ภาคที่ 2 บทที่ 218 เตรียมตัวแต่งงาน

มู่หนานจือ

“ท่าน…ท่านว่าอะไรนะ?” เจียงเซี่ยนสงสัยว่าตนเองฟังผิดไปแล้ว นางลุกขึ้นมาทันที “ให้ข้าอยู่ซานซี? แต่งงานกับหลี่เชียน?”

“ใช่!” ฮูหยินฝางเห็นเจียงเซี่ยนตกใจมาก ก็ลอบถอนหายใจ และดึงเจียงเซี่ยนนั่งลงอีกครั้ง พลางถือโอกาสทัดผมที่ตกลงมาให้นางด้วย และเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้ายังเด็กขนาดนี้ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย พวกเราจะทำใจให้เจ้าแต่งงานได้อย่างไร? ทว่าคำพูดของไทฮองไทเฮาก็มีเหตุผลเช่นกัน ฝ่าบาทไม่ใช่ฝ่าบาทอย่างแต่ก่อนตั้งนานแล้ว ตอนนี้เขามีอะไรไม่ปรึกษาวังจี่เต้าก็ปรึกษาสยงจวิ้นหรง แต่วังจี่เต้าจิตใจคับแคบ และเห็นแก่ตัวมาก คิดแต่ว่าจะเข้าสำนักราชเลขาธิการและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัครมหาเสนาบดีอย่างไร ควบคุมราชสำนักอย่างไร เขาจะต้องใช้เรื่องที่ตระกูลเจียงกับตระกูลหลี่เกี่ยวดองกันทำให้ฝ่าบาทรู้สึกระแวงอย่างแน่นอน ฝ่าบาทอยากแต่งตั้งเจ้าเป็นองค์หญิง ภายนอกดูเหมือนหวังดีกับเจ้า แต่หากคิดให้ดี ถ้าเจ้าถูกรั้งไว้ในเมืองหลวง ทว่าหลี่เชียนกลับถูกราชโองการฉบับหนึ่งของฝ่าบาทส่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ถึงเวลานั้นพวกเราก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะร้องไห้แล้ว! และไทฮองไทเฮาคิดว่าหากเจ้าอยู่เมืองหลวง เข้าวังบ่อยก็ไม่ดีเช่นกัน…”

วังหลังเป็นสถานที่ที่วุ่นวายที่สุดในใต้หล้า

ตอนนั้นฮ่องเต้อู่จงก็ก่อเรื่องกับลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นน้องสาวของตนเอง

เพียงแต่เพราะเจียงเซี่ยนยังเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน ฮูหยินฝางไม่อาจเอ่ยเรื่องนี้โดยตรงได้ จึงเอ่ยอย่างอ้อมค้อมว่า “สามีภรรยาต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดเวลาถึงจะรักกันมากขึ้นเรื่อยๆ และมีลูกหลานมากมายได้ ไทฮองไทเฮาตรัสแล้วว่า ชีวิตนี้นางไม่ขออะไรอีกแล้ว หวังเพียงว่าเจ้าแต่งงานแล้วจะรักใคร่ปรองดองกันกับสามี”

แต่จะให้นางแต่งงานแบบนี้ก็ไม่ได้เหมือนกันนี่นา?!

วันนั้นนางรีบไปแบบนั้น ก็คิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าตนเองจะไปแล้วไม่กลับมา นางยังไม่ได้บอกลาไทฮองไทเฮาดีๆ ฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าไทฮองไทเฮาอาจจะสิ้นพระชนม์ หากตอนนั้นนางไม่ได้ดูแลอยู่ข้างกายไทฮองไทเฮา ก็จะไม่ได้เห็นท่านยายที่รักนางมากอีกต่อไปแล้วไม่ใช่หรือ? นางจะไปโดยไม่สนใจ และทิ้งเรื่องวุ่นวายทั้งหมดให้ไทฮองไทเฮาได้อย่างไร?

“ไม่ได้! ไม่ได้!” น้ำตาของเจียงเซี่ยนใกล้จะร่วงลงมาแล้ว “อย่างไรข้าก็ต้องกลับเมืองหลวงไปบอกลาไทฮองไทเฮาสักครั้ง…”

“เด็กโง่!” ฮูหยินฝางได้ยินก็ตวาดนางเสียงเบา และเอ่ยว่า “ช่วงนี้ลุงของเจ้ามักจะชมว่าเจ้าฉลาด แล้วทำไมเจ้าถึงโง่ในช่วงเวลาสำคัญ! หากเจ้าเป็นท่านหญิง หลี่เชียนยังสามารถนำทัพทำสงคราม และแสวงหาความสูงต่ำในราชสำนักได้ แต่หากเขากลายเป็นราชบุตรเขย ก็ห้ามข้องเกี่ยวกับราชสำนักแล้ว! เจ้าลองคิดดูว่า เกียรติยศอันจอมปลอมขององค์หญิงหรือสามีที่ปกป้องเจ้าได้สำคัญมากกว่ากัน? ฝ่าบาททำเช่นนี้ ก็คงคิดจะตัดผู้ช่วยที่มีความสามารถของเฉาไทเฮาเช่นกัน พอข่าวแพร่งพรายออกไป เฉาไทเฮาจะต้องคัดค้านอย่างแน่นอน หากเจ้ากลับเมืองหลวง ไม่แน่เจ้าอาจจะไม่ได้ยศองค์หญิง และการแต่งงานนี้ก็อาจจะถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดเช่นกัน…”

พอเอ่ยถึงตรงนี้ นางขอบตาแดงเล็กน้อย

“ข้ากับลุงของเจ้าต่างคิดว่าถึงเจ้าจะไม่เป็นฮองเฮา ก็จะแต่งงานกับลูกหลานตระกูลขุนนางสักคนอยู่ดี จึงไม่ได้สอนเรื่องคุมงานบ้านและอาหารการกินในครอบครัวให้เจ้าแม้แต่เรื่องเดียว พอข้าได้ยินว่าลุงของเจ้าปรึกษากับไทฮองไทเฮาเรียบร้อยแล้วว่าให้เจ้าแต่งงานที่ต้าถง ในใจข้าก็เหมือนถูกเข็มตำ ตระกูลหลี่ไม่มีรากฐาน เกรงว่าหญิงรับใช้เหล่านั้นจะไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะดูแลให้คนดื่มน้ำอย่างไรด้วยซ้ำ แล้วเจ้าก็เป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เจ้าแต่งไปแล้วจะทำอย่างไรเล่า?”

เจียงเซี่ยนนึกถึงไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อ

นางรู้ว่าตอนที่ยังไม่ได้ข่าวนาง ทุกคนต่างก็จะไม่รังแกพวกนาง ทว่าเวลานี้นางต้องออกจากวังแล้ว ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อเป็นนางใน หากไม่มีพระคุณที่ฮ่องเต้มอบให้ พวกนางก็ไม่มีทางออกจากวังได้อย่างเด็ดขาด จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องรับใช้นางเหมือนในชาติก่อนแล้ว

เจียงเซี่ยนถามถึงสถานการณ์ของทั้งสองคน

ฮูหยินฝางก็ไม่รู้เลย “ทุกคนต่างรีบแต่จะหาเจ้า ใครจะรู้ว่าพวกนางถูกขังไว้ที่ไหน? ในเมื่อเจ้าถามขึ้นมา ข้าก็จะให้คนไปสืบเดี๋ยวนี้ แต่หากเจ้ายังอยากใช้พวกนาง ข้าก็จะบอกลุงของเจ้า ฉวยโอกาสนี้แจ้งว่าป่วยตาย และแอบส่งพวกนางมาอยู่ข้างกายเจ้า ฐานะของพวกนางมีปัญหา ต่อให้อยากไป ก็ต้องกังวลว่าจะถูกทางการจับและมีแต่ตายเท่านั้น มากกว่ากุเรื่องสัญญาขายตัวเสียอีก…” นางยิ่งพูดก็ยิ่งคิดว่าเรื่องนี้ดี “ข้าจะเขียนจดหมายเดี๋ยวนี้ และให้อาฉีของเจ้าคิดหาทางใช้ม้าเร็วของกองทัพส่งไปยังเมืองหลวงอย่างเร็วที่สุด ครั้งนี้ข้ามาก็เอาของมายี่สิบกว่าคันไม่ใช่หรือ? ทั้งหมดเป็นสินเดิมให้เจ้า และเพราะกลัวว่าจะทำให้ถูกดักปล้นระหว่างทาง จึงยังมีของบางอย่างที่ไม่กล้าเอามา ส่วนหนึ่งเก็บไว้ในที่ดินที่ลุงของเจ้าเตรียมไว้ให้ อีกส่วนเก็บไว้ที่หมู่บ้านน้ำพุร้อนที่ภูเขาเสี่ยวทังของเจ้า ส่วนพวกของที่ไทฮองไทเฮาพระราชทานให้นั้น เมิ่งฟางหลิงจะช่วยส่งมาให้ จะได้ให้เมิ่งฟางหลิงช่วยพาคนมาให้เจ้าด้วย”

เจียงเซี่ยนอึ้งไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “แม่นมเมิ่งก็มาด้วย?”

“แน่นอน!” ฮูหยินฝางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มิเช่นนั้นไทฮองไทเฮาจะวางพระทัยได้อย่างไร! หากไม่ใช่เพราะกฎของวัง ไทฮองไทเฮาก็เกือบจะส่งไทฮองไท่เฟยมาแล้ว”

เจียงเซี่ยนเงียบ

ฮูหยินฝางก็เอ่ยว่า “เอาล่ะ! เจ้าก็อย่ากังวลเลย สิ่งที่เจ้าคิดถึง…ลุงใหญ่ของเจ้ากับไทฮองไทเฮาต่างก็คิดถึงแล้ว สิ่งที่เจ้าคิดไม่ถึง…ลุงใหญ่ของเจ้ากับไทฮองไทเฮาก็คิดถึงแล้วเช่นกัน เจ้าก็รอเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวอย่างสบายใจเถอะ ตอนที่เมิ่งฟางหลิงมา อาจจะเอาวันมงคลสองสามวันที่สำนักหอดูดาวหลวงคำนวณออกมามาด้วย ถึงเวลานั้นพวกเราก็เลือกสักวันหนึ่งในนั้นที่เจ้าคิดว่าดีก็พอแล้ว…”

หลังจากนั้นเจียงเซี่ยนก็ไม่รู้ว่าตนเองกลับมายังห้องนอนได้อย่างไร

จำได้แค่ว่าไป๋ซู่สวมเสื้อคลุมยาวปักลายใบแปะก๊วยสีเขียวขจีนั่งทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ใต้โคมไฟ พลางรอนางกลับมา

“เจ้ารู้จุดประสงค์ที่ท่านป้ามาแล้ว!” เจียงเซี่ยนนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ตรงข้ามไป๋ซู่ และถามอีกฝ่าย

ไป๋ซู่พยักหน้า สายตาที่มองนางเต็มไปด้วยความกังวล และเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ายังคิดว่าข้าจะแต่งงานก่อนเจ้า…ข้าแก่กว่าเจ้าสิบวันนะ?”

นางรู้สึกเศร้าเล็กน้อย

เจียงเซี่ยนเข้าใจความรู้สึกของนางได้

ก็เหมือนตอนนั้นที่นางส่งไป๋ซู่ออกเรือน กังวลว่าไป๋ซู่จะใช้ชีวิตลำบาก กังวลว่าไป๋ซู่จะเจอช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายในการคลอดลูก กังวลว่าไป๋ซู่จะรับหน้าที่ชายาซื่อจื่อจิ้นอันโหวได้หรือไม่…

“โธ่เอ๋ย!” เจียงเซี่ยนไม่อยากเศร้ากับไป๋ซู่ จึงยิ้มและเอ่ยหยอกเล่นว่า “เจ้าแก่กว่าข้า แต่กลับออกเรือนช้ากว่าข้า เจ้าต้องบอกเฉาเซวียนเป็นนัยว่าให้เขารีบเลือกวันหน่อยดีหรือไม่ เท่านี้เจ้าก็ได้แต่งงานเร็วหน่อยแล้ว!”

“ทำไมตอนนี้เจ้าถึงทำเป็นเล่นอยู่เรื่อยเหมือนเด็ก!” ไป๋ซู่อายจนหน้าแดงก่ำทั้งหน้า ความผิดหวังและความเศร้าที่เพิ่งจะผุดขึ้นมาในใจเพียงน้อยนิดมลายหายไปทันที นางอดที่จะหยิกแก้มของเจียงเซี่ยนไม่ได้

เจียงเซี่ยนหันตัว แล้วยิ้มพลางลุกขึ้นวิ่งไปข้างๆ

ไป๋ซู่อดที่จะหัวเราะไม่ได้ “เจ้ายังอยากให้ข้าไล่ตามเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ?”

สองพี่น้องหัวเราะอย่างมีความสุขและหยอกเล่นกันอยู่นานมาก จนได้ยินเสียงกลองยามสาม ถึงรู้สึกตัวว่าดึกแล้ว จึงนอนเคียงข้างกันบนเตียง

บางทีอาจจะเพราะรีบเดินทางติดต่อกันหลายวันจึงเหนื่อยมาก ไป๋ซู่นอนลงก็หลับไปทันที ขณะที่เจียงเซี่ยนหลับตาแล้วอย่างไรก็นอนไม่หลับ

นางจะแต่งงานกับหลี่เชียนแบบนี้อย่างนั้นหรือ?

นางนึกถึงวันนั้นที่ห้องทรงอักษร เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเรียบร้อยและเล่าเรื่องวิถีชีวิตทางตะวันตกเฉียงเหนือให้นางฟัง ไป่เจี๋ยป่วย จึงไม่ได้รับใช้ข้างกายนาง ฉิงเค่อกำลังช่วยตรวจสอบรางวัลสำหรับเทศกาลบ๊ะจ่างของวังหลัง เมิ่งฟางหลิงได้รับคำสั่งให้ไปเอาฎีกาที่ซือหลี่เจียนรายงานมาเมื่อหลายวันก่อนจากเขา ในตำหนักข้างที่ใหญ่ขนาดนี้จึงมีเพียงขันทีสองคนที่กำลังดูแลเตาไฟใต้ตำหนักรับใช้ข้างกาย

จู่ๆ เขาก็หยุดพูด และมองนางด้วยนัยน์ตาสดใส พลางยิ้มและเอ่ยว่า “หากไทเฮารู้สึกสนใจ ก็ตามข้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือดีกว่าเป็นอย่างไร?”

นางอึ้งไป

ทันใดนั้นเขาก็เดินเข้ามาตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว และมองนางด้วยสายตาแน่วแน่ หน้าตาสงบนิ่ง สายตาลุ่มลึกและมั่นคง แล้วกระซิบข้างหูนางอย่างซื่อสัตย์ด้วยเสียงทุ้มต่ำเหมือนหูฉินว่า “เจ้าไปกับข้าเสียเลยดีกว่า…”

——————————–