เมื่อมาถึงยังโรงอัปลักษณ์อีกครั้ง ก็เป็นพนักงานเมื่อคราวก่อนผู้นั้นมาต้อนรับเธอพอดี
“ท่านบัณฑิต ขออนุญาตถามว่ามีสิ่งใดพอจะให้ข้าช่วยได้หรือไม่ขอรับ” พนักงานมิอาจสัมผัสพลังยุทธ์ของซือหม่าโยวเย่ว์ได้ แต่สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายที่เธอแผ่ออกมานั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง จึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเขาเป็นเช่นนี้ มองตัวตนของเธอไม่ออกเลย ก็มิได้เอ่ยวาจา หากแต่ให้หมัวซาที่อยู่ในสร้อยข้อมือเป็นผู้พูดแทน
“ข้ามาขายของ” หมัวซาพูด
“มาขายของธรรมดา หรือมาเข้าร่วมงานประมูลขอรับ”
“งานประมูลน่ะ”
“เช่นนั้นโปรดขึ้นมาข้างบนกับข้า งานประมูลของพวกเราอยู่ที่ชั้นสามขอรับ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นไปชั้นสามกับพนักงาน เมื่อถามชัดเจนแล้วว่าเป็นการขายยาวิเศษจึงไปเชิญปรมาจารย์หลีออกมา
“ไม่ทราบว่าท่านบัณฑิตอยากขายยาวิเศษอะไรหรือ” ปรมาจารย์หลีลอบสังเกตอยู่ครู่หนึ่งก็ยังเดาไม่ออกว่าที่แท้แล้วเธอเป็นคนของขุมอำนาจใด
“ที่นี่ไม่เหมาะสมแก่การพูดคุย เปลี่ยนสถานที่ดีกว่า” หมัวซาพูด
ปรมาจารย์หลีเข้าใจในทันที รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องมีของดีอยู่แน่ จึงเอ่ยว่า “เชิญไปที่ห้องรับรองแขกพิเศษกับข้าเถิด”
ปรมาจารย์หลีพาเธอขึ้นไปที่ชั้นสี่ ชั้นสี่นั้นโล่งกว้างเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงแค่ห้องไม่กี่ห้อง ซึ่งการตกแต่งประดับประดาของทุกห้องนั้นให้บรรยากาศหรูหราชั้นสูง นอกจากนี้ยังกักเก็บเสียงได้ดีอีกด้วย
สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามาให้ ซือหม่าโยวเย่ว์ดื่มไปอึกหนึ่ง น้ำชานี้รสชาติดีกว่าที่ดื่มเมื่อคราวก่อนเสียอีก
“ท่านอยากนำยาวิเศษชนิดใดมาประมูลหรือ” ปรมาจารย์หลีถามอีกครั้ง
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “ยาวิเศษนี้จะต้องกลายเป็นสิ่งของชิ้นเอกในงานประมูลคราวนี้ของพวกท่านอย่างแน่นอน”
ผู้จัดการหลีหยิบขวดหยกขึ้นมาอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย หรือว่ายาวิเศษนี่จะชวนให้คนตกตะลึงยิ่งกว่ายาวิเศษขั้นหกนั่นอีกเล่า
ยาวิเศษสีทองสี่เม็ดมิได้มีตรงไหนน่าอัศจรรย์เลย ถึงขนาดที่ต้องเข้าไปใกล้ๆ จึงจะได้กลิ่นยา
ถึงแม้ว่าผู้จัดการหลีจะเป็นปรมาจารย์ยาวิเศษขั้นห้า แต่ก็ไม่เคยเห็นยาวิเศษร้อยโคจรมาก่อน จึงถามอย่างสงสัยว่า “นี่คือยาวิเศษอะไรหรือ”
“ยาวิเศษร้อยโคจร” หมัวซาพูด “ว่าอย่างไรเล่า”
ปรมาจารย์หลีมือไม้สั่นจนแทบจะทำยาวิเศษร่วงลงพื้น
“ยะ…ยาวิเศษร้อยโคจรอย่างนั้นหรือ!”
ไม่เพียงแต่ปรมาจารย์หลีเท่านั้น แม้กระทั่งสาวใช้ที่ติดตามมาด้วยก็ตะลึงงันไปเสียแล้ว
ขอเพียงแค่เป็นนักหลอมยา พูดได้เลยว่าไม่มีใครไม่รู้จักยาวิเศษร้อยโคจร แต่ตำรับยาพื้นบ้านนี้ได้สูญหายไปจากดินแดนอี้หลินตั้งนานแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่ามียาวิเศษชนิดนี้อยู่ แต่กลับได้แต่ทอดถอนใจกับชื่อนี้เท่านั้น
จู่ๆ ตอนนี้มาได้ยินชื่อยาวิเศษร้อยโคจรอย่างกะทันหัน จึงแสดงท่าทีตกใจออกมาอย่างไม่ต้องอธิบายเป็นคำพูด
“นี่คือยาวิเศษร้อยโคจรจริงๆ หรือ” ปรมาจารย์หลีรู้สึกราวกับว่ายาวิเศษในมือตนหนักพันกิโลกรัม กดทับเสียจนเขาหายใจไม่ออกอยู่บ้าง
“พวกท่านน่าจะยังมีนักประเมินราคาขั้นสูงกว่านี้อยู่กระมัง” หมัวซาพูด
ปรมาจารย์หลีจึงได้สติกลับคืนมาแล้วพูดว่า “เด็กๆ ไปเชิญท่านอาจารย์มาที!”
ถ้าหากนี่คือยาวิเศษร้อยโคจรจริงๆ เช่นนั้นยาวิเศษขั้นหกที่เป็นของชิ้นเอกในงานประมูลคราวนี้คงต้องหลีกทางให้เสียแล้ว
เพียงไม่นาน นักหลอมยาสูงวัยคนหนึ่งก็กระวีกระวาดเข้ามายังห้องของพวกซือหม่าโยวเย่ว์ พอเข้ามาถึงก็ถามขึ้นทันที “ยาวิเศษร้อยโคจรอยู่ที่ไหนหรือ”
ปรมาจารย์หลีรีบส่งขวดหยกให้ ชายชราผู้นั้นรับมาแล้วจึงเทยาวิเศษข้างในออกมา
“ใช่ ใช่ คือสิ่งนี้นี่แหละ!” ชายชรามองยาวิเศษในมืออย่างตื่นเต้น น้ำตาชราคลอเบ้า “คิดไม่ถึงว่าข้าจะได้เห็นยาวิเศษชนิดนี้อีกครั้งตอนยังมีชีวิตอยู่ ไม่เสียที ไม่เสียทีเลยจริงๆ!”
“ท่านอาจารย์ นี่คือยาวิเศษร้อยโคจรจริงๆ หรือขอรับ” ปรมาจารย์หลีถาม
“นี่แหละยาวิเศษร้อยโคจร” ชายชราพูดอย่างมั่นใจ “ตอนนั้นข้าโชคดีเคยได้เห็นอยู่ครั้งหนึ่ง ชั่วชีวิตนี้ข้ามิอาจลืมเลือนได้ แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้ตำรับยาพื้นบ้านมาครอง”
“ตำรับยาพื้นบ้านมิได้หายสาบสูญไปแล้วหรือขอรับ”
“หายสาบสูญไปจากดินแดนอี้หลินแล้ว แต่ยังมีอยู่ที่ดินแดนแห่งอื่น” ชายชราพูด “ขออนุญาตถามว่าท่านเป็นผู้หลอมยานี้ขึ้นมาหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้แล้วพูดว่า “เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับการประมูลคราวนี้กระมัง”
“ไม่เกี่ยวข้องหรอก” ชายชราเก็บงำสีหน้าตื่นเต้นพลางเก็บยาวิเศษกลับเข้าไปในขวดหยกแล้วพูดว่า “นี่เป็นเพียงแค่ความใคร่รู้ในใจของข้าเท่านั้นเอง หลังจากที่ข้าได้เห็นยาวิเศษร้อยโคจรในตอนนั้นแล้วก็นึกถึงมันอยู่ตลอดชีวิต เดิมทีคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะมิได้เห็นยาวิเศษชนิดนี้อีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้ข้าจะได้พบมันอีก ดังนั้นจึงอยากถามเพื่อเติมเต็มความปรารถนาชั่วชีวิตของข้า”
“ใช่แล้ว ข้าหลอมเองแหละ” หมัวซาพูด
“ใช่จริงๆ เสียด้วย!” ชายชรามิอาจเก็บงำความรู้สึกเอาไว้ได้อีกต่อไป “ขอถามว่าท่านอยากจะขายตำรับยาพื้นบ้านหรือไม่”
หมัวซานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านบอกราคาขั้นต่ำของยาวิเศษร้อยโคจรนี่มาก่อนสิ”
“ยาวิเศษร้อยโคจรนี้ไปถึงระดับยาวิเศษขั้นหนึ่งแล้ว ราคาขั้นต่ำแพงกว่ายาวิเศษขั้นหกอยู่พอสมควร สองหมื่นตำลึงทอง” ชายชราพูด
“สองหมื่่นตำลึงทองหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์สูดลมหายใจ
“ท่านรู้สึกว่าถูกไปอย่างนั้นหรือ” ชายชรารู้สึกถึงความตกใจของซือหม่าโยวเย่ว์ได้ จึงรีบเอ่ยอธิบาย “การประมูลเป็นเช่นนี้ ราคาขั้นต่ำมิอาจสูงจนเกินไปได้ ถ้าหากประมูลไปแล้วยาวิเศษสี่เม็ดนี้แต่ละเม็ดอาจมีราคาถึงราวๆ หนึ่งแสนเป็นอย่างน้อย”
ซือหม่าโยวเย่ว์เคาะนิ้วบนโต๊ะ สี่เม็ดก็เท่ากับสี่แสนแล้ว บวกกับอีกหนึ่งแสนของโอวหยางเฟยก็เท่ากับห้าแสนแล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็น่าจะเพียงพอแล้วกระมัง
“ก็ได้ เช่นนั้นก็เอาตามราคาที่ท่านกำหนดแล้วกัน” หมัวซาพูด
ชายชราหยิบป้ายอันหนึ่งออกมาแล้วพูดว่า “นี่คือป้ายหมายเลขของท่าน นอกจากนี้นี่คือบัตรฟ้าของโรงประมูลเรา ผู้ที่ถือครองบัตรใบนี้ล้วนเป็นแขกพิเศษของพวกเรา ในภายหน้าหากซื้อของใดๆ ที่สาขาย่อยทุกแห่งของพวกเราก็จะได้รับส่วนลดร้อยละสิบห้า”
ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บบัตรฟ้าและป้ายหมายเลขลงไปก่อนจะลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ
“ท่านโปรดรอสักครู่” ชายชราเรียกตัวซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้
“มีธุระอันใดหรือ”
“คือว่างานประมูลของพวกเราอยากจะเจรจากับท่านหน่อย ต้องการซื้อตำรับยาพื้นบ้านของท่านจะได้หรือไม่” ชายชราถาม
“ซื้อตำรับยาพื้นบ้านหรือ”
“ใช่แล้ว ถ้าหากท่านต้องการ พวกเรายินดีจ่ายสามแสนสำหรับซื้อตำรับยาพื้นบ้านของยาวิเศษร้อยโคจร”
“สามแสนหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ขมวดคิ้ว “ในเมื่อท่านรู้ราคาของยาวิเศษร้อยโคจรดี ทั้งยังรู้ว่าตำรับยาพื้นบ้านนี่หายสาบสูญไปแล้ว สามแสนนี้…”
ตอนที่เธอออกมาจากโรงอัปลักษณ์ ภายในแหวนเก็บวัตถุของเธอก็มีอยู่ห้าแสนตำลึงทองแล้ว
“ช่างมั่งมีเงินทองเสียจริง หยิบห้าแสนตำลึงทองออกมาจ่ายโดยที่ตาไม่กะพริบสักนิด”
แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้เงินนี้มาโดยง่ายดายถึงเพียงนี้ มิน่าเล่านักหลอมยาเหล่านั้นแต่ละคนถึงได้หยิ่งยโสกันเหลือเกิน ก็ยาวิเศษมันช่างล้ำค่านัก!
เธอเข้าไปในตรอกเล็กแห่งนั้นอีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าบริเวณใกล้ๆ ไม่มีคนอยู่ จึงถอดเสื้อผ้าบนร่างออกแล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่ใส่ก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นจึงเดินลอยชายออกไป
“เจ้าหยุดนะ!”
เพิ่งออกมาจากตรอกก็พบกับคนที่ไม่อยากพบเจอเข้า
ฉินหว่านขวางทางซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้พลางเอ่ยว่า “เหตุใดวันนี้จึงไม่มุดหัวหลบอยู่ที่รังนกนางนวลเล่า เสนอหน้าออกมาทำไมกัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองฉินหว่านแล้วลอบกลอกตาอยู่ในใจ มาเจอกับนางเข้าได้อย่างไรกัน เธอไม่ชอบรับมือกับคนพรรค์นี้เป็นที่สุด จึงพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “สุนัขดีไม่ขวางทาง แล้วเจ้ามาขวางอยู่ตรงหน้าข้าทำไมกัน”
“เจ้ากล้าด่าข้าเป็นสุนัขอย่างนั้นหรือ!” ฉินหว่านฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดออกจึงตะคอกใส่อย่างเดือดดาล
“ข้ามิได้ด่าเจ้าเสียหน่อย ข้าก็แค่บอกว่าผู้ที่ขวางทางข้าเป็นสุนัขเท่านั้น หากเจ้าไม่ขวางทางข้าก็ไม่ใช่สุนัขแล้วมิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่
ฉินหว่านงงงันไปเสียแล้ว จึงถลึงตาใส่เธอครั้งหนึ่งแล้วหันไปพูดกับซีเย่ว์ซีที่อยู่ด้านหลังว่า “พี่หญิง คนผู้นี่นี่แหละที่วันนั้นพวกเขาทำร้ายข้าเสียจนน่าอนาถ ท่านต้องทวงคืนความยุติธรรมให้ข้านะเพคะ!”
……………………………….