ด้านนอกศาลาล้วนแต่เต็มไปด้วยคน กอเจียงเหมยสองสามกอถูกเหยียบจนดูน่าสงสาร
หลายคนกำลังรีบเดินมาทางนี้ บนเขาฉีผานวุ่นวายขึ้นมาเล็กน้อย
เหอจานเดินจากริมธารมายังหน้าศาลาเรียบร้อยแล้ว
เซ่อเซ่อที่เดินตามอยู่ข้างกายเขากล่าวถามอย่างสงสัย “ท่านไม่ไปเล่นหมากล้อมหรือ?”
เหอจานส่ายศีรษะ กล่าวว่า “ไม่ไป”
ในเวลานี้ การชมหมากล้อมย่อมต้องสำคัญกว่าการเล่นหมากล้อม
เซ่อเซ่อถามอย่างเป็นห่วง “หรือท่านไม่กลัวว่าจะถูกตัดสิทธิ์”
“ทุกคนต่างทำเช่นนี้ กฎมิอาจทำอะไรได้”
เหอจานชี้ไปยังคนสองคนที่อยู่ในศาลา พลางกล่าวว่า “พวกเขาจะประลองกันแล้ว ใครยังมีใจไปนั่งเล่นหมากล้อมอีก?”
……
……
นี่คือการประลองที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย
เดิมทุกคนคิดว่าการประลองนี้ต้องรออีกสักหลายวันจึงจะปรากฏขึ้น หรือบางทีอาจจะไม่มีทางปรากฏขึ้นมาเลยก็เป็นได้
ใครจะไปรู้บ้างว่าในขณะที่ทุกคนต่างคิดไม่ถึง การประลองครั้งนี้จะเริ่มต้นขึ้นแบบนี้
ช่างเหมือนดั่งนิทาน เห็นๆ อยู่ว่าเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นก็มาถึงช่วงที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดแล้ว นี่มันช่างน่าตื่นเต้นจริงๆ
เพียงไม่นาน ผู้บำเพ็ญพรตที่มาชมการประลองหมากล้อมต่างยืนล้อมศาลาจนแน่นขนัดชนิดที่ว่าไม่ปล่อยให้มีอะไรเล็ดลอดเข้ามาได้
ผู้ที่เข้าร่วมการประลองหมากล้อมเองก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้เช่นกัน
คนที่ออกมาจากศาลาเป็นคนแรกสุดคือซั่งจิ้วโหลว จากนั้นเป็นกู่หยวนหยวนและเชวี่ยเหนียง จากนั้นผู้บำเพ็ญพรตที่เดินออกมาจากศาลาก็ยิ่งมีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งการประลองที่เริ่มขึ้นไปแล้วเหล่านั้นก็ยังหยุดลง
ทั่วทั้งเขาฉีผาน ตอนนี้มีการประลองอยู่เพียงคู่เดียว
……
……
เหอกั๋วกงได้ฟังลูกน้องรายงาน จึงกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ก็เอาตามนี้แล้วกัน การประลองที่เริ่มไปแล้วก็ให้ปิดศาลาเอาไว้ เรื่องอื่นเอาไว้จบการประลองนี้แล้วค่อยว่ากัน”
เจ้าหน้าที่ที่เป็นลูกน้องกล่าวอย่างกังวลใจว่า “หากหมากกระดานนี้ประลองกันสามวันสามคืนจะทำยังไงดีขอรับ?”
เหอกั๋วกงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ด้วยระดับของถงเหยียนแล้ว จะเอาชนะจิ๋งจิ่วต้องใช้เวลานานขนาดนั้นหรือ? ขอเพียงจิ๋งจิ่วไม่ใช่ลูกไม้ยื้อเวลาก็พอ”
เจ้าหน้าที่คนนั้นกล่าวอย่างไม่มั่นใจ “ได้ยินว่าครั้งนี้ผู้อาวุโสของสำนักจงโจวและสำนักชิงซานต่างโกรธจริงๆ แล้ว หากจิ๋งจิ่วยื้อเวลาจริงๆ จะทำอย่างไรขอรับ?”
เหอกั๋วกงโบกมือพลางกล่าว “ไม่หรอก จิ๋งจิ่วเป็นศิษย์สืบทอดของนักพรตจิ่งหยางนะ”
เจ้าหน้าที่คนนั้นคิดในใจ หากจิ๋งจิ่วนิสัยเป็นเหมือนอย่างนักพรตจิ่งหยางจริงๆ แล้วเขาจะมาเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยได้อย่างไร อีกทั้งยังประลองกับคนอื่นโดยมีสายตาจำนวนมากขนาดนี้จับจ้องอยู่เนี่ยนะ?
……
……
การทายหมากในการประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยมิได้ต่างอะไรกับการทายหมากในการประลองหมากล้อมธรรมดาทั่วไป
สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือผู้ประลองทั้งสองฝ่ายต่างเป็นผู้บำเพ็ญพรต พวกเขาสามารถในจิตจำแนกของตัวเองมองดูจำนวนหมากในมือของอีกฝ่ายได้
แต่แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็สามารถใช้จิตจำแนกมาปิดกั้นได้เช่นกัน สุดท้ายก็ต้องมาดูกันว่าจิตจำแนกของใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน
ในอีกแง่หนึ่งแล้วนี่คือความยุติธรรม ขณะเดียวกันยังหมายความว่าการประลองฝีมือได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ก่อนที่การประลองหมากจะเริ่มแล้ว
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปที่มือของถงเหยียน
ไม่มีผู้ใดกล้าแผ่จิตจำแนกไปที่มือของถงเหยียน เพราะนั่นถือเป็นการเสียมารยาทอย่างร้ายแรง แทบจะถือได้ว่าเป็นการยั่วยุ
แต่ถึงแม้นจะอยู่ห่างกันสิบกว่าจ้าง ทุกคนก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงเปลวแสงสีขาวนวลที่แผ่นออกมาจากช่องตามนิ้วมือของถงเหยียน
เปลวแสงนั้นแสดงให้เห็นถึงปราณก่อกำเนิดที่ทั้งมหาศาลและบริสุทธิ์ นั่นน่าจะเป็นพลังจักรวาลแต่กำเนิดของสำนักจงโจวที่ฝึกฝนไปจนถึงระดับสูง
ในเวลานี้ จิ๋งจิ่วกล่าวประโยคที่หลายคนต่างคิดไม่ถึงออกมา “เจ้าอยากจะใช้หมากไหน?”
ครั้นได้ยินประโยคนี้ คิ้วของถงเหยียนเลิกขึ้นอย่างช้าๆ กลุ่มคนเองก็สงเสียงฮือฮาขึ้นมา
หรือเจ้ามั่นใจว่าจะมองออกว่าเป็นเลขคู่หรือเลขคี่? นี่มันช่างอวดดีเกินไปแล้ว
ถงเหยียนมิได้โมโห เพียงแต่สายตาที่มองดูจิ๋งจิ่วยิ่งดูเย็นชาขึ้น เขากล่าวว่า “ข้าใช้สีขาว”
ที่เขาเลือกใช้หมากสีขาว สามารถมองว่าเป็นเพราะเขาเคยชินกับการรอให้อีกฝ่ายเผยจุดอ่อนแล้วค่อยโจมตีกลับ หรือจะมองว่าเป็นการเหยียดหยามดูถูกก็ได้
แม้นในการประลองจะมีแต้มต่อให้ แต่สำหรับหลายคนแล้ว ยังไงการลงหมากก่อนก็มีความสำคัญมากกว่า
“สามเม็ด”
จิ๋งจิ่วประกาศจำนวนเม็ดหมากที่อยู่ในมือของเขา
เขาไม่จำเป็นต้องพูดว่าเป็นจำนวนคี่หรือคู่เลย
กลุ่มคนวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะสงบลงอย่างรวดเร็ว
ถงเหยียนหรี่ตามองดูจิ๋งจิ่ว มิได้กล่าวกระไร
จิ๋งจิ่วสีหน้าเป็นปกติ คล้ายว่านี่เป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาอย่างมาก
เขายื่นมือหยิบหมากสีดำไปวางบนกระดาน
สาม – สาม
ด้านนอกมีเสียงอุทานดังขึ้นมา
มิใช่เป็นเพราะว่าการเดินหมากตานี้มีปัญหาอะไร
นี่เป็นตำแหน่งการวางหมากสีดำตัวแรกที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด
เพียงความผู้ที่มาชมการประลองต่างคาดหวังกับการประลองครั้งนี้เอาไว้มาก พวกเขาหวังว่าจะได้เห็นอะไรที่มันพิเศษ ได้เห็นการตัดสินใจอะไรที่มันน่าตกตะลึง
แต่แน่นอน ทุกคนต่างทราบดีเช่นนั้นว่านอกจากจิ๋งจิ่วจะเอาหมากไปวางไว้ที่ตำแหน่งเทียนหยวน[1]หรือมุมกระดาน มิเช่นนั้นนี่ก็เป็นแค่เพียงการเปิดกระดานเท่านั้น จะมีอะไรพิเศษได้อย่างไร?
เสียงแปะเบาๆ ดังขึ้น ถงเหยียนไม่แม้แต่จะคิด เขาหยิบหมากสีขาวเม็ดหนึ่งวางลงไป
การโต้ตอบของจิ๋งจิ่วเองก็รวดเร็วอย่างมากเช่นกัน หมากสีดำเม็ดที่สองวางลงไปบนพื้นที่ว่างตรงมุมบนซ้าย
……
……
แปะ
แปะ
แปะ
แปะ
……
……
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงหมากที่กระทบลงไปบนกระดาน
การประลองที่คนจำนวนนับไม่ถ้วนจับตามองเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายธรรมดา
ความเร็วในการวางหมากของทั้งสองคนไม่เร็วและไม่ช้า เพียงไม่กี่อึดใจก็จะวางหมากลงไปตัวหนึ่ง
หมากสีดำและสีขาวบนกระดานค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างช้าๆ
ไม่มีใครที่จะโง่เง่าถึงขนาดส่งเสียงอุทานชมเชยออกมาในเวลานี้ แล้วก็ไม่มีใครที่จะโง่เง่าเริ่มสงสัยขึ้นมาในเวลานี้
สถานการณ์บนกระดานดูปกติธรรมดาอย่างมาก ตำแหน่งที่หมากสีดำและหมากสีขาววางลงไปก็ปกติธรรมดาอย่างมาก ใครจะไปมองออกได้ว่าหมากไหนเดินดี หมากไหนเดินไม่ดี?
แต่ทุกคนยังคงรู้สึกแปลก เพราะการเริ่มต้นของหมากกระดานนี้ธรรมดาเกินไปจริงๆ ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย แล้วก็ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ
สถานการณ์บนกระดานในตอนนี้เรียบง่ายอย่างมาก ไม่มีการโรมรัน แล้วก็มองไม่เห็นความหมายอะไรที่ลึกซึ้ง
การเดินหมากของจิ๋งจิ่วและถงเหยียนคล้ายทั้งสองคนยืนเผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างร่ายรำกระบวนท่าออกมา แต่กลับไม่ยอมปล่อยกระบี่ฟันใส่อีกฝ่าย หรือว่าใช้อาวุธวิเศษโจมตีใส่อีกฝ่าย
แต่สิ่งที่ทุกคนไม่เข้าใจที่สุดก็คือ พวกเขามิได้รู้สึกถึงว่าทั้งสองคนกำลังรวบรวมความได้เปรียบ สะสมปราณก่อกำเนิด เตรียมจะใช้กระบวนท่าใหญ่หลังจากนี้เช่นกัน
เจ้าล่าเยวี่ยไม่ค่อยเข้าใจเรื่องหมากล้อม นางจึงไม่มีความรู้สึกอะไร
เซ่อเซ่อพอจะเข้าใจหมากล้อมบ้าง ดังนั้นจึงยิ่งไม่เข้าใจ
หมากกระดานนี้มันช่างธรรมดาเสียจริง
ไม่คู่ควรกับชื่อเสียงของถงเหยียนกับจิ๋งจิ่วเลย
ในกลุ่มคนที่อยู่ไกลออกมาค่อยๆ มีเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบเบาๆ ดังขึ้นมา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ดูแล้วธรรมดาอย่างมากเลยนะ”
“คุณชายถงเหยียนไม่อยากให้สำนักชิงซานขายเลย เลยจงใจออมมืออย่างนั้นหรือ?”
……
……
หนานว่างและเหล่าศิษย์ชิงซานเดินทางมาถึงเขาฉีผานแล้ว พวกเขาไม่ได้เข้าไปใกล้ศาลา หากแต่ยืนอยู่ในป่าที่อยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล
ครั้นได้ยินเสียงพูดคุยเหล่านี้ สีหน้าลูกศิษย์บางคนแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ทันใดนั้นจึงมองไปทางหนานว่าง
ศิษย์ชิงซานไม่ค่อยมีความรู้เรื่องศิลปะทั้งสี่เท่าไร ไม่รู้ว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นกำลังคุยกันอยู่เป็นเรื่องจริงหรือไม่
“พวกโง่”
หนานว่างกล่าว “ดูไม่รู้เรื่อง ก็ไปดูคนที่ดูรู้เรื่องพวกนั้นซะ”
……
……
คนที่เดินทางมาที่เขาฉีผานในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่เตรียมจะลงประลองหมากล้อมหรือว่าอาจารย์สำนักเดียวกันที่มาชมการประลองหมากล้อมล้วนแต่เป็นคนที่ชื่นชอบหมากล้อม
หากบอกว่าพวกเขาล้วนแต่ไม่รู้เรื่องหมากล้อม เช่นนั้นคนที่มีสิทธิ์ถูกยกย่องว่ารู้เรื่องหมากล้อมคือใคร?
มีคนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแปลกๆ
ซั่งจิ้วโหลวและเชวี่ยเหนียงมองดูกระดานหมากล้อม สีหน้าคร่ำเคร่งเป็นยิ่งนัก คล้ายมีศัตรูที่แข็งแกร่งกำลังบุกเข้ามา เทียบกับเวลาพวกเขาลงประลองหมากล้อมด้วยตัวเองแล้วยังเคร่งเครียดกว่ามาก
สีหน้าของกู่หยวนหยวนยิ่งดูแย่เข้าไปใหญ่ ดวงตาเบิกโพลง การหายใจรุนแรง ฟังดูแล้วคล้ายกล่องสูบลมอย่างไรอย่างนั้น
…………………………………………………
[1]ตำแหน่งเทียนหยวน คือตำแหน่งที่เป็นจุดศูนย์กลางของกระดาน