ตอนที่ 18 ความวุ่นวายกลับมาอีกครั้ง

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 18 ความวุ่นวายกลับมาอีกครั้ง!

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากอาบน้ำเสร็จ โจวเจ๋อก็มาที่ร้านบะหมี่ข้างๆ ตามปกติ เรื่องนี้ค่อยๆ กลายเป็นความเคยชินในชีวิตของเขาไปแล้ว เมื่อการกินไม่ใช่ขั้นตอนของความเพลิดเพลินอีกต่อไป กลายเป็นเพียงภารกิจอย่างหนึ่งไปแล้ว ทำภารกิจให้เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ ไม่มีอะไรที่จะสะดวกและรวดเร็วไปกว่าสวี่ชิงหล่างที่นี่อีกแล้ว

“น้ำมะระ” สวี่ชิงหล่างวางแก้วใบใหญ่ไว้ข้างหน้าโจวเจ๋อ จากนั้นก็ยกข้าวผัดไข่มาเสิร์ฟหนึ่งที่

โจวเจ๋อพยายามจิบก่อน ทันทีที่ของเหลวเข้าไปในลำคอ รู้สึกเพียงระหว่างริมฝีปากและฟันต่างก็ขมขื่นเหลือทน ทันทีที่กลืนเข้าไปแล้ว แม้แต่ส่วนลำไส้และกระเพาะของตัวเองก็เริ่มขมวดเป็นปม

หลังจากรอประมาณสิบกว่าวินาที โจวเจ๋อก็มีสติกลับมาและถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ขมมากจริงๆ

“ฮ่าๆ ยากพอควรเลยใช่ไหมล่ะ” สวี่ชิงหล่างชมเชยสีหน้าท่าทางของเขา จากนั้นก็นั่งลงด้านหน้าโจวเจ๋อ “ว่าแต่ คุณเป็นคนทานรสจัดจริงๆ ถ้าไม่ได้ดื่มของพวกนี้แล้วจะทานข้าวไม่ลงเหรอ”

โจวเจ๋อทำใจให้สงบ จากนั้นก็ยกน้ำมะระแก้วใหญ่ขึ้นดื่ม แล้วรีบหยิบตะเกียบขึ้นมาพุ้ยข้าวผัดไข่ที่อยู่ด้านหน้าอย่างตะกละตะกลาม

หนึ่งนาทีต่อมา โจวเจ๋อทานอาหารเสร็จ วางจานจากนั้นหลับตาลง

“การทานแบบนี้ เหมือนกันกับผีที่เพิ่งปีนขึ้นมาจากนรกเปี๊ยบเลย” สวี่ชิงหล่างพูดติดตลก

เป็นแค่การแซวเล่นหรือมีความหมายอื่นแฝงอยู่นั้นก็ไม่อาจทราบได้

โจวเจ๋อลืมตาและชำเลืองมองอีกฝ่าย วันนั้นพี่น้องแรงงานต่างด้าวห้าคนกลับคืนสู่จิตวิญญาณในช่วงเจ็ดวันแรก เป็นเรื่องปกติที่น้องสะใภ้และภรรยาจะมองไม่เห็น แต่เถ้าแก่ร้านบะหมี่มองเห็น ไม่เช่นนั้นคงไม่ไปทำหมูตุ๋นน้ำแดงราดข้าวมาห้าชามหรอก

แต่ระหว่างคนทั้งสองนั้น เดิมทีเป็นสัญญาลับที่มองเห็นแต่ไม่พูดออกไป และไม่เคยเจาะทะลุกระดาษหน้าต่างมาดู บางทีอาจจะเป็นเช่นนี้ ถึงจะสามารถอยู่ร่วมกันได้

“ทำไมวันนี้นายไม่รับออเดอร์ล่ะ” โจวเจ๋อถาม

เมื่อไม่กี่วันก่อน แม้กระทั่งในวันส่งท้ายปีเก่า โทรศัพท์มือถือของสวี่ชิงหล่างก็ได้รับออเดอร์เดลิเวอรีไม่หยุดเลย แต่วันนี้มันดูเงียบเหงาไปมาก และก็ไม่เห็นพวกพวกพี่ชายเดลิเวอรีมารับอาหาร

“พักก่อน” สวี่ชิงหล่างหยิบบุหรี่ขึ้นมา เอาเข้าปากตัวเองไปหนึ่งมวน แล้วยื่นให้โจวเจ๋ออีกหนึ่งมวน

แม้จะพูดว่าวันส่งท้ายปีเก่าไม่หยุดแต่จะไปพักผ่อนหลังปีใหม่ ก็ค่อนข้างที่จะแปลกอยู่สักหน่อย

แต่ในฐานะผู้ชายที่มีห้องชุดมากกว่ายี่สิบห้อง

คงมีทุนตามอำเภอใจตัวเองอยู่แล้วแหละ

“รู้เรื่องผีแบกเก๋งไหม” โจวเจ๋อถาม เขายังจำเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ได้ แต่เขาไม่ได้รีบร้อนจะทำอะไร เพียงแค่กลับบ้านและลงไปนอนในตู้แช่ก็เท่านั้นเอง

คน ได้รับการช่วยชีวิตจากโจวเจ๋อแล้ว หากมีปัญหาใดๆ โจวเจ๋อก็ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยว

เขาเพียงแค่ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างระมัดระวัง เคร่งขรึม และมีชีวิตชีวา ถ้าหากมีการพบเจอเรื่องอะไรบางอย่างในแต่ละวัน ก็ทำตามน้ำไป ทำตามน้ำไปก่อน แต่จะไม่ไปบังคับฝืนอะไรแล้วจริงๆ

แม้ว่าสาวน้อยในชุดดอกลิลลี่จะมีปัญหาจริงๆ นั่นก็ไม่เกี่ยวกับกับโจวเจ๋ออีกต่อไป

“ผีแบกเก๋งเหรอ” สวี่ชิงหล่างตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม “เหอะๆ คืนวันส่งท้ายปีเก่ามีเยอะมากล่ะสิ ว่ากันว่าทุกคนเผาคัมภีร์และเงินกระดาษในช่วงปีใหม่ ผีพวกนั้นยังมีเงินเหลืออยู่ในมือ ก็เลยยอมนั่งแท็กซี่”

สวี่ชิงหล่างพล่ามเรื่องไร้สาระต่อไปแล้วก็หาวหวอดๆ “ว่าแต่ ทำไมประตูร้านหนังสือของคุณยังไม่เปิดอีก”

“รอเปิดตอนเย็นเลย”

“โอเค ตามอำเภอใจ” สวี่ชิงหล่างหยิบมือถือขึ้นมา เหลือบมองสองที “งั้นบ่ายนี้เราไปดูหนังกันไหม”

สถานการณ์ตกเข้าสู่ความเงียบงันที่น่าอึดอันในทันที

“ไม่ไป” โจวเจ๋อปฏิเสธ

“ดูสิ ไม่ไว้หน้ากันเลยจริงๆ เสียแรงคนเขาอุตส่าห์ทำน้ำผลไม้รสใหม่ให้คุณอย่างยากลำบาก แค่ไปดูหนังเป็นเพื่อนสักเรื่องหนึ่งก็ไม่ยอมไป ผู้ชายเนี่ย ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง”

โจวเจ๋อนิ่งไป

“ขอโทษที ผมลืมไปว่าผมก็เป็นผู้ชาย” สวี่ชิงหล่างส่ายหัวด้วยความเศร้าสร้อย แสดงออกถึงท่าทีที่เสียใจว่าทำไมตัวเองไม่ใช่ผู้หญิง

“ตอนที่นายยังเป็นเด็กเคยประสบกับบาดแผลทางจิตใจหรือเปล่า” โจวเจ๋อถาม “ฉันรู้จักจิตแพทย์ที่สามารถช่วยนายได้นะ”

สวี่ชิงหล่าง ‘ระเบิด’ เสียงหัวเราะออกมา

“รักต่างเพศเป็นเพียงการปลูกฝังแพร่พันธุ์ความคิดเห็น ที่ไม่ตรงกับความคิดออกมา รักร่วมเพศต่างหากถึงจะเป็นรักแท้”

“ไม่กล้าเห็นด้วย”

“เต๋าแตกต่างก็มิอาจร่วมทาง”

การสนทนาระหว่างทั้งสองหลังจากทานอาหารก็แยกกันอย่างไม่เป็นสุขตรงนี้

โจวเจ๋อกลับไปที่ร้านหนังสือของตัวเอง เปิดประตู คิดอยู่ครู่หนึ่งและไม่ล็อกมัน เพียงแค่นั่งเปิดคอมพิวเตอร์อยู่หลังเคาน์เตอร์ และส่งวีแชทไปหาหมอหลิน

“บ่ายนี้ไปดูหนังกันไหม”

รอประมาณสิบนาที หมอหลินก็ตอบกลับ

“ทำงาน”

วันปีใหม่ก็ไม่ใช่ว่าจะห้ามคนอื่นไม่ให้ป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุ โจวเจ๋อที่เคยเป็นแพทย์เหมือนกัน รู้ดีว่าวันหยุดในโรงพยาบาลนั้น ไม่มีจริงเลย

คิดๆ ดูแล้วก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี

โจวเจ๋ออยากบอกเธอเหลือเกิน ว่าตัวเองก็คือโจวเจ๋อ ไม่ใช่สวีเล่ออะไรนี่

แต่ก็กังวลว่าในตอนท้าย หมอจะหลินกลัวมากจนสงสัยในชีวิตตัวเอง แม้กระทั่งความรักที่ไม่สมหวังในเมื่อก่อนนั้นจะถูกชะล้างไปด้วย ที่สำคัญที่สุด เรื่องบางอย่างยิ่งคนรู้น้อยก็ยิ่งดี

เดี๋ยวจะมีคนมาจับตัวเอง

เรื่องนี้โจวเจ๋อรู้ดี

เขากำลังรออยู่และระหว่างที่กำลังรอ ก็ไม่ได้เลือกที่จะหดหัวตัวสั่นอยู่ในมุมมืดเหมือนหนูอยู่ในรางน้ำ เขายังต้องมีชีวิตอยู่ และยังต้องใช้ชีวิตตามปกติ ไม่เช่นนั้นสู้ไม่ออกมาจากนรกและเดินไปตามเส้นทางสู่นรกพร้อมกับคนอื่นจะดีกว่า

สำหรับเพื่อนบ้านข้างบ้านคนนั้น ไม่ว่าเขาจะมองออกหรือไม่ก็ตาม โจวเจ๋อก็ไม่แน่ใจ และเขาก็ไม่สนใจที่จะยืนยันด้วย

“ตอนเย็นก็แล้วกัน”

หมอหลินตอบกลับมาอีกหนึ่งข้อความ

โจวเจ๋อยิ้ม เขารู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาเหมือนคนงี่เง่าคนหนึ่ง เมื่อย้อนไปสมัยมัธยมตอนเห็นสมาชิกคณะกรรมการการศึกษาในชั้นเรียนมองมาที่ตัวเองอย่างเขินอาย

เมื่อก่อน ตัวเองใช้ชีวิตเหนื่อยจนเกินไป

ในชาตินี้ จะต้องทำตามใจชอบใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีหน่อย

มีความจริงมากมายในชีวิต ที่จะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ก็ต่อเมื่อแก่แล้วหรือก่อนตายเท่านั้น ตอนที่คุณเข้าใจมันแล้ว คุณก็ได้เสียโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

โจวเจ๋อหวงแหนชีวิตและโอกาสในตอนนี้มาก

มีรถสีแดงคันหนึ่งจอดอยู่บนถนนหน้าร้านหนังสือ และผู้หญิงสองคนก็เดินลงมา

คนหนึ่งอายุไม่ถึงสามสิบปี และอีกคนดูเหมือนจะอายุห้าหรือหกขวบ

ผู้หญิงในชุดเดรสสีแดง ผมลอนสลวย ถึงแม้จะคิดว่าเป็นแม่คนแต่ก็ยากที่จะปิดบังซ่อนเร้นออร่าดึงดูดใจบนกายไว้ได้ ตรงกันข้ามกลับยิ่งสะกดและเร้าใจผู้คน

สาวน้อยสวมใส่ชุดเอี๊ยม ด้านในน่าจะใส่ชุดชั้นในระบายความร้อนไว้หลายชั้น ห่อจนเหมือนกับบ๊ะจ่างหนึ่งมัด น่ารักน่าเอ็นดู

แต่เมื่อเห็นสาวน้อย ดวงตาของโจวเจ๋อก็หรี่ลงโดยไม่รู้ตัว

แขกมาไม่ดี

แขกดีไม่มา

ตัวเองไม่ไปหาเธอ

เธอกลับมาหาตัวเองถึงหน้าประตู

ก่อนหน้านี้ได้ยินจากหมอหลินบอกว่าอีกฝ่ายเรียกหาคุณลุงในงานเลี้ยงขอบคุณ โจวเจ๋อยังคงอิ่มเอมใจ ตอนนี้อยากจะมา ที่แท้แล้วเธอไม่คิดจะยอมปล่อยเขาไป

ท้ายที่สุดก็คือ พ่อลูกสี่คนนั้น ที่เขาตายก็เพราะสาวน้อยคนนี้เอง

ประตูร้านหนังสือถูกผลักออก คุณนายมองไปรอบๆ อย่างสงสัย แต่สาวน้อยกลับเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ของโจวเจ๋ออย่างกล้าๆ กลัวๆ และมองไปที่โจวเจ๋อพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยืดยาน

“สวัสดีค่ะคุณลุง”

โจวเจ๋อพยักหน้า ไว้ตัวเล็กน้อย

อันที่จริงในใจกำลังคิดว่าตัวเองควรจะเสียสละเล็บและบีบคอสาวน้อยคนนี้จนตายไปเลยดีไหม?

“สวัสดีค่ะ ฉันเป็นแม่ของหรุยหรุ่ย”

คุณนายเดินไปหาโจวเจ๋อ แล้ววางกล่องของขวัญไว้บนเคาน์เตอร์

“ขอบคุณค่ะ”

คุณนายโค้งตัวให้โจวเจ๋อ แสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง

“เกรงใจแล้ว” โจวเจ๋อก็ยังไม่ลุกขึ้นเช่นเคย

เขาอยากจะแสร้งทำเป็นว่าทุกอย่างเป็นปกติมาก เพื่อที่สาวน้อยจะได้มองอะไรไม่ออก แต่ช่างยากเย็นเหลือเกิน

แม้จะเป็นนักแสดงที่ชนะในระดับรางวัลออสการ์ก็ตาม

หลังจากได้เห็นภาพความทรงจำของคนขับเมื่อคืนนี้

คาดว่าจะให้มองหน้าสาวน้อยคนนี้ได้เหมือนเดิมอีกก็คงจะยากมาก?

ในเมื่อเสแสร้งไม่เนียน งั้นก็อย่าไปเสแสร้งมันเลย

“แม่คะ หนูอยากอ่านหนังสืออยู่ที่นี่” หรุยหรุ่ยบอกคุณนาย

“ก็ได้ แม่จะไปทำผมก่อน หนูอ่านหนังสืออยู่กับคุณลุงที่นี่นะ” คุณนายยิ้มให้โจวเจ๋อ “ลำบากคุณแล้ว”

“ไม่ลำบาก”

“ถึงกับต้องถามหมอหลินถึงได้รู้ว่าคุณเปิดร้านอยู่ที่นี่น่ะค่ะ”

ภรรยาผู้โง่เขลา

“คุณกับหมอหลินต่างก็ทั้งเก่งและดูดีจริงๆ”

คำพูดนี้ดูฝืนๆ อยู่พอสมควร ตัวสวีเล่อเองก็คงไม่เชื่อหรอก

คุณนายขับรถออกไปและทิ้งลูกสาวตัวเองเอาไว้ ที่นี่เป็นร้านหนังสือ และโจวเจ๋อก็ยังเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตลูกสาวเอาไว้ครึ่งหนึ่ง และยังเป็นสามีของหมอหลินอีก ดังนั้นเธอวางใจมากที่ทิ้งลูกสาวเอาไว้ที่นี่ชั่วคราว ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ต่อมา หรุยหรุ่ยเลือกหนังสือภาพประกอบด้วยตัวเอง และนั่งอ่านบนม้านั่งพลาสติก

ไม่เสียงดัง และก็ไม่โวยวาย

ไม่ร้องหาเครื่องดื่ม และงอแงร้องหาขนม

โจวเจ๋อก็นั่งมองเธออยู่ที่ด้านหลังเคาน์เตอร์

ประจวบเหมาะในเวลานี้ สวี่ชิงหล่างเดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นสาวน้อยตัวเล็กๆ ที่ดูเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ รีบรุดเดินเข้าไปอุ้มขึ้นมาทันที

“อุ๊ย สาวน้อยน่ารักจังเลย”

“ขอบคุณค่ะพี่สาว” หรุยหรุ่ยโต้ตอบ

รอยยิ้มบนใบหน้าของสวี่ชิงหล่างเสมือนดอกเบญจมาศที่เบ่งบานและสดใสขึ้นเรื่อยๆ

สาวน้อยช่างประจบสอพลอมาก เจอจุดอ่อนของสวี่ชิงหล่างแล้ว

สีหน้าโจวเจ๋อยังคงนิ่งขรึมและนั่งอยู่ตรงนั้นต่อไป

“ออกมา มีเรื่องจะคุยด้วย” สวี่ชิงหล่างวางเด็กลง แล้วชี้ไปที่โจวเจ๋อ

โจวเจ๋อและสวี่ชิงหล่างเดินออกมา

“คนจากจัตุรัสมาน่ะ ถามเราว่าอยากจะฉีกสัญญาทิ้งไหม พวกเขาจะคืนเงินค่าเช่าให้ ที่เมื่อก่อนเคยจ่ายล่วงหน้าให้เรา”

“ไม่ต้องคืนหรอก” โจวเจ๋อยังไม่อยากยุ่งวุ่นวายอีก ยิ่งช่วงนี้เงินทุนของเขาก็ไม่พออีกต่างหาก แม้ว่าจะได้เงินค่าเช่าล่วงหน้ามา ก็ไม่พอไปเปิดร้านของตัวเองอีก

“ผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน” สวี่ชิงหล่างพยักหน้าบ่งบอกว่าตัวเองเข้าใจแล้ว “งั้นผมจะคุยในนามของคุณด้วยกันเลยนะ”

“ได้”

“โอเค งั้นก็ตกลงตามนี้”

ทั้งสองยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านนอกประตูก่อนจะแยกย้ายกันไป

ตอนที่โจวเจ๋อหมุนตัวผลักประตูเดินเข้าร้านไป

พบว่าบนม้านั่งพลาสติกเล็กๆ ในแถวนั้น ไร้ร่างของสาวน้อย และหนังสือที่มีภาพประกอบเล่มนั้นถูกวางอยู่บนม้านั่ง

โจวเจ๋อขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้น

เสียงฝีเท้าของรองเท้าบูทหนังเล็กๆ ดังอยู่ที่ทางเข้าบันได

สาวน้อยเดินออกมาจากตรงนั้น ร่างของเธอโผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งถูกกำแพงบังไว้

เมื่อสักครู่เธอไปที่ชั้นสองของตัวเอง

……………………………………………………………..