ตอนที่ 135 ประทับตรา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 135 ประทับตรา

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 เดือนสิบเอ็ด วันที่สิบสี่ ยามเช้า จินหลิงปกคลุมไปด้วยหมอก

ทางด้านนอกประตูทางใต้ของเมืองหลวง รถม้า 5 คันจอดเรียงรายเลียบข้างทาง แต่มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รถม้า

ฟู่เสี่ยวกวน ต่งชูหลาน และหยูเวิ่นหวิน

ซูม่อและคนอื่น ๆ มิได้ลงจากรถ ทั้งสามคนกำลังล่ำลากัน ตนเองมิจำเป็นจะต้องเข้าไปเพื่อให้ผู้อื่นเกลียดเล่น

ดวงตาคู่สวยของต่งชูหลานแดงระเรื่อ บางทีเมื่อคืนอาจจะไม่ได้นอนหลับดี หรือบางทีอาจเป็นเพราะในยามนี้กำลังอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา นางยัดกระเป๋าผ้าใส่มือของฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ข้ายังมิเห็นเจ้าใส่เสื้อผ้าที่เย็บให้ครั้งที่แล้วเลย คิดว่าคงเล็กไป ครั้งนี้เลยทำผืนใหญ่ให้เจ้าใหม่ หน้าหนาวมาเยือนแล้ว ที่ซีซานคงมิมีผู้ใดดูแลเจ้า เจ้าต้องใส่ใจให้มากยิ่งขึ้น เดิมทีก็มิได้ดูแลร่างกายให้ดี อย่าได้ให้อาการป่วยมันคุกคาม”

กล่าวจบต่งชูหลานก็ยื่นมือไปจัดสาบเสื้อให้กับฟู่เสี่ยวกวน ดูเป็นธรรมชาติ ราวกับสามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันมานานหลายปี

ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือของต่งชูหลานเอาไว้ แล้วกล่าวว่า “วางใจเถิด ข้าจักดูแลตัวเองให้ดี เจ้าดูมือเล็ก ๆ ของเจ้าสิเย็นไปหมดแล้ว เจ้าเองก็ต้องใส่เสื้อผ้าให้มากขึ้น”

“อืม” ต่งชูหลานก้มหน้าหลบ “เจ้าเองก็ควรจะกลับมาเมืองหลวงในเร็ววันด้วย ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าความรักทั้งสองจะยืนยาวได้ ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในทุกเมื่อเชื่อวัน… แต่หากมิต้องแยกจากกัน นั่นย่อมดีกว่าอยู่แล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าและถอนหายใจน้อย ๆ เขาเองก็มิอยากไป แต่เขาไม่ไปไม่ได้ มันมิใช่เพราะเรื่องโชคร้ายไร้สาระของเมืองหลวงอะไรนั่น แต่อย่างไรเขาก็ต้องไปซีซาน

ต่งชูหลานเงยหน้ามองเขา และยิ้มบาง ๆ “เจ้าอย่าทำให้ตนเองลำบาก ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้คิดทำการใหญ่ พวกเราจะมิฉุดรั้งเจ้าอย่างแน่นอน พูดคุยกับเวิ่นหวินเถิด จิตใจของนาง… ก็ทรมานอย่างมากเช่นกัน”

ต่งชูหลานเดินออกไปอีกทาง หันหลังให้กับฟู่เสี่ยวกวน สุดท้ายน้ำตาที่เอ่อคลอในตาก็ไหลลงมาอย่างมีอาจฝืน

รู้อยู่แล้วว่าช่วงข้ามปีเขาจะกลับมายังเมืองหลวง

รู้อยู่แล้วว่าเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ สี่สิบกว่าวันเท่านั้น แต่ทำไมถึงต้องร้องไห้กัน ?

ต่งชูหลานที่แข็งแกร่งผู้นั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว ?

ในยามที่ได้พบว่ามีไหล่ไว้ให้คอยพึ่งพิง ความแข็งแกร่งที่เคยมีก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนแอไปทันพลัน

หยูเวิ่นหวินยื่นมือไปลูบใบหน้าฟู่เสี่ยวกวน นี่คือครั้งแรกที่ทั้งสองสัมผัสกันใกล้ถึงเพียงนี้ หัวแม่มือของนางลูบไล้ไปตามคิ้วที่เรียวยาว มีหยดน้ำค้างเกาะที่คิ้วอยู่มากมาย

ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ รู้สึกได้ว่าหัวใจนั้นเต้นแรงยิ่งขึ้น นางชอบความรู้สึกอย่างนี้ยิ่งนัก แต่ก็รู้สึกว่าเหมือนกับขาดอะไรไป ใช่แล้ว หากเขา… มือของฟู่เสี่ยวกวนก็สัมผัสใบหน้าที่เปราะบางราวกับจะแตกได้ของหยูเวิ่นหวิน เย็นและนุ่ม ได้เข้าใกล้เยี่ยงนี้ ก็จะทำให้เขาแทบจะอดใจรั้งนางเข้ามากอดเอาไว้ไม่อยู่

ใจของหยูเวิ่นหวินเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ใช่ ความรู้สึกในตอนนี้ถูกต้องแล้ว

“ข้า… จะรอเจ้ากลับมา” กล่าวจบ หยูเวิ่นหวินก็ก้มหน้าลงไป นางเขินอายยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้กล่าวอะไรชัดเจนเยี่ยงนี้กับบุรุษ นางกลัวอย่างมาก อีกทั้งก็ชอบอย่างยิ่ง นางคิดว่านี่คือเรื่องราวของชั่วชีวิตนี้

“อือ” ฟู่เสี่ยวกวนเชิดใบหน้ารูปไข่ที่แดงก่ำขึ้นมา จ้องมองดวงตาที่มีเสน่ห์คู่นั้น และเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าจะตบแต่งกับพวกเจ้า โดยจะจัดงานที่ใหญ่โตที่สุดในใต้หล้า”

หยูเวิ่นหวินมิกล่าวอะไรอีก นางมิรู้ว่าควรกล่าวอันใด ในใจนั้นตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ในแววตานั้นมีประกายของความหวังขึ้นมา

ฟู่เสี่ยวกวนสูดหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งครา จ้องมองริมฝีปากที่แดงนุ่ม ยกยิ้มร้ายขึ้นมา แล้วมือข้างหนึ่งจับคางของหยูเวิ่นหวินไว้ และขยับเข้าไปใกล้

ดวงตาของหยูเวิ่นหวินเบิกกว้าง ใบหน้าที่ใกล้กันแค่เอื้อมดูเลือนราง หลังจากนั้น… ก็เป็นความรู้สึกที่วิเศษอย่างมาก ! สมองของนางว่างเปล่าไปในทันที ราวกับจะดับลงไปในยามนี้เสียอย่างนั้น

ฟู่เสี่ยวกวนยืดตัวยืนตรง จ้องมองท่าทีขัดเขินของหยูเวิ่นหวินและทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา

เขากุมมือของหยูเวิ่นหวินและเดินไปทางต่งชูหลาน และโอบกอดต่งชูหลานเอาไว้ในอ้อมแขน ต่งชูหลานก็หน้าแดงด้วยความขัดเขิน ในใจรู้สึกตื่นตระหนกแต่ก็มีความสุขอย่างยิ่ง

“ข้าจักประทับตราเอาไว้ที่ริมฝีปากของพวกเจ้า เพียงเท่านี้พวกเจ้าก็จะเป็นคนของฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้แล้ว”

ทันใดนั้นหยูเวิ่นหวินก็โอบฟู่เสี่ยวกวน และแนบชิดเข้าไปอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ปล่อยออก และผ่อนลมหายใจเล็กน้อย

“ชูหลาน พวกเราเองก็ประทับตราบ้างเถอะ”

อย่างไรต่งชูหลานก็มิได้ใจกล้าเท่าหยูเวิ่นหวิน นางจึงแอบหันมองไปรอบ ๆ ก็รู้สึกว่าหมอกนี้ช่างดีเสียจริง หากหนาแน่นขึ้นอีกเล็กน้อยก็จะดียิ่งกว่านี้

นางโอบรอบคอของฟู่เสี่ยวกวน เขย่งปลายเท้าและประทับลงไปทั้งอย่างนั้น แต่เร่าร้อนยิ่งกว่าหยูเวิ่นหวินเสียอีก เช่นเดียวกับครั้งแรกในคืนวันฝนตกที่แม่น้ำฉินหวาย

“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าก็เป็นของพวกข้าทั้งสองแล้ว อย่าได้ไปหาเศษหาเลยที่ข้างนอกนั่นเชียว” หยูเวิ่นหวินจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง หลังจากนั้นก็หัวเราะคิกคัก

“ข้าสัญญา ! ”

“เจ้าไปเถอะ จำไว้ว่าพวกข้ารอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงนี้ก็พอ” ต่งชูหลานกล่าวอย่างแผ่วเบา

“อือ พวกเจ้าก็กลับไปได้แล้ว น้ำค้างแรงยิ่ง หากรับเอาความเย็นไปมาก ๆ อาจจะทำให้ไม่สบายขึ้นมาได้”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปทางรถม้า หันหลังกลับมาโบกมือ และขึ้นรถม้าไป รถม้าทั้งสามคันขับเข้าไปในสายหมอกอย่างเชื่องช้า และเลือนหายไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา

“ชูหลาน ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าในอกนั้นมันวูบโหวง ? ”

“เพราะ… ในใจของเจ้ามีเขาเข้าไปเติมเต็มแล้ว”

“นี่คือความรักเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ต่งชูหลานพยักหน้า และเอ่ยพึมพำ “ใช่ นี่แหละคือความรัก”

เบญจมาศป่าข้างทางเบ่งบาน ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาของต่งชูหลานเห็นมันปลิวไปตามสายลมยามเช้า ช่างงดงามและแข็งแกร่ง

……

…..

ฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งอยู่บนรถม้ากำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย

เขารู้สึกว่าตนเองนั้นโชคดี ชาติที่แล้วมิเคยมีความรักมาก่อน ในชาตินี้จึงเพิ่มมาให้เขาถึงสองคน ทั้งยังเป็นสตรีที่งดงามและอ่อนโยนถึงเพียงนี้

นี่คือสิ่งที่ควรค่าให้เขาหวงแหนและปกป้อง ดังนั้นการเดินทางไปซีซานจึงเร่งรัดยิ่งขึ้น

กองกำลังมากมายในเมืองหลวงต่างเกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อน ขยับเพียงหนึ่งแต่สั่นสะเทือนกันไปถ้วนหน้า หากในมือของตนเองไร้อำนาจ เยี่ยงนั้นตระกูลฟู่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกพายุลูกใหญ่ฉีกเป็นชิ้น ๆ อยู่ตลอดเวลา

ในฐานะที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุคคลสองโลก เขามิเคยมอบชีวิตของตนเองให้ใครหน้าไหนมาควบคุม แม้แต่ฝ่าบาทเองก็ยังมิได้ !

เขาหันออกไปมองทัศนียภาพด้านนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยหมอก นึกไปถึงรสสัมผัสของริมฝีปากสีแดงชาด ใบหน้าพลันทอประกายมุ่งมั่นขึ้นเรื่อย ๆ

ซูม่อและเขาอยู่ในรถคันเดียวกัน เขามองใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทราบได้ว่าจิตใจของคนผู้นี้กำลังมีความคิดอีกมากมายอยู่เป็นแน่

เขาชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนจากก้นบึ้งหัวใจของเขา อายุเพียงเท่านี้แต่มีจิตใจที่มุ่งมั่น วางแผนเกินมนุษย์ หมากที่วางไว้คนธรรมดามิอาจตามได้ทัน แต่มิรู้ว่าภาพที่เขาได้วางเอาไว้แท้จริงแล้วเป็นเช่นไรกันแน่

ต้นเดือนสิบเอ็ดวันที่ห้า ฟู่เสี่ยวกวนได้ออกมาจากตำหนักขององค์ชายห้า เหตุผลคือจวนที่ทะเลสาบซวนอู่ซ่อมเสร็จแล้วจึงไม่ขอรบกวนต่อ แต่ความจริงก็คือไป๋ยู่เหลียนได้มาถึงเมืองหลวงแล้ว

วันเดียวกันกับที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลักพาตัว ในยามที่ซูม่อกำลังพาฟู่เสี่ยวกวนกลับโรงเตี๊ยม ฟู่เสี่ยวกวนก็กล่าวถึงนามหนึ่งกับเขา คืนนั้นเขาจึงไปที่หอเยียนจือ และลักพาตัวหญิงสาวนามหลินหงผู้นั้นกลับมาที่จวนฟู่โดยมิให้รู้ตัว

ไป๋ยู่เหลียนมิได้มาเมืองหลวงเพียงลำพัง ด้านนอกเมืองมีศพอีกห้าร้อยศพที่ไป๋ยู่เหลียนนำกลับมาด้วย หลินหงถูกไป๋ยู่เหลียนพาไป ในยามนี้ไป๋ยู่เหลียนและศพอีกห้าร้อยร่างกำลังอยู่บนเรือสำเภาลำหนึ่งที่มุ่งตรงไปยังหลินเจียง รอเพื่อจะได้พบกับพวกเขาในวันนี้

มิมีผู้ใดรู้ว่าบนเรือสำเภานั้นมีศพห้าร้อยร่างซ่อนอยู่ซึ่งเป็นของฟู่เสี่ยวกวน ซูม่อค่อนข้างคาดหวัง หากมีผู้ใดต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางกลับ… เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเสียเล็กน้อย