บทที่ 182 เหตุใดต้องหลบหน้าหมิ่นฉือ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ในถ้ำภูเขาระหว่างชายแดนรัฐปาสู่มีหญ้าขึ้นสูงและนกกระจิบโบยบิน เสียงควบม้าที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เหล่าวิหคตกใจ

มีสามคนขี่ม้าทะลุผ่านถ้ำภูเขา ครั้นใกล้ถึงปากภูเขาก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง

“ท่านยังทนไหวหรือไม่?” ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดสีควันเทาเอ่ยขึ้น

บัณฑิตหนุ่มที่นำหน้าใบหน้าซีดขาว บัดนี้ด้านหลังมีรอยเลือดซึมออกมาเป็นวงกว้างแล้ว อย่างไรก็ดีอารมณ์ของเขาย่ำแย่กว่าบาดแผลมากอย่างเห็นได้ชัด “ไม่เป็นไร เดินทางต่อ”

“ที่นี่ปลอดภัยแล้ว ท่านพักผ่อนเสียหน่อยเถิด” ชายหนุ่มกล่าว

“เขาอยากไปก็ให้เขาไป! พี่เกลี้ยกล่อมเขาได้หรือ!” เด็กหญิงรูปร่างผอมบางคนหนึ่งกล่าวเย็นชา

“จื่อชวน!” ชายหนุ่มเสียงด้วยน้ำเสียงมืดมน “เจ้าสงบสติหน่อยจะดีกว่า”

“ข้าไม่เคยใจเย็นเท่านี้มาก่อนเลย! อย่าบีบให้ข้าฆ่าคนไร้ประโยชน์คนนี้เสีย!” จื่อชวนบังคับน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาให้กลับเข้าไป เบ้าตาและภายในดวงตาล้วนแดงก่ำ รูปลักษณ์ที่บอบบางของนางดูน่ากลัวเล็กน้อยในเวลานี้

แม้ว่านางจะเป็นเพียงมือสังหารคนหนึ่ง สิ่งที่ไม่คุ้มค่าเงินที่สุดก็คือชีวิตนี้ ทว่าเนื่องจากนางเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ได้รับการฝึกฝนในกลุ่มนี้ ดังนั้นคนอื่นส่วนใหญ่ก็จะยอมนางไม่มากก็น้อย บัดนี้ต้องเห็นพวกเขาตายไปต่อหน้าต่อตา จะไม่ให้รู้สึกอะไรได้เยี่ยงไร?

จื่อชวนไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ สู่อ๋องจึงต้องการสังหารหมิ่นฉือ ทว่าคิดไปคิดมาก็รู้ว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับซ่งหวยจินคนนั้นอย่างแน่นอน! หากหมิ่นฉือสามารถเอาชีวิตของซ่งหวยจินได้เร็วกว่านี้หน่อย นางจะสูญเสียชีวิตของพี่น้องมากมายโดยเปล่าประโยชน์ได้เยี่ยงไร! หากต้องตายเพราะผลประโยชน์แห่งรัฐเว่ยก็ช่างประไร ทว่ากลับเป็นเพราะปกป้องหมิ่นฉือไร้น้ำยาผู้นี้!

“ฮ่า!” หมิ่นฉือไม่โกรธทว่ากลับหัวเราะ เขาได้เห็นสิ่งที่โหดร้ายไม่น้อยในขณะที่เดินอยู่ในรัฐต่างๆ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เฉียดความตายเพียงนี้ และเป็นครั้งแรกที่ได้รับความน่าอับอายเพียงนี้ เลือดที่ไหลอาบกำลังบอกเขาว่าการเป็นกุนซือ หากพลาดพลั้งไปครั้งหนึ่งก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต

ราคาของมือสังหารห้าสิบกว่าชีวิตทำให้เขาเข้าใจว่า ที่ซ่งชูอีบอกว่าต้องการเดินหมากกับเขาโดยใช้ใต้หล้าเป็นกระดานหมากนั้น เดิมทีมิใช่เป็นเพียงการกล่าวลอยๆ หากรุกรานเพียงน้อยนิดนางก็จะลงมือฆ่าทันที

หมิ่นฉือเอ๋ยหมิ่นฉือ! เจ้ายังเรียกตัวเองว่าเป็นกุนซืออีกหรือ ถึงได้ลืมไปแล้วว่าความจริงใจและความหลอกลวงของกุนซือนั้นยากแยกแยะ!

สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดเอื่อย หมิ่นฉือรู้สึกว่าแผ่นหลังเจ็บปวดราวกับกระดูกผุกร่อน เขาปล่อยให้มันเจ็บอย่างนั้น มีเพียงความเจ็บปวดรุนแรงเท่านั้นที่จะสลักความพ่ายแพ้คราวนี้เข้ากระดูกได้ เขาต้องขอบคุณซ่งชูอีที่ให้บทเรียนอันเข้มข้นที่สุดแก่เขา

อย่างไรก็ดีสิ่งที่หมิ่นฉือไม่เข้าใจก็คือ เขาขัดใจนางสองครั้ง ซ่งชูอีก็เกือบที่จะทำให้เขาตายได้อย่างง่ายดายทั้งสองครั้ง และทั้งสองครั้งนี้ล้วนมีโอกาสที่จะคร่าชีวิตเขาได้ ทว่าเหตุใดราวกับว่าซ่งชูอีปล่อยเขาไปในท้ายที่สุดทุกครั้ง?

เด็กหนุ่มผู้นั้น…เมื่อหมิ่นฉือนึกถึงลักษณะเกียจคร้านและสบายๆ ของซ่งชูอีแล้วก็มักจะรู้สึกว่าบางแห่งในหัวใจเต้นรัว ราวกับว่ารู้จักนางที่เป็นเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว บางคราวนางขยับตัวเพียงเล็กน้อย เขาก็รู้ว่านางอยากจะพูดอะไร มันยากที่จะระงับความรู้สึกเช่นนี้ไว้ได้

ในเมื่อไม่สามารถระงับมันได้ เช่นนั้นก็ใช้ประโยชน์จากมันเถิด แม้ว่าจะบาดเจ็บแปดร้อยครั้งจากการทำร้ายศัตรูพันครั้ง เขาก็จะต้องเป็นผู้ชนะคนนั้นให้ได้

“อิ่นชวน ไปเถิด” เสียงของหมิ่นฉือล่องลอยเล็กน้อย ทว่ากลับทำให้รู้สึกเย็นเยียบอย่างประหลาด

อิ่นชวนนิ่งไปครู่หนึ่งและมิได้ขยับอีก เขาเหลือบมองจื่อชวนครู่หนึ่ง หวดแส้แล้วตามเขาเข้าไปในเส้นทางป่า

จื่อชวนยกแขนเสื้อขึ้นมาซับๆ ดวงตาอย่างไม่พอใจ กัดฟันขี่ม้าตามหลังไป

หลังจากผ่านไปราวครึ่งถ้วยน้ำชา มีสองคนขี่ม้ามาจากเนินเขาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือช้าๆ

“เหตุใดท่านต้องหลบซ่อนพวกเขาด้วย?” จี้ฮ่วนมองไปยังทิศทางที่ทั้งสามคนจากไป

ซ่งชูอีเข้าใจหัวอกคนอื่นเป็นอย่างยิ่ง “ข้าเกรงว่าพวกเขาสะบัมสะบอมเพียงนี้ เห็นข้าแล้วจะรู้จักอึดอัด”

จี้ฮ่วนสีหน้าไม่เชื่อ “ตามคำพูดของพี่ใหญ่ข้าแล้ว ท่านมิใช่คนที่จิตใจดีเช่นนี้แน่”

ซ่งชูอีค้อนเขาพร้อมเอ่ยถาม “เขาได้บอกเจ้าหรือไม่ว่าการเป็นคนเถรตรงเกินไปจะลงเอยไม่ดี?”

“บอกแล้ว ทว่าท่านก็รู้ว่าข้าเป็นคนตรงๆ มักจะอดกล่าวความจริงมิได้” จี้ฮ่วนหัวเราะเอ่ย

“อืม” ซ่งชูอีขยับคอที่แน่นตึงและพูดด้วยสีหน้าสดใส “ต่อไปหากมีโอกาส ข้าจะคิดหาวิธีที่ทำให้เจ้าทนได้”

จี้ฮ่วนขนลุก โบกมือเป็นพัลวันเอ่ยว่า “จะกล้ารบกวนท่านเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ปกติพี่ใหญ่สั่งสอนข้าก็เพียงพอแล้ว”

ทั้งสองคนพูดพลางลงมาจากเนินเขา จี๋อวี่รีบขับรถม้าออกมากจากป่าเพื่อมาสมทบกับพวกเขา

“ผู้นั้นก็คือหมิ่นจื๋อห่วนหรือ?” จี๋อวี่ถาม การที่เขาทนทุกข์ในรัฐเว่ยก็เป็นเพราะหมิ่นฉือ จะไม่ให้สนใจได้เยี่ยงไร?

“อืม” ซ่งชูอีตอบเสียงหนึ่ง

เงียบงันครู่หนึ่ง ซ่งชูอีถามขึ้น “เจ้าไม่โทษที่ข้าปล่อยเขาไปหรือ?”

“ท่านจะต้องมีเหตุผลที่ตัดสินใจทำเยี่ยงนี้ ข้าเดาว่าเพราะต้องการวางกลอุบายต่อรัฐเว่ยกระมัง!” จี๋อวี่เอ่ยเรียบๆ

“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ม้าตกใจจากเสียงระเบิดหัวเราะฉับพลันของซ่งชูอี นางตบๆ คอของมันแผ่วเบา ถอนหายใจเอ่ย “อวี่ เจ้ารู้จักข้าดี!”

ซ่งชูอีรู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็วกงซุนเหยี่ยนจะต้องกลับไปที่รัฐเว่ย ในเวลานั้นรัฐฉินก็จะกลายเป็นหนามยอกอกในสายตาของหกรัฐแห่งจงหยวน ครั้นกงซุนเหยี่ยนถอยออกไปจากรัฐฉินอย่างเปิดเผยก็ไม่อาจลงมือฆ่าเขาได้ และตอนนี้เขาเหมือนกับดาบแหลมคมที่อิ๋งซื่อสามารถใช้ได้อย่างถนัดมือทว่าไม่อาจแตะต้องเขา ฉะนั้นจึงต้องขุดหลุมนี้ไว้ล่วงหน้า

เหมือนดังที่จางอี๋กล่าวว่า “ซีโส่วมีความเฉียบคม ไม่ก้มหัวให้ผู้อื่น” ในทางตรงกันข้าม หมิ่นฉือนั้นเชื่องช้าเหมือนกับคำว่า “ห่วน” ในชื่อของเขา รอจนกระทั่งเขาผ่านอุปสรรคทั้งหมดแล้ว ความเฉียบคมของตนลดลง แล้วทำให้เขาตายโดยไม่รู้ตัว ทว่าสิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือต่างคนต่างมีหลักการอิสระเป็นของตัวเอง และเป็นคนหยิ่งผยองมาก

สองคนนี้ไม่อาจเข้ากันได้อย่างแน่นอน ซ่งชูอีตั้งตาคอยเป็นอย่างยิ่งว่าการปะทะกันจะน่าตื่นเต้นเพียงใด

สำหรับเขาและจางอี๋นั้น บุคลิกของทั้งสองไม่ชัดเจนมากนัก อีกทั้งเป้าหมายก็เกือบจะเหมือนกัน ความขัดแย้งเพียงอย่างเดียวก็คือ “ผลประโยชน์” เท่านั้น

ใต้หล้าอันวุ่นวาย ทุกคนล้วนทำเพื่อผลประโยชน์ เหล่ากุนซือไม่เคยปกปิดความปรารถนาที่ตนเองมีต่อผลประโยชน์เลย ต้าเหลียงเจ้าแห่งรัฐฉินมีเพียงผู้เดียว ตำแหน่งมหาเสนาบดีที่จะถูกแต่งตั้งในอนาคตก็มีเพียงผู้เดียว ซ่งชูอีคิดว่าตนก็มิใช่ผู้บริสุทธิ์ที่มองชื่อเสียงและผลประโยชน์เป็นเพียงธุลีดิน ทว่าอย่างน้อยพวกเขาก็ไม่เหมือนกงซุนเหยี่ยนและหมิ่นฉือที่มีความขัดแย้งพื้นฐานที่ไม่อาจเข้ากันได้

แม้จะเป็นเช่นนี้แต่ก็สามารถหาจุดสมดุลได้เสมอ ซ่งชูอีไม่รังเกียจที่จะถอยออกไปหนึ่งก้าว เพราะว่าทุกคนล้วนเป็นฝ่ายตรงข้ามทั้งสิ้น ทว่าการมีเพื่อนที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ต่างหากที่หาได้ยาก

จี้ฮ่วนเห็นว่ามุมปากของซ่งชูอียกยิ้มเล็กน้อย จู่ๆ ก็รู้สึกว่าลมภูเขาเย็นลง อดที่จะรบเร้าจี๋อวี่ให้เร่งเดินทางมิได้

เดินทางมาหนึ่งวันก็เข้าใกล้สถานที่ที่มีมนุษย์อาศัยแล้ว

รูปแบบประชากรของรัฐปาและรัฐสู่นั้นมีส่วนคล้ายคลึงกัน ทว่าแท่นดินบูชายัญจอมขมังเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่และเขี้ยวสัมฤทธิ์นานาชนิดที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปนั้นยิ่งเพิ่มความลึกลับให้กับรัฐแห่งนี้ เมื่อเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อยก็มองเห็นโลงศพที่แขวนอยู่บนหน้าผาตั้งแต่หน้าผาตรงปากทางเข้าของหมู่บ้านเล็กๆ

เมื่อเทียบกับความอิสระเสรีของรัฐสู่แล้ว บรรยากาศโดยรวมของรัฐปาดูเคร่งขรึม

ที่นี่ยังคงเป็นรัฐที่เหล่าจอมขมังเวทย์ไม่สามารถรุกรานได้

พวกเขาเงียบไปโดยธรรมชาติ เดินไปอย่างเงียบๆ ใต้หน้าผาของโลงศพที่แขวนอยู่ เสียงหัวเราะของเด็กสาวทำลายความเงียบในระยะไกล

คิ้วของจี้ฮ่วนขมวดแน่น นับตั้งแต่ตอนที่ถูกเด็กสาวชาวปาลากเข้าป่าอย่างพิศวงคราวที่แล้ว บัดนี้เมื่อเขาได้ยินเสียงหัวเราะที่เป็นเอกลักษณ์ของเด็กหญิงชาวปาก็รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว