บทที่ 237 เขตแดน

มีหรือที่เฉินเฉียงจะปล่อยโอกาสดีๆตรงหน้าให้หลุดมือ

เขารับรู้ได้ตั้งแต่รับเลี้ยงเมิ่งน้อยแล้วว่าหยานเสวี่ยนั้นไม่คิดสนใจสิ่งใดนอกจากมัน

เขายังรู้สึกอีกด้วยซ้ำว่าหยานเสวี่ยนั้นคุ้นเคยกับเขามากขึ้น แต่ตัวเธอนั้นจะรู้ตัวหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้

ตราบใดที่เธอนั้นไม่ได้ทำผิดต่อคำสั่งของราชาสวรรค์ที่มอบให้ ตราบใดที่สิ่งที่กระทำนั้นไม่ถือว่าเป็นการทรยศต่อราชาสวรรค์ เธอจะทำพวกมันด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป

เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วทำไมเขาถึงจะไม่ใช้จุดนี้เพื่อแผ้วทางมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาด ที่กีดขวางการเดินทางของกองกำลังเทียนเว่ยกันล่ะ

โดยเฉพาะกับช่วงท้ายของการเดินทางเมื่อใกล้จะถึงบันไดสวรรค์แบบนี้ ยิ่งเข้าใกล้ที่นั่นเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นแหล่งรวมตัวของทั้งสามเผ่าพันธุ์ เขาสามารถใช้โอกาสนี้ในการฆ่าทั้งสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์เพื่อรวบรวมสินสงครามให้กับกองกำลังของเขา

เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงจึงนิ่งคิดและมองดูไปยังหยานเสวี่ยที่กำลังหยอกเย้าเมิ่งน้อยโดยไม่สนใจต่อสิ่งใดนี้หาโอกาสออกห่างจากเธอไปหากองกำลังอื่นที่อยู่ใกล้ๆ

แต่เมื่อเฉินเฉียงจากไป หยานเสวี่ยที่เหมือนจะมัวแต่เล่นกับเมิ่งน้อยอยู่นี้ก็ได้ส่ายหัวไปมาพลางถอนลมหายใจ

หลังจากผ่านไปสองวัน เฉินเฉียงยังคงทำแบบนี้อยู่เรื่อยไป โดยช่วงที่ผ่านมานี้เขาได้สังหารมนุษย์กลายพันธุ์กว่าสี่สิบตนและกลับมาอยู่ข้างหยานเสวี่ยอีกครั้ง

-กัปตัน ให้ข้าไปร่วมสนุกมั่งสิ-

เมื่อเฉินเฉียงกลับมา เจิ้งยี่ก็ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณคุยกับเฉินเฉียงในทันที

“ฮี่ฮี่ฮี่ ได้ได้” เฉินเฉียงพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

“เฉินเฉียง ตอนนี้เหลืออีกแค่สองร้อยไมล์เท่านั้นก็จะถึงบันไดสวรรค์แล้ว การเดินทางช่วงที่เหลือนี้เจ้านั้นต้องอยู่ข้างกายข้าไม่ไปเที่ยวเล่นที่ไหนอีก”

หยานเสวี่ยได้กอดเมิ่งน้อยและพูดออกมาอย่างสงบนิ่ง “เฉินเฉียง เจ้านั้นไม่ใช่ผู้บ่มเพาะของมนุษย์กลายพันธุ์ การที่เจ้าจะช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยทุกสิ่งที่มี นี่เป็นเรื่องที่ข้าเข้าใจได้”

“แต่เจ้าล่ะ รู้สึกเปล่าว่าทำไมด้วยระดับการบ่มเพาะของข้าแล้วนั้นถึงไม่ไปกวาดล้างกองกำลังเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้น ทั้งๆที่ทำได้อย่างไม่ยากเย็น”

“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไมข้าถึงไม่ทำ”

เฉินเฉียงและเจิ้งยี่ได้มองหน้ากันสักครู่ ก่อนที่จะตอบออกมา “นั่นเป็นเพราะท่านคิดว่ามนุษย์กลายพันธุ์นั้นทำผิดต่อฟ้าดินเกินไปกระมัง”

“ฮิ”

หยานเสวี่ยกลั้นหัวเราะในทันที แล้วพูดออกมา “อย่าลืมไปว่าตัวข้าเองก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ หากว่าสิ่งเจ้าคิดนั้นเป็นความจริง ตัวข้าเองก็คงยอมฆ่าตัวตายตั้งแต่รับรู้ไปแล้ว”

“ในช่วงสองวันมานี้ เจ้าอยู่กับข้า แต่จากไปเมื่อลับหลัง เจ้าเรียกตัวเองว่าเป็นเทพพิทักษ์ของกองกำลัง แต่ความจริงแล้วสิ่งที่ทำก็แค่เพียงแค่การฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์”

“นี่เจ้าคิดจริงๆเหรอว่ากับแค่เมิ่งน้อยตัวเดียวจะฉุดรั้งไม่ให้ข้าทำอะไรเจ้าได้น่ะ”

“ให้ข้าบอกเจ้าตามตรงเลยนะว่าต่อให้ข้าต้องพาเมิ่งน้อยไปด้วย ข้าก็สามารถฆ่าทุกคนในกองกำลังของเจ้าได้ด้วยมือเดียว”

“แต่ที่ข้าไม่คิดจะทำอะไรนั้นเป็นเพราะข้าไม่อยากทำให้เจ้านั้นต้องลำบากใจ อีกอย่างหนึ่งคือด้วยระดับการบ่มเพาะของพวกของเจ้านั้นไม่อาจทำอะไรข้าได้”

“ในการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์ที่ข้ามผ่านมานับร้อยนับพันปีนี้ ความเป็นตายของคนกลุ่มเล็กๆนั้นไม่ได้ส่งผลอะไรมากมายหรอกนะ”

“คนที่ข้าพามานั้นกลับถูกคนของเจ้าฆ่าตาย แต่ที่ข้าไม่ช่วยนั้นมันเป็นเพราะไอ้พวกนั้นต้องการต่อสู้กับกองกำลังของเจ้าเพียงเท่านั้น”

“ในโลกใบนี้คนที่ไม่มีความสามารถในการปกป้องตัวเองได้ ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ต้นแล้ว”

“อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนว่าการปกป้องของเจ้านั้นจะเป็นการตัดอนาคตของกองกำลังของเจ้าไปเสียมากกว่า”

“หากว่าแค่การฆ่าพวกข้าไปแค่หนึ่งหรือสองกองกำลังแล้วเป็นมนุษย์ได้ชัยไปนั้นก็ยังพอ แต่ทำไมเจ้าไม่ลองคิดดูว่าทำไมไม่ให้เหล่าระดับราชาทั้งหลายพุ่งตรงไปยังที่ต้องของกองกำลังศัตรูกันไปเลยล่ะ”

“เฉินเฉียง หากว่าเจ้ายังไม่หยุดในตอนนี้ เมื่อใดก็ตามที่พวกเราไปถึงบันไดสู่สรวงสวรรค์ เมื่อนั้นจะมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่เหลือรอด”

“เจ้าคิดจริงๆหรือว่าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว เมื่อออกไปจากเขตแดนจักรพรรดิแล้ว กองกำลังอื่นจะปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น”

“หากน้ำสะอาดเกินไป ปลาก็อยู่ไม่ได้หรอกนะ”

“เมื่อถึงเวลานั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้แต่เจ้าก็ไม่อาจทัดทาน”

“หากว่าเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นจริง เมื่อถึงเวลานั้น เหล่านักรบชั้นสูงของมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดจะรับรู้ว่าพวกของตนถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น และนั่นจะทำให้ทั้งสองร่วมมือกันและหมายสังหารเผ่าพันธุ์ของเจ้าเป็นการล้างแค้น”

“ข้าบอกได้เลยว่านั่นจะกลายเป็นหายนะของเผ่าพันธุ์ของเจ้าอย่างแท้จริง”

“เฉินเฉียง ข้าจะไม่พูดอะไรอีกต่อไป หากว่าเจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าทำอยู่นั้นถูกต้องแล้ว ก็เชิญเจ้าทำต่อไป ข้านั้นจะไม่ยุ่งกับเจ้าอีก”

หลังจากหยานเสวี่ยได้พูดจบ เธอก็ได้อุ้มเมิ่งน้อยไว้ในอ้อมแขน แล้วเดินตรงต่อไป

เมื่อมาถึงจุดนี้ เฉินเฉียงและเจิ้งยี่มองหน้ากัน พร้อมกับท่าทางที่เปลี่ยนไปมา

“องครักษ์หยาน เฉินเฉียงไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์แต่ว่าข้าใช่นะ”

“นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าเองก็จะเป็นคนฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์แทนเขา”

เมื่อหยานเสวี่ยได้ยินก็ได้มองไปยังเจิ้งยี่ที่มีท่าทางตื่นเต้นอย่างประหลาด เธอจึงได้ถามออกมา “เจิ้งยี่ เจ้าถามคำถามนี้ออกมาในฐานะมนุษย์กลายพันธุ์หรือมนุษย์กันล่ะ”

“ข้า…ข้าถามท่านในฐานะมนุษย์”

“แต่เจ้าเป็นมนุษย์กลายพันธ์ไปแล้วนะ”

“ถ้างั้นข้าถามท่านในฐานะมนุษย์กลายพันธุ์ก็ได้”

ไม่ว่ายังไงก็ตาม เจิ้งยี่นั้นได้ตั้งแง่ที่จะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว

หยานเสวี่ยที่ได้ยินก็หัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินแล้วพูดตอบ “เจ้าเป็นเพียงมนุษย์กลายพันธุ์ตัวจ้อย แต่ก็ยังสาบานว่าจะฆ่าล้างมนุษย์กลายพันธุ์อีกเนี่ยนะ ช่างน่าขันนัก”

หยานเสวี่ยได้หันกลับไปแล้วพูดออกมา

“เจิ้งยี่ ข้าเองก็เคยตั้งคำถามนี้กับราชาสวรรค์เช่นเดียวกัน”

“ไม่มีใครในโลกนี้หรอกนะ ที่เกิดมาพร้อมสถานะมนุษย์กลายพันธุ์น่ะ”

“ย้อนกลับไปเมื่อครานั้น ข้าเองก็ถูกบังคับให้กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์เฉกเช่นเดียวกับเจ้า ข้าเกลียดมนุษย์กลายพันธุ์ชนิดที่เข้ากระดูกดำ และขอพรต่อสวรรค์ว่าให้ข้าได้มีโอกาสฆ่าล้างมนุษย์กลายพันธุ์ต่อสรวงสวรรค์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”

“นี่ทำให้ข้านั้นเข้าใจว่าตัวเจ้านั้นมีความรู้สึกเช่นไรเป็นอย่างดี”

“แต่เจ้าเคยคิดรึเปล่าว่าทำไมมนุษย์กลายพันธุ์ถึงได้ปรากฏตัวอยู่บนโลกนี้ ทำไมเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ถึงเลือกที่จะต่อสู้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์มานับร้อยๆปี”

หลังจากหยานเสวี่ยตั้งคำถามนี้ นางไม่ได้ให้คำตอบกับทุกคน และยังคงเดินต่อไปข้างหน้า

“อย่างไรก็ตาม ข้านั้นสามารถบอกกับเจ้าได้ว่า หากพวกเราออกจากเขตแดนจักรพรรดินี้ไป มนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดจะสืบสวนเหตุการณ์หาตัวการอย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ว่าจะรู้หรือไม่ว่าใครทำ ทั้งสองกองกำลังก็จะไปลงที่เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ดี”

หยานเสวี่ยได้เดินล่วงหน้าไปจนเกือบลับตา ทิ้งเฉินเฉียงและเจิ้งยี่ให้นิ่งคิดอยู่เบื้องหลัง

หลังจากผ่านไปสักพัก เจิ้งยี่จึงได้พูดออกมาด้วยความมุ่งมั่น “เฉินเฉียง ข้าต้องการจากไปสักพัก เมื่อถึงเวลาไต่ขึ้นบันไดสวรรค์แล้ว พวกเราจะพบกันอีกในตอนนั้น”

“เจิ้งยี่ เจ้าคิดจะไปฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์จริงๆรึ ข้าคิดว่าที่องครักษ์หยานถึงกับพูดออกมานั้นไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลหรอกนะ”

“ถึงแม้ว่าพวกเราจะยิ่งฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์มากเท่าไหร่จะยิ่งสบายใจมากขึ้นเท่านั้น แต่หากนั่นนำพาภัยพิบัติมาสู่มวลมนุษย์ มันคงไม่เป็นการดี พวกเราคงไม่อยากจะเห็นฉากนั้นเป็นแน่ไม่ใช่รึ”

“ข้ายังไม่รู้เหมือนกัน” เจิ้งยี่พูดออกมาด้วยท่าทางเจ็บปวด “ในตอนนี้ข้าอยากจะอยู่เพียงคนเดียวเพียงเท่านั้น”

“ข้าอยากรู้ว่าทำไมความวิบัติของมนุษย์กลายพันธุ์ถึงได้กลายเป็นความอยู่รอดของมนุษย์ได้ขนาดนี้”

เฉินเฉียงไม่คิดจะหยุดเจิ้งยี่แต่อย่างใด

ไม่เพียงแต่เจิ้งยี่ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกัน

หากไม่ใช่ว่าเขาเองยังมีคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ป่านนี้เขาก็คงจะไม่ได้ออกมาจากกองกำลังเทียนเว่ย

เมื่อเห็นว่ามีเพียงเฉินเฉียงที่ตามหลังมา หยานเสวี่ยก็ไม่ได้คิดจะตั้งคำถามแต่อย่างใด เพราะว่าเธอนั้นได้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดไปหมดแล้ว

เฉินเฉียงเองนั้นย่อมไม่ถามเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ทั้งสองให้ความสนใจในการสอนเมิ่งน้อยให้เรียนรู้ในสิ่งต่างๆ

“มานี่มา เมิ่งน้อย มาหาปะป๋ามะ”

เฉินเฉียงตบมือแปะๆ มือน้อยๆของเมิ่งน้อยได้ชี้มาที่หูของตนเชิงถามว่าเรียกมันหรือไม่ ก่อนที่จะมันจะมีดวงตาที่ลุกโชนแล้วกระโดดไปใส่อ้อมแขนของเฉินเฉียง

“ฮี่ฮี่ฮี่ ดีมากเมิ่งน้อย เดี๋ยวปะป๋าคนนี้จะหาของกินดีๆให้เจ้าน้า….” หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้นำแก่นคริสตัลขนาดเท่าลูกปิงปองออกมาสองลูกจากแหวนเก็บของ แล้วยื่นมันไปจ่อปากของเมิ่งน้อย

“อ้า…..”

เมื่งน้อยได้ดมแก่นคริสตัลอยู่ทีสองทีก่อนที่จะใช้เท้าน้อยๆเตะแก่นคริสตัลในมือของเฉินเฉียงทิ้งจนกลิ้งลงไปกับพื้น

“ฮิฮิฮิ”

เมื่อได้เห็นฉากนี้ หยานเสวี่ยที่อยู่ข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เป็นตอนนี้ที่เธอได้นำเศษแก่นวิญญาณชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้วโบกมันไปมาช้าๆ “เมิ่งน้อย มาหาแม่มา แม่มีของดีๆให้กินนะ”

ด้วยการที่เมิ่งน้อยนั้นฉลาดมาก ยิ่งมีของกินมาล่อแล้วนั้น มันก็ได้กระโดดกลับไปหาหยานเสวี่ยในทันที

“แม่…เอ๊ย” นี่ขนาดแก่นคริสตัลระดับขุนพลยังไม่สนเนี่ยนะ เจ้าตัวน้อยนี่ช่างเลือกกินนัก

“เจ้าจะกลัวอะไรกัน ข้าเองต่างหากที่เป็นคนเอาแก่นวิญญาณออกมาให้มันกินนะ ข้ามีมันมากพอที่จะทำให้มันเป็นสัตว์ประหลาดระดับราชาได้เลย”

“องครักษ์หยาน ท่านพูดออกมาแล้วข้าก็ขอถามเลยก็แล้วกัน ท่านไม่กลัวราชาสวรรค์จะฆ่ามันเหรอหลังจากพามันกลับไปน่ะ”

“ท่านราชาสวรรค์นั้นไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ แถมเกาะเทียนเล่ยของพวกเรานั้น มีพวก….ช่างมันเถอะ ข้าไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องพวกนี้กับเจ้า”

“ห้ะ พวก…..อะไร” เฉินเฉียงถามออกมาในทันที

“ไม่มีอะไร” หยานเสวี่ยไม่อยากจะพูดเรื่องนี้จึงได้เปลี่ยนเรื่องไป “ยังไงก็ตาม เมิ่งน้อยนั้นสามารถอยู่กับข้าได้อย่างแน่นอน”

“ฮี่ฮี่ฮี่ องครักษ์หยานนั้นคิดแบบเดียวกับข้าเลยจริงๆ ข้าเองก็อยากจะอยู่กับเมิ่งน้อยไปตลอดกาล”

“กลับเจ้าเนี่ยนะ” หยานเสวี่ยกรอกตามองบนใส่เฉินเฉียงในทันทีแล้วพูดออกมา “เมิ่งน้อยยังไงซะก็เป็นผู้หญิง ให้อยู่กับตัวอันตรายแบบเจ้าเนี่ยนะ เมิ่งน้อย ปล่อยเขาไปกันดีกว่า พวกเราไปกันเถอะ”

“ห้ะ ข้าเนี่ยนะตัวอันตราย” เมื่อเห็นหยานเสวี่ยได้เดินจากไปด้วยความคิดที่แน่วแน่นี้ เฉินเฉียงได้แต่ส่ายหัวไปมาพลางบ่นอุบในทันที

ทั้งสองได้เดินทางต่ออีกสามวัน จนกระทั่งมาถึงทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาตรงหน้า

เมื่อมาถึง เฉินเฉียงได้ใช้กระแสจิตของตนตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ เขาพบว่าพื้นที่ตรงหน้านั้นเต็มได้วยมนุษย์ สัตว์ประหลาด และมนุษย์กลายพันธุ์? กระจายอยู่ทั่วไปในพื้นที่แห่งนี้

เมื่อเห็นท่าทางตื่นตัวของเฉินเฉียงแล้ว หยานเสวี่ยก็ได้รีบกล่าวเตือนในทันที “ เฉินเฉียง หลังจากเข้าพื้นที่ทะเลทรายนี้ไปแล้ว ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ฆ่าฟันกันอีก”

“หากไม่อย่างนั้นล่ะก็ คนที่หาเรื่องก่อนจะถูกฆ่าโดยกฎแห่งเขตแดนจักรพรรดิ ตั้งแต่ก่อเรื่องในทันที”

“โห่ นั่นมันไม่แปลกไปหน่อยรึไง หรือว่าท่านไม่คิดอย่างนั้น”

“เหอะ ก็แล้วแต่เจ้าแล้วกัน ข้าถือว่าข้าได้เตือนเจ้าแล้ว หากไม่เชื่อก็อย่ามาโทษกันทีหลัง”

หลังจากพูดจบ หยานเสวี่ยจึงได้เดินตรงไปโดยไม่คิดที่จะเหลียวกลับมามอง

นี่ทำให้เฉินเฉียงถึงกับรีบส่งข้อความหาเจิ้งยี่ จางหยวน และพวก ก่อนที่จะรีบติดตามหยานเสวี่ยไปในทันที

เขานั้นมองไม่เห็นเลยว่าอาณาเขตทะเลทรายแห่งนี้จะจบลงอยู่ที่ใด นี่ขนาดเขามีพลังจิตที่สามารถตรวจสอบได้ถึงสองพันเมตรเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาพอจะเห็นได้ก็คงจะมีเพียงกองกำลังอื่นที่ปรากฏตัวให้พบเห็นบ้างเป็นครั้งคราว

“องครักษ์หยาน อีกนานแค่ไหนถึงจะถึงบันไดสู่สวรรค์อะไรนั่นกัน”

“ใกล้แล้วน่า อีกไม่กี่กิโลเมตรก็น่าจะถึงที่หมายแล้ว”

“ข้าว่าเราบินไปจะดีกว่า ยังไงซะก็ไม่มีใครรับรู้ตัวตนของเจ้าอยู่แล้วนี่นา แถมที่นี่ยังไม่มีใครกล้าที่จะสู้กันอีก”

“เมื่อพูดจบ หยานเสวี่ยได้กางปีกของเธอขึ้นฟ้าไป เฉินเฉียงนั้นพยายามจะคว้าตัวเธอไว้แต่ก็ไม่ทันการณ์ นี่ทำให้เขานั้นทำได้เพียงบินตามเธอไปเพียงเท่านั้น”

“ดูนั่น นั่นมันพวกเรานี่นา พวกเขาบินขึ้นฟ้าไปอย่างไม่แยแสต่อสิ่งใดแบบนี้ ข้าว่าเราตามเขาไปดีกว่า”

“พี่น้องเอ๋ย เจ้าไม่กลัวว่าพวกมนุษย์จะพบเห็นแล้วโจมตีใส่เรารึไงกัน”

“กลัวอะไรกัน ท่านไม่เห็นปีกของนายท่านผู้นั้นเหรอ จากขนาดนั่นข้าบอกได้เลยว่าอย่างน้อยๆก็น่าจะอยู่ในระดับกึ่งราชา หากเราไปอยู่ใกล้กับเขาแล้วจะต้องกลัวสิ่งใด”

“หลังจากพูดจบ มนุษย์กลายพันธุ์กองหนึ่งก็ได้เร่งติดตามเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยไปบนอากาศ”

ส่วนมนุษย์ที่อยู่ไม่ไกลนัก เมื่อได้เห็นว่ามนุษย์กลายพันธุ์กองนี้ได้เผยตัวและบินขึ้นฟ้าไป นี่ทำให้หน้าตาของพวกเขาฉายแววเย็นชา

“ฮึ่ม กล้าที่จะมาเผยตัวต่อหน้าพวกเราแบบนี้ พวกมันคงไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาสินะ พี่น้อง รีบเข้าไปเข่นฆ่ามันซะ”

กองกำลังมนุษย์เกือบสามสิบคนได้เร่งโห่ร้องคำรามลั่นและพุ่งตรงไปยังกองกำลังมนุษย์กลายพันธุ์ที่กำลังจะเริ่มบินขึ้นไป

“แย่แล้ว ไอ้พวกมนุษย์เห็นเราแล้ว กัปตัน เอายังไงกันดี”

“จะให้ทำอะไรอีกล่ะ พวกมันมีแค่เกือบยี่สิบ พวกมันรนหาที่ตายชัดๆ พี่น้องทั้งหลาย เข่นฆ่ามันแสดงให้เห็นถึงความเกรียงไกรของมนุษย์กลายพันธุ์”

เมื่อได้เห็นกองกำลังสองกองกำลังมีท่าทีจะต่อสู้กัน เฉินเฉียงได้หยุดกึกกลางอากาศ และหมายที่จะเข้าไปช่วย แต่ก็ถูกหยุดไว้โดยหยานเสวี่ย

“เฉินเฉียง เจ้าไปสู้ไม่ได้ ข้าขอให้เจ้าดูอยู่เฉยๆแล้วจะรู้ว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงได้เตือนเจ้าไป”

เพียงสิ้นคำของหยานเสวี่ย ทั้งสองกองกำลังก็เกือบจะห้ำหั่นกันแล้ว

อย่างไรก็ตาม เพียงในตอนที่ทั้งสองกองกำลังชักดาบตั้งท่าเตรียมที่จะฟาดฟัน เป็นตอนนี้ที่มีบอลสายฟ้าเล็กๆลูกหนึ่ง ลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนที่จะปล่อยสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนใส่ผู้คนที่ชักอาวุธออกมาแล้ว

เพียงแค่ชั่วพริบตา ทั้งสองกองกำลังที่มีรวมๆกว่าหลายสิบ ก็ได้สลายหายไปกับสายลม เหลือทิ้งไว้แค่เพียงควันโชยและกลิ่นเนื้อย่าง

เมื่อเห็นฉากนี้ คนที่เหลือก็ไม่คิดจะชักอาวุธออกมาอีก พวกเขาตื่นตระหนกจะเหงื่อไหลราวกับเป็นสายน้ำ ก่อนที่จะมองไปยังพวกพ้องที่ยังอยู่ด้วยความหวาดกลัว

“เจ้าเห็นรึยัง เฉินเฉียง ตราบที่เจ้าเข้ามาในทะเลทรายแห่งนี้แล้วคิดจะทำผิดกฎ เจ้าจะถูกลงโทษถึงตาย ไม่มีใครหรอกที่จะหนีจากสายฟ้าลงทัณฑ์นี้ไปได้”

เฉินเฉียงถึงกับหลั่งเหงื่อออกมาในทันทีที่เห็นจนเต็มหน้าผาก เขาหันไปมองดูอากาศที่สุขสงบโดยรอบ และถามออกมาเบาๆ “องครักษ์หยาน ใครกันที่สร้างกฎแบบนี้ขึ้นในพื้นที่แห่งนี้”

“แน่นอนว่าย่อมเป็นราชาผู้ล่วงลับ ทั้งราชาเผ่าพันธุ์มนุษย์ สัตว์ประหลาด และมนุษย์กลายพันธุ์ เฉินเฉียง เจ้ารู้รึเปล่าว่าเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้มีไว้เพื่อสิ่งใด”

“ข้าพอได้ยินเรื่องนี้มาจากพวกระดับผู้การอยู่บ้างว่ามิติจักรพรรดิแห่งนี้เป็นสนามต่อสู้ของระดับราชาของทั้งสามเผ่าพันธุ์ที่ลาลับไป”

“โฮ่ นี่คือสิ่งที่พวกผู้การของเจ้าพูดถึงที่นี่กันหรอกเรอะ” หยานเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่จะหันมาหาเขาและถามออกมา

“ไม่ใช่อย่างนั้นเหรอ” เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็ตกตะลึง ยิ่งเมื่อได้เห็นท่าทางของหยานเสวี่ยแล้วจึงรีบถามออกมาในทันที

“ฮี่ฮี่ฮี่ ก็ไม่รู้สินะ ราชาสวรรค์ก็ไม่ได้บอกอะไรกับข้าตอนเข้ามาที่นี่ซะด้วยสิ”

“แต่ราชาสวรรค์เคยพูดเอาไว้ก่อนที่ข้าจะเข้ามาว่าเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้นั้นถูกสร้างขึ้นมาจากการหลอมรวมกันของร่างราชาของทั้งสามเผ่าพันธุ์หลังจากตายลงไป”

“ส่วนทะเลทรายตรงหน้าพวกเรานั้นคือจุดที่ราชาของทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นหลอมรวมโลกใบเล็กเข้าด้วยกัน”

“ส่วนบันไดสู่ทรวงสวรรค์นั้นคือทางเข้าสู่โลกที่สุดแสนจะมหัศจรรย์ที่ทั้งสามหลอมรวมเอาไว้ และสถานที่ที่มันจะนำพาไปก็คือโลกที่เกิดจากราชาทั้งสามที่เกิดขึ้นจากการหลอมรวมที่เรียกว่าโลกใบเล็ก”

“เอาจริงๆนะ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าข้านั้นเรียบเรียงคำพูดของข้าถูกรึเปล่าเพราะมันช่างคล้ายกันเหลือเกิน”

“แต่ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่บังเกิดเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ ผู้คนนับไม่ถ้วนจากทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นได้เข้ามาที่นี่ แต่ก็ยังไม่มีใครสืบพบความลับที่ยิ่งใหญ่นี้มาก่อน”

“และในทุกๆครั้งที่เขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้เริ่มเปิดออก ถึงแม้ทั้งสามกองกำลังจะเข้ามาที่นี่โดยการอ้างเหตุผลว่าเพื่อให้ได้ทรัพย์สมบัติ หรือเพื่อฝึกฝนอัจฉริยะของฝ่ายตนก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือการได้ปีนป่ายบันไดสู่สรวงสวรรค์แห่งนี้”