บทที่ 205 บทลงโทษของตระกูลหลิว[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 205 บทลงโทษของตระกูลหลิว[รีไรท์]

ฉู่ชวิ๋นดูเหมือนหัวเราะอยู่ก็จริง แต่ความจริงแล้วเขากำลังรู้สึกโกรธแค้นและเศร้าหมองเป็นที่สุด

เมื่อคิดว่าพ่อแม่ของเขาเคยถูกคุมขัง ตัวเขาเองต้องติดคุกแถมตอนนี้ฮวาชิงหวู่ก็กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ชายหนุ่มหยุดความโกรธแค้นของตัวเองไม่ได้แล้ว

“ฉู่ชวิ๋น ถ้าพวกเราตายกันหมด ตระกูลหลิวจะต้องล่มสลายแน่ ๆ พวกเรามีแต่ต้องให้อภัยกันและกันเท่านั้น” หลิวจื้อไจ้พูดไปก็ร้องไห้ไป

“แกไม่สมควรพูดประโยคนี้ ฉันถามแกว่าก่อนหน้านี้ แกเคยคิดนับญาติกับพวกเราบ้างไหม ?” ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ฆ่าพวกเราไปจะมีประโยชน์อะไร ? ถ้าไว้ชีวิตพวกเรา มันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวแกเองในอนาคตนะ” หลิวจื้อไจ้พูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ ดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง

ฉู่ชวิ๋นหันไปมองหน้าชายชราด้วยสายตาเย็นเยียบหลังจากนั้นเขาก็พูดว่า “หลิวจื้อไจ้ แกกำลังกลัวตายสินะ ?”

หลิวจื้อไจ้ก้มหน้า ดวงตาเป็นประกายชั่วร้าย ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “ฉู่ชวิ๋น แกดูถูกฉันมากเกินไปแล้วนะ มีชีวิตอยู่แล้วทำไม คนอย่างฉันไม่รู้จักคำว่ากลัวตาย”

“จริงเหรอ ?” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะและโคจรพลังลมปราณ มวลอากาศสั่นไหว ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่หายใจลำบากในพริบตา

“ในเมื่อไม่กลัวตาย ก็จงตายไปเถอะ!” พูดจบ ฉู่ชวิ๋นก็ยิงพลังลมปราณออกจากฝ่ามือ ก่อเกิดเป็นมวลพลังรูปฝ่ามือขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศน่าหวาดกลัว

พรึบ

ทุกคนตกตะลึง หลิวจื้อไจ้ทรุดลงคุกเข่าและส่งเสียงกรีดร้อง

“ไม่นะ….ไม่….ให้อภัยฉันด้วย อย่าฆ่าฉันเลยนะ…”

หลิวหรานมีดวงตาหมองหม่น ก่อนหน้านี้เธอคิดมาตลอดว่า หลิวจื้อไจ้เป็นคนแข็งแกร่ง จึงอดรู้สึกอนาถใจไม่ได้เมื่อตระกูลหลิวมีสภาพเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบันในขณะนี้ หลิวจื้อไจ้กำลังร่ำร้องอ้อนวอนอย่างไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรอีกแล้ว

พลังลมปราณรูปฝ่ามือหล่นลงมากระแทกพื้นห่างออกไปจากชายชราเล็กน้อย

เปรี๊ยะ!

พื้นห้องเกิดรอยแตกร้าว เศษดินเศษหินกระจายไปทั่ว ไม่ว่ามองไปทางไหนก็จะเห็นรอยแตกร้าวเต็มไปหมด

“ไหนบอกว่าไม่กลัวตายไงล่ะ ? ความกล้าหาญของแกหายไปไหนหมดแล้ว ? หลิวจื้อไจ้ แกมันน่าขยะแขยง จริง ๆ การฆ่าแกมันทำให้ฉันรู้สึกว่า ตัวเองสกปรกเหลือเกิน จำเอาไว้ว่า ถ้าไม่อยากตาย ก็อย่าอวดดีว่าตัวเองไม่กลัวตายเด็ดขาด” ฉู่ชวิ๋นพูดกับหลิวจื้อไจ้ด้วยความเกลียดชังเป็นอย่างยิ่ง

“พ่อ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้” หลิวไป๋เฟิงหันไปมองหลิวจื้อไจ้ ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น พ่อของเขาไม่เหลือเรี่ยวแรงตอบอะไรกลับมาอีกแล้ว

“อย่าทำตัวขี้ขลาดแบบนี้สิครับ พ่อต้องลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้” หลิวไป๋เฟิงคำราม “ฉู่ชวิ๋น เก่งจริงก็ฆ่าพ่อฉันสิแล้วค่อยมาฆ่าฉัน”

ฉู่ชวิ๋นมองด้วยแววตาเย็นชาและตอบว่า “ถ้าแกอยากตายนัก เดี๋ยวฉันจัดให้” พูดพร้อมกับหมุนมือเรียกพลัง

“เข้ามาเลยสิวะ ไอ้ชาติหมา ฆ่าฉันให้ตายเลย” หลิวไป๋เฟิง ตะโกน ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายระยิบระยับ

“เสี่ยวชวิ๋น แม่มีอะไรอยากจะถามเขาสักหน่อย” ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนี้เอง หลิวหรานพลันพูดออกมา

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าในความเงียบ สลายพลังลมปราณทิ้งไป ก่อนที่จะเดินหลบไปด้านข้าง หลิวหรานเดินเข้าไปหาหลิวจื้อไจ้ แล้วพูดว่า ”ลุกขึ้นมาเถอะค่ะ”

หลิวจื้อไจ้ตกตะลึงไปไม่น้อย รู้สึกอับอายขายหน้าเกินกว่าที่จะคุกเข่าได้อีกต่อไปแล้ว จึงรีบลุกขึ้นยืนทันที หลังจากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “เสี่ยวหราน ช่วยบอกฉู่ชวิ๋นหน่อยสิว่าพ่อสำนึกผิดแล้ว ตระกูลหลิวได้รับบทลงโทษที่สาสมแล้ว บอกให้เขาช่วยปล่อยตัวพวกเราไปด้วยนะ” หลิวหรานมีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาแล้ว เธอเคยฝันมาตลอดว่า จะได้มีโอกาสพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับหลิวจื้อไจ้อย่างนี้มานานแล้ว

เมื่อก่อน เธอได้แต่แอบมองพ่อตัวเองจากที่ไกลตา ตอนนี้เมื่อมีโอกาสได้อยู่ตรงหน้ากันและกัน หลิวหรานกลับรู้สึกอยากอาเจียน ชายชราคนนี้ไม่มีค่ามากพอที่จะเป็นสามีของแม่เธอ รวมถึงเป็นพ่อของเธอด้วย

“ฉันอยากถามคุณว่าทำไมคุณถึงได้ใจดำขนาดนั้น ไม่ว่าพวกเราแม่ลูกขอร้องสักแค่ไหน คุณก็ไม่เคยสนใจ แล้วในคืนนั้นที่ฝนตกหนัก คุณนอนหลับสบายดีหรือเปล่า ?”

“ฉัน…” หลิวจื้อไจ้พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

“ฮ่า ๆ …” หลิวไป๋เฟิงพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา และตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “พ่อฉันต้องนอนหลับสบายอยู่แล้ว”

“หุบปากเดี๋ยวนี้” หลิวจื้อไจ้คำราม

หลิวไป๋เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่า “หลิวหราน เธอไม่รู้ความจริงอะไรซะแล้ว เขาเป็นคนที่กุมอำนาจอยู่ในมือ ถ้ายอมรับตัวเธอเข้ามา พ่อฉันก็ต้องสูญเสียตำแหน่งหัวหน้าตระกูลไป เธอควรดีใจนะที่ยังมีชีวิตอยู่คิดหรือว่า นอกจากเธอแล้วเขาไม่เคยไปไข่ทิ้งไว้ที่ไหนอีก ? คนอื่นที่เป็นลูกเขา พ่อฉันสั่งฆ่าตายไปหมดแล้ว…”

“หุบปากไปเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ยินหรือไง…” หลิวจื้อไจ้ตวาดด้วยน้ำเสียงดุร้าย

หลิวหรานถึงกับพูดอะไรไม่ออก ลําไส้บิดตัวด้วยความปั่นป่วน ความโกรธแค้นพุ่งทะยานถึงขีดสุด

สมาชิกตระกูลหลิวคนอื่น ๆ ก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน ถ้าสิ่งที่หลิวไป๋เฟิงพูดเป็นความจริง ก็ถือว่าหลิวจื้อไจ้เป็นคนที่ชั่วร้ายเกินไปแล้ว

“แกทำแบบนี้ทำไม ?” หลิวจื้อไจ้คำราม ในขณะที่หันไปมองหน้าหลิวไป๋เฟิง

“ยังมีหน้ามาถามอีกหรือว่าทำไม ?” หลิวไป๋เฟิงตอบด้วยสีหน้าคับแค้นใจ

“แม่ผมตายยังไง ? พ่อคิดว่าตัวเองทำได้แนบเนียนแล้วหรือ ?”

“แกรู้ได้ยังไง ?” หลิวจื้อไจ้ถามด้วยความตกตะลึง

“ตอนนั้น ตระกูลของแม่ผมก็มีอำนาจไม่แพ้ตระกูลหลิว พ่อก็เลยใช้คำพูดอ่อนหวาน ผสมกับวางยา ทำให้แม่ต้องแต่งงานกับพ่ออย่างเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายพ่อก็ได้ขึ้นมาอยู่ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลจริง ๆ แต่พวกคุณรู้อะไรไหม ? เมื่อเขาได้นั่งบัลลังก์หัวหน้าตระกูลแล้ว พ่อกลับเห็นว่าแม่ขวางหูขวางตาและกลัวว่าแม่จะรู้มากเกินไป พ่อก็เลยส่งคนไปลอบฆ่าแม่ ใช่ไหมล่ะ ?” หลิวไป๋เฟิงคำรามเสียงดังในขณะที่จ้องมองหลิวจื้อไจ้ด้วยสายตาแห่งความเกลียดชัง

“เหลวไหล… “ หลิวจื้อไจ้ปฏิเสธด้วยความร้อนรน

“พ่อนั่นแหละเหลวไหล กล้าแม้กระทั่งลอบทำร้ายหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ยังมีเรื่องอะไรที่พ่อไม่กล้าทำอีกบ้าง ?”

หลิวไป๋เฟิงเสียสติไปแล้วจริง ๆ เขาคิดว่า ตนเองกำลังจะต้องตายแน่นอน จึงได้กล้าพูดทุกอย่างออกมาอย่างนี้

หลังจากที่หลิวไป๋เฟิงพูดประโยคนี้ออกมา สมาชิกตระกูลหลิวก็หวาดกลัวแทบตายแล้ว ทุกคนรู้สึกขาอ่อนเหมือนกับจะล้มทั้งยืน

ความผิดในการพยายามลอบสังหารผู้บัญชาการทหารสูงสุด เทียบเท่ากับการกบฏสวรรค์ ถ้าเป็นความจริงสมาชิกตระกูลหลิวทุกคนจะต้องถูกนำตัวไปประหาร

“ภาพเสือที่พ่อให้เขาไปมีวิญญาณร้ายจากหวูฉางเฟิง ผู้อาวุโสจากสำนักสวรรค์ฟ้าบรรจุเอาไว้ ภาพวาดภาพนั้นมีวิญญาณเสือร้ายสิงสู่ มันจะคอยกัดกินวิญญาณของคนที่อยู่ใกล้ ๆ ภาพวาดโดยไม่รู้ตัว เมื่อเวลาผ่านไป

นานเข้า ร่างกายของคนคนนั้นก็จะอ่อนแอ สติเลอะเลือน ฟั่นเฟือนและกลายเป็นคนบ้าไปในที่สุด…”

“ไอ้ลูกชั่ว ฉันอุตส่าห์เลี้ยงแกมาเติบโตขนาดนี้ ฉันอุตส่าห์มอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลให้แก แต่ตอนนี้

แกกลับมาพูดจาเหลวไหล และพยายามใส่ร้ายฉันได้ลงคอ”

“อย่ามาตลกน่า ! …” เลือดที่กระอักออกมาจากปากของหลิวไป๋เฟิงกระเด็นเปื้อนใบหน้าหลิวจื้อไจ้

“ผมใส่ร้ายพ่อตรงไหน พ่อร่วมมือกับกลุ่มคนต่างชาติ ขายข้อมูลของพวกเราให้พวกมัน วางแผนลอบสังหารหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง เพื่อแลกเงินก้อนโต ถึงคนอื่นจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่ว่าผมรู้ดีทุกอย่าง…”

“ไอ้ลูกเนรคุณ กูจะฆ่ามึง…” หลิวจื้อไจ้คำรามพร้อมกับเอื้อมมือไปบีบคอหลิวไป๋เฟิง

หลิวไป๋เฟิงถูกเส้นไหมสีขาวรัดพันอยู่แล้ว ในตอนนี้ จึงถูกผู้เป็นพอบีบคอซ้ำเข้าไปจนตาเหลือก

ฉู่ชวิ๋นหรี่ตาลง มองละครน้ำเน่าตรงหน้าด้วยความเศร้า เขาขยับนิ้วมือเล็กน้อย แล้วเส้นไหมสีขาวก็ลอยกลับมา

หลิวไป๋เฟิงเป็นอิสระอีกครั้ง ดวงตาแดงก่ำ ในขณะที่ผลักผู้เป็นพ่อออกไปอย่างแรง

หลิวจื้อไจ้แก่ชราแล้ว เมื่อถูกผลักอย่างแรงขนาดนั้น ร่างจึงกระเด็นไปอย่างช่วยไม่ได้หอบหายใจอย่างหนักหน่วง

หลิวไป๋เฟิงเองก็งอตัวลงและไออย่างรุนแรง ราวกับคันธนูที่ชำรุดเสียหายเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นเขาพยายามจะลุกขึ้นมาแต่แล้ว…..

โผละ!

แจกันใบหนึ่งถูกฟาดลงมาบนศีรษะของเขาอย่างแรง จนแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย หลิวไป๋เฟิงไม่มีโอกาสส่งเสียงร้องออกมาเลยแม้แต่น้อย เขาล้มลงไปนอนจมกองเลือดของตัวเองบนพื้นห้อง  หลิวจื้อไจ้มีสีหน้าเหมือนคนเสียสติ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังถือปากขวดแจกันอยู่ในมือ

“ฉู่ชวิ๋น เรายังคุยกันไม่จบ…”

นายทหารคนหนึ่งรีบเข้าไปดูอาการของหลิวไป๋เฟิงและหันกลับมาส่ายหน้าให้กับฉู่ชวิ๋น เมื่อทุกคนเห็นสัญญาณจากนายทหาร ก็ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อแล้ว

หลิวไป๋เฟิงจัดเป็นยอดคนแห่งยุคสมัย มีความฉลาดเฉลียวและเจ้าเล่ห์หาตัวจับยาก แต่สุดท้ายกลับถูกพ่อตัวเอง เอาแจกันฟาดหัวตายอย่างน่าอนาถ

หลิวหรานถึงกับทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว เธอได้แต่หวาดกลัวความอำมหิตของหลิวจื้อไจ้ ชายชราคนนี้ฆ่าได้ แม้แต่ลูกชายของตัวเอง เรื่องนี้ทำให้หลิวหรานรับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

ทุกคนเริ่มเชื่อในสิ่งที่หลิวไป๋เฟิงพูดก่อนหน้านี้ ตอนแรก ไม่ว่าเป็นใครต่างก็คิดว่าหลิวไป๋เฟิงพูดออกมาด้วยความเสียสติ เนื่องจากสูญเสียลูกชายและครอบครัวกำลังจะล่มสลาย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ทุกสิ่งที่เขาพูดออกมาจะเป็นความจริงเสียแล้ว

“แม้แต่หมามันยังไม่ฆ่าลูกตัวเอง แกนี่มันเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ค่า ลงนรกไปซะเถอะ”

ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยความเกลียดชัง ยกมือขึ้นมาเตรียมซัดพลังใส่หลิวจื้อไจ้ คนแบบนี้อยู่ต่อไปก็รกโลก

“เสี่ยวชวิ๋น…” หลิวหรานส่ายหน้าให้กับบุตรชาย “เขาเป็นคนไม่ดีก็จริง แต่ลูกจะฆ่าเขาไม่ได้ เรื่องนี้ปล่อยให้กฎหมายจัดการเถอะ”

ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วสูงเล็กน้อยในสายตาของเขา ไม่ว่าเขาจะได้ลงมือฆ่าหรือไม่ มันก็ไม่สำคัญเลย แต่ฉู่ชวิ๋นก็รู้ดีว่าแม่เป็นห่วงเรื่องภาพลักษณ์ของเขา จะอย่างไรเขาก็เป็นหลานในสายเลือดของหลิวจื้อไจ้

หลิวหรานกลัวว่า ถ้าบุตรชายของเธอเป็นคนฆ่า หลิวจื้อไจ้ มันจะทำให้ฉู่ชวิ๋นมีภาพลักษณ์ที่เลวร้ายในอนาคต

ในเมื่อหลิวหรานเป็นคนพูดออกมาเอง ฉู่ชวิ๋นก็ทำได้แต่เพียงเชื่อฟังเท่านั้น จะอย่างไรหลิวจื้อไจ้ก็คงต้องตาย

อยู่แล้ว หัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ไม่มีทางปล่อยเขาเอาไว้ให้ลอยนวลแน่ ๆ

สมาชิกตระกูลหลิวคนอื่น ๆ ก็เช่นกันฉู่ชวิ๋นเชื่อว่า ทุกคนได้รับบทลงโทษที่สาสมแล้ว

“พาตัวไปคุมขังและรอรับการพิจารณาคดี!” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่ง

ในห้องโถงใหญ่พลันเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้และอ้อนวอน ขณะที่สมาชิกตระกูลหลิวถูกนายทหารควบคุมตัวไป

พวกของฉู่ชวิ๋นพ่อแม่ลูกยังคงยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่

หลิวหรานกวาดตามองรอบตัว สถานที่แห่งนี่คือบ้านตระกูลหลิว ที่เธอเคยใฝ่ฝันอยากจะเข้ามาตลอด แต่ตอนนี้หลิวหราน ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแม้แต่นาทีเดียว

“เสี่ยวชวิ๋น กลับเมืองกูเจียงกันเถอะ” หลิวหรานว่า

“ไปกันเถอะ เมืองหลวงไม่เห็นน่าอยู่เลย จ้างให้ฉันก็ไม่มาอีกแล้ว” ฉู่เทียนเหอถอนหายใจออกมาแล้ว

ตั้งแต่ไหนแต่ไร คฤหาสน์หลังนี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวนเย้ายวนใจ ถนนเบื้องหน้าก็มีรถจอดอยู่มากมาย

มีผู้คนเดินเข้าเดินออกตลอดทั้งวัน แต่บัดนี้ สิ่งเหล่านั้นไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว

ตระกูลหลิวที่รุ่งเรืองมาหลายร้อยปี ถึงคราวล่มสลายลงไปแล้วจริง ๆ !!!