บทที่ 239 ก้าวสู่สรวงสวรรค์

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 239 ก้าวสู่สรวงสวรรค์

สิ่งที่ใช้ในการขึ้นสู่บันไดแห่งสรวงสวรรค์นั้นไม่ได้ต่างไปจากการเดินขึ้นเขาทั่วไป

เฉินเฉียงไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อก้าวขึ้นไปในสองขั้นแรก

เอาจริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้จะก้าวขึ้นไปเมื่อถึงห้าขั้นแรก

ด้วยการที่เฉินเฉียงในตอนนี้เปิดจุดชีพจรลับจนถึงจุดที่สิบเก้า หรือก็คือเขานั้นเป็นนายพลวิญญาณขั้นกลาง นี่ทำให้เขานั้นสามารถรู้สึกสบายๆเมื่อเดินขึ้นไปในไม่กี่ก้าวแรก อย่างไม่รู้สึกรู้สา

แต่เพียงหลังจากก้าวขึ้นไปถึงขั้นที่ยี่สิบ เขาเองก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง เขาเริ่มอ่อนล้าในตอนนี้

เฉินเฉียงหยุดพักหายใจครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มเดินขึ้นไปต่อ

เวลาล่วงเลยไป เฉินเฉียงเดินไปถึงขั้นที่หกสิบ เขาได้จ้องมองไปที่มีทั้งมือและเท้าทั้งสองข้างของตนเอง

ในขณะเดียวกัน มีผู้คนและสัตว์ประหลาดมากมายที่ยอมแพ้ต่อการเดินขึ้นสู่สรวงสวรรค์นี้ไม่คิดจะไปต่อ

“เฮ้อ ดูเหมือนว่าข้านั้นจะขาดความแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ หากว่าข้านั้นเปิดจุดชีพจรลับได้อีกสักนิดหน่อยคงจะพอที่จะทำให้ข้านั้นไปถึงยอดได้ สงสัยต้องติดตามคนที่ขึ้นไปถึงแทนแล้วกระมังเพื่อจะได้ส่วนแบ่งกับเขาบ้าง”

“ลูกพี่ โอกาสนี้คงไม่ใช่ของพวกเราจริงๆ ท่านก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าไอ้พวกที่ไปถึงได้นั่นอย่างน้อยๆก็ต้องอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงไปแล้ว”

“เราน่ะยังดีที่เดินขึ้นไปถึงขั้นที่สามร้อย ดูไอ้หมอนั่นสิ แค่ขั้นที่หกสิบก็ถึงกับเหงื่อท่วมชโลมกายแล้ว”

เมื่อชายคนแรกได้ยินอย่างนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมา

“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็จริง พวกเราไม่ได้แย่ซะทีเดียว แม้แต่พวกมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีปีก อย่างมากก็ขึ้นไปได้อีกแค่เจ็ดสิบเมตรเพียงเท่านั้น พ่อคนนี้ขนาดเป็นถึงนายพลวิญญาณขั้นสูงยังทำได้เพียงเท่านี้ แล้วไอ้พวกลูกเจี๊ยบแบบนี้จะไปได้อีกสักเท่าไหร่”

“ไอ้หนู ข้าว่าเจ้านั้นรีบๆล้มเลิกซะดีกว่า คนอ่อนแอจะต้องไปอายตัวเองทำไม”

“ข้าถึงบอกไงว่าโลกใบนี้มันตรงไปตรงมา ถึงแม้ความแข็งแกร่งของหมอนี่จะไม่ได้เลวร้าย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบันไดสู่สรวงสวรรค์แล้ว ความสามารถไม่ได้ต่างไปจากนายพลวิญญาณแม้แต่น้อย”

เม่ยหลัวหลันและคนอื่นๆที่ได้ลงไปก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะเห็นเฉินเฉียงอยู่เกือบลิบตา แต่ก็ยังเห็นว่าเป็นเขาอยู่ดี นี่ทำให้พวกเขาต่างมองหน้ากันในทันที

“กัปตันเป็นอะไรรึเปล่า ขนาดพวกเรายังเดินขึ้นไปได้ถึงสองร้ายก้าวเป็นอย่างน้อยเลยนะ แล้วกัปตันจะเดินขึ้นไปแค่หกสิบก้าวแล้วเหนื่อยแบบนี้ได้ยังไง”

“นั่นสิ ยังไงซะกัปตันก็อยู่ในระดับเดียวกับพวกเรานะ เขาก็ควรจะได้ไม่น้อยไปกว่าเราสิ”

ในสายตาของคนในกองกำลังเทียนเว่ยแล้วเฉินเฉียงคือนักรบระดับนายพลวิญญาณที่ไม่ธรรมดา นั่นก็เพราะตัวเขานั้นสามารถเข่นฆ่าศัตรูที่อยู่ในระดับสูงกว่าอย่างนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงได้อย่างง่ายดาย เรียกได้ว่าพลังของเขานั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเจิ้งยี่และจางหยวนเลยแม้แต่น้อย

แต่ทั้งเจิ้งยี่และจางหยวนนั้นเดินขึ้นไปถึงขั้นที่สี่ร้อยก็ยังไม่มีท่าทีที่จะเหนื่อยเลยสักนิด แล้วทำไมเฉินเฉียงถึงเป็นเช่นนั้นกัน

“ลูกแมวน้อย(เม่ยหลัวหลัน) ข้าว่าพวกเราควรจะไปดูว่ากัปตันเป็นอะไรรึเปล่าดีไหม หรือว่าเจ้าจะลองไปดูก่อน”

“ไม่ได้”

หนอนหนังสือหลู่จี้ได้หยุดม่อโชวในทันที “พวกเราจะทำให้คนอื่นเห็นความสัมพันธ์ของพวกเรากับกัปตันไม่ได้เป็นอันขาด”

“อีกอย่างหนึ่งคือนี่อาจเป็นหนึ่งในโชคชะตาก็เป็นได้ เจ้าสังเกตรึเปล่าว่ากัปตันยังไม่ได้ใช้พลังงานสายเลือดน่ะ”

“หากข้าเข้าใจไม่ผิด กัปตันไปถึงขั้นนั้นได้โดยไม่ใช่พลังสายเลือดเลยแม้แต่น้อย กัปตันต้องการใช้เพียงแรงกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”

เมื่อได้ยินหลู่จี้อธิบาย เม่ยหลัวหลันและคนอื่นๆก็สัมผัสได้ว่าเฉินเฉียงไม่ได้ใช้พลังสายเลือดเคลือบร่างกายเพื่อเสริมแรง

การที่ก้าวขึ้นไปถึงขั้นที่หกสิบนั้นด้วยร่างกายเพรียวๆนี้หากใครรู้ก็ย่อมตกตะลึง

ความสามารถในการสังเกตของหลู่จี้นี้แข็งแกร่งนัก

ก่อนที่เฉินเฉียงจะเริ่มก้าวขึ้นสู่บันไดสู่สรวงสวรรค์นั้น เฉินเฉียงก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ใช้พลังสายเลือดในช่วงแรก

นั่นก็เพราะเขาสังเกตเห็นแล้วว่าบันไดสู่สรวงสวรรค์แห่งนี้นั้นเหมาะอย่างมากที่จะใช้ทดสอบร่างกายของผู้คน

เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ เขาย่อมต้องใช้โอกาสนี้ในการทดสอบร่างกายของตน

หลังจากหยุดพักและใช้ระบบของเขาฟื้นฟูร่างกาย ตอนนี้เฉินเฉียงได้จ่ายค่าพลังงานมากมายในการเพิ่มค่าสมรรถนะร่างกายพื้นฐาน

แน่นอนว่าค่าส่วนใหญ่ที่เขาเพิ่มนั้นคือค่าความแข็งแกร่งของร่างกาย

ถึงแม้จะมีผู้คนพูดเยาะเย้ยถากถางในตัวเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เฉินเฉียงก็ไม่ได้แยแส เขาปาดเหงื่ออีกครั้งก่อนที่จะก้าวขึ้นไปต่อ

หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง เฉินเฉียงก็ได้ก้าวขึ้นสู่ขั้นที่เก้าสิบสี่

ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะมาถึงขีดจำกัดอีกครั้ง ทุกส่วนในร่างของเขาสั่นระรัว เขาพยายามจะก้าวขึ้นไปที่ขั้นที่เก้าสิบห้าแต่ก็ไม่อาจก้าวผ่านได้

เฉินเฉียงที่ในตอนนี้กำลังนั่งลงอยู่บนขั้นที่เก้าสิบสี่ เขาได้เปิดค่าสถานะของเขาขึ้นมาดู และก็พบว่าค่าสถานะของเขาในตอนนี้เพิ่มค่าความอดทน 1 ความแข็งแกร่ง 1 ความว่องไว 1 พลังจิต 34

หลังจากผ่านไปครึ่งวันที่แสนยากลำบาก ดูเหมือนว่าร่างกายของเฉินเฉียงจะมีถึงขีดสุดในตอนนี้

“เอ๋ นั่นนายพลทักษะพิเศษที่พวกเราได้พบมาก่อนหน้านี้นี่ ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่าเขานั้นเป็นใต้อาณัติของราชาองค์ใด ทำไมถึงได้สร้างความน่าอับอายให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์ของเรานัก”

“เขาเหนื่อยจนราวกับหมาหอบแดกแบบนี้ก่อนที่จะถึงขั้นที่ร้อยอีกเนี่ยนะ”

“ฮี่ฮี่ฮี่ พี่ชายอาจไม่รู้ แต่ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเขาติดตามหยานเสวี่ยอยู่นะ ในเมื่อนางเป็นคนของราชาสวรรค์ คนคนนี้สมควรจะเป็นคนใต้อาณัติของราชาสวรรค์เช่นเดียวกัน ”

“ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้ราชาสวรรค์จะยิ่งตกต่ำลงนะนั่น ในตอนนี้มีคนใต้อาณัติเหลือเพียงแค่สองคน แล้วหนึ่งในสองยังนอนพังพาบเสียแต่ตรงนี้”

เมื่อได้ยินคำพูดของมนุษย์กลายพันธุ์ตรงหน้าสองคนที่พูดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เฉินเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเคืองขึ้นมา

“ฮี่ฮี่ฮี่ ไอ้ตัวโง่งมสองตนนี่ยังมีหน้ามาแขวะชาวบ้านอีกเหรอ ในสายตาของข้านั้นพวกเจ้ายังเทียบไม่ได้กับสัตว์ประหลาดที่ข้าได้พบเจอก่อนหน้านี้ หากเจ้าบอกว่าข้าผู้นี้แย่จนต้องนอนพังพาบ พวกเจ้าก็ไม่ได้ต่างไปจากขยะริมทางล่ะนะ”

เมื่อทั้งสองได้ยินคำพูดของเฉินเฉียง เสียงหัวเราะของทั้งสองก็ได้หยุดลง ก่อนที่จะชี้ไปที่เฉินเฉียงแล้วตวาดออกมา “ไอ้เด็กเวร ไหนเจ้าลองพูดออกมาอีกครั้งสิวะ”

เฉินเฉียงได้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายแล้วตะเบ็งเสียงออกไปอย่างสุดแรงแต่บางเบา “ขยะ ไม่พวกเจ้านั้นแม้แต่เศษขยะยังมีค่าเสียยิ่งกว่า”

“รน หา ที่ ตาย” นายพลทักษะพิเศษคนหนึ่งได้โกรธจัดจนตวาดออกมา ก่อนที่จะเดินก้าวเข้าหาเฉินเฉียง

ถึงแม้ในตอนนี้เฉินเฉียงจะนอนพังพาบอย่างหมดแรงแล้ว แม้ดวงตาของเขาจะเลื่อนลอยราวกับหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อนเลยสักนิด เอาจริงๆในตอนนี้เขาได้แต่มองเท้าของอีกฝ่ายมาตั้งแต่ต้นยังไม่เห็นหน้าค่าตาเลยด้วยซ้ำ

“พี่ชาย อย่า”

คนที่อยู่ข้างๆพยายามจะหยุดเขาในทันที

แต่ก็สายเกินไป

บอลสายฟ้าที่ปล่อยเสียงเปรี๊ยะจนได้ยินลอยอยู่บนอากาศ เพียงชั่วพริบตา นายพลวิญญาณที่ทำตัวยโสโอหังก็ไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นผงได้กองลงกับพื้น

เฉินเฉียงหัวเราะอย่างดังลั่นในทันที

เป็นตอนนี้ที่มนุษย์กลายพันธุ์อีกตนที่อยู่ข้างๆได้มองเฉินเฉียงด้วยสายตาที่ราวจะลุกไหม้ได้ และพร้อมที่จะกินเลือดกินเนื้อเฉินเฉียงในทันที

“มาสิวะ อยากจะกัดข้าก็มา”

เฉินเฉียงได้ยื่นคอไปให้นายพลทักษะพิเศษตนนี้ในทันทีพร้อมกับพูดท้าทาย

เส้นเลือดบนหน้าผากนายพลทักษะพิเศษตนนี้เมื่อได้ยินก็ปูดโปน แต่ท้ายที่สุด มันก็ทำได้เพียงสบถออกมาแล้วเดินจากไป

“เหอะ”

เฉินเฉียงสบถออกมาทีหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนค่าพลังงานของเขาเพิ่มข้าสถานะความแข็งแกร่งทางร่างกายอีกครั้ง ก่อนที่จะยืนขึ้นแล้วเดินต่อไป

เม่ยหลัวหลันและพวกที่เห็นก็ตื่นเต้นยินดีในทันทีเมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงนั้นกลับมามีแรงแล้วเดินต่อไปได้อีกครั้ง พวกเธอมองหน้ากันก่อนที่จะจับจ้องเฉินเฉียงต่อไป

นายพลทักษะพิเศษก่อนหน้านี้เองผู้ซึ่งเดินลงมาแล้วก็ได้คิดจะหันไปมองเฉินเฉียงเพื่อที่จะส่งสายตาอาฆาตอีกครั้งก่อนที่จะลับตาไปก็ต้องประหลาดใจในทันที นั่นก็เพราะมันได้เห็นว่าเฉินเฉียงกลับมีแรงอีกครั้ง นี่ทำให้มันกลับกลายเป็นรู้สึกเศร้าเสียใจในทันที

“พี่ชาย ท่านตายอย่างน่าอนาถนัก”

เฉินเฉียงเองก็ได้หันไปเหลียวมองนายพลทักษะพิเศษผู้หลงเหลือแล้วพูดออกมาเบาๆ “งี่เง่า”

หลังจากนั้นเฉินเฉียงก็ได้เดินขึ้นไปต่อ

หลังจากผ่านไปอีกครึ่งวัน เฉินเฉียงที่เดินถึงขั้นที่หนึ่งร้อยสามสิบก็ได้หมดแรงอีกครั้ง

เฉินเฉียงได้นั่งลงและมองไปที่แก่นวิญญาณสองก้อนที่พึ่งเอาออกมา เขาวางมันไว้ที่มือขวา เพื่อเปลี่ยนพวกมันเป็นค่าพลังงาน

เจ้าของระบบ: เฉินเฉียง
ระดับ: นักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง
การหลอมรวมทักษะ: 1
การคัดเลือกทักษะ : 7
ค่าพลังงาน:9,940,300
ค่าการใช้ประโยชน์:1
ค่าความอดทน:389
ค่าความแข็งแกร่ง:422
ค่าความเร็ว:368
ค่าพลังจิต:758

แก่นวิญญาณที่เขาถึงจะใช้ไปนั้นมีค่ามากกว่าชิ้นที่เว่ยหยวนตี้มอบให้เขาอย่างมาก ค่าพลังงานที่เขาแปรเปลี่ยนมาได้นั้นมากมายมหาศาล เพียงแก่นวิญญาณสองก้อนนี้ให้พลังมากกว่าเดิมถึงพันเท่า

ยิ่งไปกว่านั้นคือ หลังจากที่เขาเหนื่อยจนหมดแรงไปแล้วสองรอบ ค่าความอดทน และค่าความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก

เฉินเฉียงนั้นพึงพอใจอย่างมากกับผลลัพธ์นี้ และนี่ทำให้เขานั้นคิดจะใช้พลังกายของเขาล้วนๆในการเดินขึ้นบันไดสู่สรวงสวรรค์นี้ต่อไป

บางครั้ง เฉินเฉียงยังคิดด้วยซ้ำว่าเหตุผลที่บันไดแห่งสรวงสวรรค์มาตั้งอยู่ที่นี่นั้นมีจุดประสงค์เพื่อฝึกฝนนักรบของสามเผ่าพันธุ์

อย่างไรก็ตาม หยานเสวี่ยนั้นได้พูดออกมาก่อนหน้านี้ว่ามีสมบัติล้ำค่าอยู่ที่ปลายบันไดสู่สรวงสวรรค์ แต่ประเด็นคือมันเป็นสมบัติอะไรกันที่ทำให้ผู้คนที่ขึ้นไปถึงต่างก็เก็บเอาไว้เป็นความลับ ดีไม่ดีที่ไม่มีใครบอกออกมานั้นอาจเป็นไปได้ว่ามันสูงมากจนคิดล้มเลิกไปกลางคัน แล้วไม่กล้าบอกออกมาเสียมากกว่า

หลังจากฟื้นฟูแรงกายแล้ว เฉินเฉียงก็ได้เดินต่อไป

สามชั่วโมงต่อมาเขาเดินถึงขั้นที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบ

หลังจากพักแล้วเดินต่อไปอีกสามชั่วโมง เขาก็เดินไปถึงขั้นที่หนึ่งร้อยเก้าสิบ

หลังจากเดินจนหมดแรงไปอีกสิบกว่ารอบ เมื่อใช้ค่าพลังงานทั้งหมดที่ได้รับมาจากแก่นวิญญาณจนหมดสิ้น เป็นสามวันให้หลังและเฉินเฉียงเดินถึงขั้นที่สองร้อยเก้าสิบ

ระดับขั้นนี้คือระดับขั้นที่เม่ยหลัวหลัน หวังต้าลู่ และหลู่จี้ที่ใช้พลังงานสายเลือดแล้วก็ยังไม่อาจจะมาถึงได้

แต่เฉินเฉียงนั้นกลับใช้เพียงแรงกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นถึงมาถึงระดับขั้นนี้ได้ ถึงจะให้เวลามากไปหน่อยก็ตาม

นี่หมายความว่าหากเขาใช้พลังสายเลือด เขาก็น่าจะมาได้เพียงแค่นี้เช่นเดียวกัน นี่ทำให้เขานิ่งคิดก่อนที่จะเดินขึ้นต่อไป

หลังจากคิดอยู่สักพัก เฉินเฉียงก็ได้นั่งลงและนำแผ่นแก่นพลังงานออกมา เขาวางมันไว้ที่มือซ้ายและดูดซับมัน

ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น ตั้งแต่เขาเข้ามาในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ เฉินเฉียงสามารถเปิดจุดชีพจรลับได้เพียงแค่หนึ่งจุดเท่านั้น และหากจะให้พูดตรงๆแล้ว เขาพึ่งจะดูดซับแก่นคริสตัลไปได้เพียงไม่กี่สิบก้อน

เฉินเฉียงนั้นยังยึดมั่นในคำบอกของราชาสวรรค์ที่เคยแนะนำเขาไว้คือการที่จะไม่เปิดจุดชีพจรนอกซะจากว่าพลังสายเลือดจะเติมจนจุดชีพจรของเขาถึงขีดสุดในทุกๆขั้น ความเป็นจริงแล้วก่อนหน้านี้เขาได้ใช้เพียงแก่นคริสตัลขุนพลระดับสูงสองก้อนเท่านั้นในการเปิด

และในตอนนี้ เมื่อเขาเติมเต็มพลังร่างกายและพลังสายเลือดได้ถึงขีดสุด เขาจึงเลือกที่จะเปิดจุดในตอนนี้

เม่ยหลัวหลันและคนอื่นๆในกองกำลังที่มองเฉินเฉียงอยู่นั้นต่างก็ยอมรับนับถือเฉินเฉียงจากในจริงที่เขาไปถึงจุดนั้นบนบันไดสู่สรวงสวรรค์ได้โดยพลังกายเพียงอย่างเดียว

ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางแบบเดียวกับพวกเขา แต่พลังการต่อสู้ของเฉินเฉียงนั้นกลับไม่ได้ด้อยไปกว่าระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงเลยแม้แต่น้อย นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขานั้นทรงพลังขนาดนี้ก็เป็นได้

และด้วยเหตุนี้ นั่นหมายความว่าเฉินเฉียงจึงไม่เคยคิดว่าเม่ยหลัวหลันที่ระดับการบ่มเพาะต่ำใครในกองกำลังจะอ่อนด้อย เพราะว่าเธอนั้นอาศัยเพียงแรงกายและแรงใจเพียงอย่างเดียวในการต่อสู้กับศัตรูในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่หากว่าคิดแบบนี้แล้วล่ะก็ เธอเองก็รู้ซึ้งได้ในทันทีว่าเฉินเฉียงนั้นมีร่างกายที่สูงล้ำไปกว่าเธอมากนัก และแน่นอนว่าสูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว

ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะไม่ได้มีร่างกายกระจ่างจิตแบบเว่ยฉิงเชินที่ไม่มีปัญหาคอขวดในการบรรลุระดับขั้น แต่ด้วยพลังสายเลือดที่ผสมปนเปของเขานั้นแน่นอนว่านั่นทำให้เฉินเฉียงสามารถเปิดจุดชีพจรได้ยากเย็นกว่าคนทั่วไปอย่างมาก

“ดูนั่นสิ กัปตันเริ่มใช้พลังงานสายเลือดแล้วนะ”

เม่ยหลัวหลันได้ชี้ไปที่เฉินเฉียงที่ในตอนนี้กำลังนั่งขัดสมาธิที่ชั้นสองร้อยเก้าสิบและพูดออกมาอย่างตื่นเต้น

“หืม ไม่ใช่ว่ากัปตันของเรามีสายเลือดโลหะหรอกเหรอนั่น แล้วก่อนหน้านี้เขาใช้พลังของพวกปฐพีที่เลิศล้ำได้ยังไง”

“หลัวหลัน นี่เจ้าไม่รู้หรอกเหรอ ข้าได้ยินมาจากกัวเหลียงว่ากัปตันของพวกเรานั้นมีพลังสายเลือดหกสายที่ผสมปนเปอยู่นะ”

“หกสายเรอะ เพราะเจ้า มิน่ากัปตันของเราถึงได้ทรงพลังนัก ถ้าจะให้พูดกันตรงๆแล้วพลังสายเลือดผสมนั้นธรรมดาก็ยากจะบ่มเพาะแล้ว แต่กัปตันของเรานั้นเพียงจะบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็วแล้ว แถมยังแสดงผลลัพธ์ออกมาในการต่อสู้ได้อย่างเลิศล้ำนัก นี่มันช่างน่ามหัศจรรย์พันลึกจริงๆ”

เพื่อการที่จะไม่ให้เป็นที่เตะตามากนัก ก่อนที่เฉินเฉียงจะดูดซับแผ่นแก่นพลังงาน เขาได้กินยาสีสันเข้าไป

ด้วยในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ หากเขานั้นมีพลังสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวย่อมจะทำให้เขานั้นไม่เป็นที่สนใจมากนัก และนี่จะทำให้เขาบ่มเพาะได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไรมาก

หลังจากเติมเต็มจุดชีพจรทั้งสิบเก้าจุดจนเต็มแล้วนั้นทำให้เกราะพลังงานของเขาบังเกิดวงแหวนสีเหลืองขึ้นสิบเก้าวง ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจน

เป็นตอนนี้ที่นายพลทักษะพิเศษสองตนผู้ซึ่งยอมแพ้แล้วได้เดินผ่านเฉินเฉียงที่กำลังนั่งทะลวงจุดไปนั้น ได้เปลี่ยนท่าทางในทันที

“เหอะ ก่อนหน้านี้ที่ข้าเห็นปีกของเขานั้นไม่ว่ามองยังไงก็เป็นระดับเจ็ด ไอ้ข้าก็นึกว่าหมอนี่ต้องอยู่ในระดับนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงช่วงปลายเป็นอย่างน้อยจึงได้หลงเรียกว่านายท่านไป ใครจะไปคิดว่าไอ้เด็กนี้จะเป็นเพียงแค่นายพลวิญญาณขั้นกลางที่เปิดจุดชีพจรลับได้แค่สิบเก้าจุดเพียงเท่านั้น นี่มันก็แค่ถุงทองนี่หว่า(ถุงที่ใส่ทองแต่ข้างในอาจไม่ใช่ทองก็ได้)”

เฉินเฉียงที่กำลังทะลวงจุดนั้นก็ได้เปิดตาขึ้นมาเมื่อได้ยิน ก่อนที่จะกลอกตามองมนุษย์กลายพันธุ์ตรงหน้าอย่างดูถูก ก่อนที่จะดูดซับแผ่นแก่นพลังงานต่อไป

“เฮ้ย นี่แกยังกล้ามองพวกข้าอย่างดูแคลนอีกเรอะ” เมื่อนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงตรงหน้าได้เห็นการกระทำของเฉินเฉียงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหยุดยืนตรงหน้าเฉินเฉียงในทันที

“พี่ชาย อย่าได้ไปหลงกลมัน ก่อนหน้านี้ที่มีคนถูกมันยั่วจนถูกกฎของเขตแดนนี้ลงโทษโดยสายฟ้าลงทัณฑ์มาแล้วนะ”

“ไอ้เด็กเวรนี่มันก็แค่นายพลทักษะพิเศษขั้นกลางเท่านั้น จะพยายามมากมายขนาดไหนก็ไม่มีทางเปิดจุดชีพจรได้ด้วยเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน ไม่งั้นมันก็คงไม่ต้องใช้แผ่นแก่นพลังงานที่ล้ำค่าแบบนี้”

“หากว่าท่านต้องการสั่งสอนมันล่ะก็ คงต้องเป็นในภายภาคหน้าซะแล้วล่ะ”

“แต่คอยดูเถอะว่ายามที่มันได้ออกไปจากทะเลทรายเมื่อไหร่ มันจะได้รู้สำนึก”

และเพียงนายพลทักษะพิเศษตนนี้ได้พูดจบลง เขาก็ได้เห็นว่าเกราะพลังงานของเฉินเฉียงนั้นอยู่ๆก็ได้ปรากฏวงแหวนสีเหลืองวงที่ยี่สิบออกมา

นี่หมายความว่าเฉินเฉียงพึ่งจะเปิดจุดชีพจรจุดที่ยี่สิบไป

นายพลทักษะพิเศษขั้นสูงที่พึ่งบอกไปว่าเฉินเฉียงไม่มีปัญญาเปิดจุดชีพจรได้ในเวลาอันสั้นนั้นกลับเห็นแบบนี้เข้าไปต่อหน้าต่อตาทั้งๆที่ยังไม่พูดจบดี นี่ไม่ได้ต่างไปจากการตบหน้าของมันแม้แต่น้อย และนี่ทำให้มันต้องนิ่งอึ้งไป

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงไม่ได้มีท่าทีแยแสแม้แต่น้อย เขายังคงดูดซับแผ่นแก่นพลังงานพื่อเปิดจุดถัดไป

“อย่าบอกว่าไอ้เด็กนี่จะเปิดจุดชีพจรจุดที่ยี่สิบเอ็ดต่อเลยนะ”

“ฮึ่ม ฝันไปเถอะ นี่แกคิดว่าแกมีร่างกระจ่างจิตที่ไม่มีคอขวดรึไงกัน เหอะ คนอย่างแกเนี่ยนะจะสามารถเปิดจุดชีพจรได้สองจุดในคราวเดียว”

แน่นอนว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้นั้น การเปิดจุดชีพจรของเฉินเฉียงนั้นไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เขานั้นไม่อยากจะเปิดเผยตัวตนมากนัก เขาจึงไม่อยากให้มนุษย์กลายพันธุ์ตรงหน้ามายืนดูเขาอยู่แบบนี้

เฉินเฉียงจึงได้เปิดตาขึ้นช้าๆ ก่อนที่จะมองไปยังนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงตรงหน้า และพูดออกมาเพียงสองคำ “ งี่ เง่า”