋ถาม

หลี่เสวี่ยอิงส่ายหน้า “ช่างเถอะ ได้ฟังสวดมนต์ก็ถือว่ามีวาสนาสามชาติแล้ว ตามไปร้องขอมันไม่ดีนักหรอก ผู้กำกับวันนี้วิวดีนะ เริ่มถ่ายกันได้รึยัง?”

“เอ่อ…คุณพูดมีเหตุผลนะ ถ้าอย่างนั้นผมไม่ไปแล้ว พวกเราทำงานกันดีกว่า…” ผู้กำกับอวี๋กล่าวจบก็เดินตามไป

หลี่เสวี่ยอิงหันไปมองวัดซึ่งอยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง ก่อนชำเลืองตามองหญ้าบนพื้น เธอมั่นใจมากว่าหญ้าพวกนี้สูงกว่าเมื่อวาน! จึงหยิบมือถือออกมา แต่มือถือหยุดถ่ายวิดีโอไปนานแล้วเพราะหน่วยความจำเต็ม แต่หลี่เสวี่ยอิงก็ยังกดเล่นดูอย่างละเอียด แม้จะมีช่วงเดียว แต่เมื่อกดเล่นแล้วเธอกลับได้เห็นภาพอันน่ามหัศจรรย์! หญ้ากำลังเติบโตจริงๆ โตท่ามกลางการสวดมนต์!

หลี่เสวี่ยอิงปิดปากเล็กๆ ทำหน้าเหลือเชื่อ! นั่งยองลงมองในนาข้าว เห็นว่าในนาข้าวมีหน่ออ่อนจริงๆ! นั่นคือเมล็ดที่เพิ่งปลูกเมื่อวาน ไม่ใช่แค่ไม่ถูกแช่แข็งตาย แต่กลับเติบโต! ที่แปลกกว่านั้นคือพื้นที่อื่นๆ เป็นน้ำแข็งหมดแล้ว แต่น้ำในนาข้าวไม่แข็ง! ยื่นมือไปในนา น้ำเย็นๆ ทว่าเพียงแค่เย็นนิดหน่อย ไม่ได้หนาวเข้ากระดูก

ดวงตาหลี่เสวี่ยอิงเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนกลับกองถ่ายด้วยคำถามในหัว วันนี้จะเปิดกล้องแล้ว เธอต้องเตรียมตัวเยอะมาก ถึงจะมีความสงสัยเต็มไปหมด แต่ก็ทำได้แค่ยัดใส่เข้าไปในท้อง

ทางด้านกองถ่ายดำเนินการจนเสร็จสิ้นถึงช่วงบ่าย ช่วงบ่ายนี้เพียงแค่ลองกล้อง ยังไม่ได้ถ่ายจริงๆ กว่าจะเสร็จงานก็เย็น

กลุ่มคนมารวมตัวกัน มองไปทางนาข้าวด้วยใจจดจ่อรอคอย

“ทำไมเณรถึงยังไม่มาสวดมนต์อีก?” มีคนถาม

“ไม่รู้ คงลืมมั้ง”

“ฉันว่าเมล็ดนั่นแข็งตายแล้ว เขาคงปล่อยแล้ว” หลัวลี่งึมงำ

“แข็งตาย? เฮ้ย นายไม่พูดฉันเกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย ตอนเช้าน้ำในแอ่งที่อื่นแข็งหมด ทำไมในนาถึงไม่แข็งล่ะ? หรือว่าข้างใต้จะมีน้ำพุร้อน?” หลินตงสือกล่าว

“เป็นไปไม่ได้ ถ้ามีน้ำพุร้อนต้องสัมผัสได้จากข้างบน หมอกตอนเช้าก็ยังเอาไม่อยู่” เหล่าเถากล่าว

“ถ้าไม่มีน้ำพุร้อน อากาศแบบนี้เมล็ดนั่นต้องแข็งตายแน่ๆ” หลัวลี่เอ่ย

“แข็งตายรึเปล่าไปดูก็รู้เอง” หลินตงสือยืนขึ้นแล้ววิ่งไปข้างนา ก้มหน้ามอง ก่อนกลับมาด้วยสีหน้าราวกับเห็นผี

“เป็นอะไร?” เหล่าเถาถาม

“มีศพในนาเหรอ?” หลัวลี่ถาม

“ถุย นายใช้คำที่ดีกว่านี้ไม่ได้รึไง? ยังมาศพอีก…” เหล่าเถาตัวสั่น ด่าไปยิ้มๆ

หลินตงสือยิ้มแห้งๆ “หลัวลี่ จากนี้นายได้เปลี่ยนชื่อเป็นลี่หลัวแล้วล่ะ”

“หมายความว่าไง…เวร! ไม่ตายเหรอ?” หลัวลี่พลันนึกอะไรออก วิ่งเข้าไปดูอย่างไม่เชื่อ จากนั้นก็กลับมาด้วยอาการเหม่อลอย ปากพึมพำ “เป็นไปได้ยังไง? เมื่อคืนวานหนาวขนาดนั้น ไม่ตาย แถมยังแตกหน่อ…”

คนอื่นมองตากันก่อนพากันวิ่งไปดู แต่ละคนมองหน้ากันราวกับเห็นผี

สุดท้ายทุกคนมองหลัวลี่แล้วพูดพร้อมกันอย่างน่าประหลาด “สวัสดี คุณลี่หลัว”

หลัวลี่มองค้อนโกรธๆ…ทุกคนทุกข์ใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน ส่วนสาเหตุ มองว่าเมล็ดต้านหนาวได้ วุ่นวายกันอยู่ครึ่งคืนก็ไม่เห็นฟางเจิ้งมาสวดมนต์จึงแยกย้ายกันไปด้วยความเศร้าซึม บนเขาเอกดรรชนีกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ

วันที่สองฟางเจิ้งทำงานในวัดจนเสร็จแล้วก็ได้ยินเสียงดังจอแจข้างนอก จึงไปยืนมองหน้าประตู เห็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่ขึ้นเขามา แต่ละคนต่างสวมชุดโบราณ แต่งตัวเป็นทหารกันทั้งหมด เพียงแต่ว่าดูจากท่ายืน เสื้อผ้าแต่ละคนดูไม่เรียบร้อย ทั้งยังหัวเราะคิกๆ ดูยังไงก็ไม่เหมือนทหารที่ได้มาตรฐาน

ฟางเจิ้งมองแวบแรกเห็นซ่งเอ้อโก่วในกลุ่มคนจึงกวักมือเรียก ซ่งเอ้อโก่ววิ่งมาทันที พูดยิ้มๆ “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง มีอะไรเหรอครับ?” ถึงตอนนี้ซ่งเอ้อโก่วรู้เรื่องที่ถูกฟางเจิ้งหลอกนานแล้ว แต่เขาก็รู้ว่านั่นหวังดีต่อเขา ถ้าไม่ใช่เพราะถูกหลอกตอนแรก ตอนนี้เขาก็ยังเป็นคนเสเพล ไม่ได้ชุ่มชื่นเหมือนตอนนี้ เขาเลยไม่แค้นฟางเจิ้ง แต่กลับซาบซึ้งใจกว่าเดิม อ้าปากหุบปากก็เรียกเจ้าอาวาสตลอด

ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ โยม ทำอะไรกันเหรอ?”

“แสดงหมู่น่ะครับ” ซ่งเอ้อโก่วเห็นฟางเจิ้งไม่เข้าใจจึงคึกคักขึ้นมา ความสามารถในการนั่งยองคุยโม้ตรงหน้าหมู่บ้านและในห้องส้วมพลันพุ่งพรวดขึ้น

ฟางเจิ้งถาม “แสดงหมู่? พวกโยมแสดงหนังเหรอ?”