บทที่ 189 หนึ่งบทกวีตระหนกถึงสี่

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 189 หนึ่งบทกวีตระหนกถึงสี่
ยามที่ข้าหลวงชิงโจวเอ่ยถาม ขุนนางที่เหลือต่างหยุดบทสนทนาและหยุดดื่มสุรา จ้องมองทางนี้ด้วยรอยยิ้ม

ใหญ่คือใหญ่ เล็กคือเล็ก มีทั้งใหญ่และเล็กคือกระบองทอง…สวีชีอันพูดแขวะขุนนางขั้นสี่ที่เรียกเขาผู้นี้ในใจ แล้วส่งยิ้มกลับ

“ข้าน้อยมิบังอาจถูกเรียกว่าใต้เท้า กลอนบทนั้นข้าน้อยเป็นผู้แต่งเองขอรับ”

โอ้ เป็นเขาจริงด้วย…เหล่าขุนนางทั้งหลายหน้าเปลี่ยนสีในทันใด

ยามที่เพิ่งได้ยินชื่อของสวี่ชีอัน พวกเขาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทว่าก็รู้สึกว่าชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก หลังจากใคร่ครวญครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เป็นเวลานาน ก็พอจะคาดเดาตัวตนของฆ้องทองแดงแปลกประหลาดผู้นี้ได้

จากความแพร่หลายของผลงานชิ้นเอกหลายชิ้นของสวี่ชีอัน แม้วงราชการและเหล่าปัญญาชนจะไม่ได้ตั้งใจเผยแพร่ชื่อเสียงของเขา ทว่าผู้ที่นั่งอยู่ล้วนเป็นขุนนางระดับสูงของเมือง ย่อมมีช่องทางเหมาะๆ ให้สืบหาต้นตอของกวี

มิน่าเล่าหลังจากท่านสมุหเทศาภิบาลได้ยินชื่อนี้ก็รุดมาราวกับโดนไฟจี้ไฟลน

‘ศาลาเหมียนหยางส่งหยางกงสู่ชิงโจว’ แพร่หลายไปทั่วประเทศมานานแล้ว ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้เพิ่งจะได้เป็นขุนนางก็มีผลงานเอกชิ้นนี้เบิกทางขึ้นเป็นผู้นำ เรียกได้ว่าใช้ประโยชน์จากความสามัคคีของผู้คนอย่างเต็มที่ทีเดียว

ทั้งหมดนี้ล้วนยกให้ฆ้องทองแดงนามว่าสวี่ชีอันตรงหน้าผู้นี้

“เลื่อมใสชื่อเสียงมาเนิ่นนาน ภาพลักษณ์ภูมิฐาน โดดเด่นท่ามกลางหมู่ชน”

ข้าหลวงชิงโจวหัวเราะชอบใจ เอ่ยคำเยินยอด้วยท่าทีเปิดเผยไร้เล่ห์เหลี่ยม ฝีมือการยกยออยู่ในระดับสูงสุดยอด

ชมกันเกินไปแล้วๆ…ไม่เพียงโดดเด่นท่ามกลางหมู่ชน ยังโดดเด่นท่ามกลางหมู่ยอดคนอีกด้วย สวี่ชีอันต้องจำใจยอมรับ หากเปลี่ยนตำแหน่งตนจะกลายเป็นจุดสนใจ เช่นนั้นงานเลี้ยงของเหล่าขุนนางอันน่ารังเกียจก็จะมีชีวิตชีวาน่าสนใจขึ้นในทันที พลางคิดว่าจะดีสักเพียงใดหากยืดเวลาออกไปได้ตลอด

เมื่อข้าหลวงชิงโจวดื่มสุราหมดก็ชายตามองหยางกงสมุหเทศาภิบาลที่อยู่หัวโต๊ะ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้มีฝีไม้ลายมือชั้นยอดคนนี้ บัดนี้สลัดภาพขุนนางบ้าอำนาจที่น่าอึดอัดออก ท่าทางผ่อนคลายขึ้น

วินาทีนี้ข้าหลวงชิงโจวพลันนึกถึงแผ่นจารึกเตือนใจที่น่าปวดหัวขึ้นมา อันที่จริงการแต่งบทกวีเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เรียบง่ายสะดุดตา เบิกทางสว่างให้ตระหนักคิดได้

เพียงแต่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการประพันธ์หาได้ยาก จึงปัดตกความคิดนี้ แต่ตอนนี้ต่างออกไป สวี่ชีอันมาถึงแล้ว

มาได้ถูกจังหวะพอดี

‘สวี่ชีอันผู้นี้มีพรสวรรค์ด้านการประพันธ์มากทีเดียว…ท่านสมุหเทศาภิบาลกลุ้มใจกับอักษรจารึกอยู่พอดี แม้แต่พวกเราต่างก็ปวดหัวไปด้วย…ให้อัจฉริยบุรุษผู้นี้ปวดประสาทแทนพวกเราไม่ดีกว่าหรือ อืม ท่านสมุหเทศาภิบาลใช่ว่าจะไม่มีความคิดเช่นนี้ ทว่าในฐานะผู้อาวุโสของเมืองอาจจะเป็นการเสียหน้า ยากจะเอื้อนเอ่ย’…ข้าหลวงชิงโจวปรับความคิด

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ท่านข้าหลวงก็ยิ้มพลางกล่าว “ใต้เท้าสวี่ยังฝากผลงานชั้นยอดอะไรไว้ที่เมืองหลวงอีกบ้าง”

เขาถามเล่นๆ หากอีกฝ่ายบอกปัดว่าไม่มี เขาก็อาศัยสิ่งนี้ต้อนสวี่ชีอันให้จนมุม ร่วมมือกับเหล่าขุนนางพากันเอะอะโวยวายยุให้เขาแต่งกลอนเสียตรงนั้นเลย จากนั้นก็ให้ ‘หัวข้อ’ อย่างเป็นธรรมชาติ

คล้ายกับอุบายที่เห็นกันจนคุ้นชินบนโต๊ะอาหาร เพียงแต่ตามปกติจะใช้ชักชวนให้ดื่มสุรา ทว่าตอนนี้เพื่อให้แต่งกลอน แค่จุดประสงค์ต่างออกไปก็เท่านั้น

…คิดจะมาเอากลอนฟรีจากข้าอีกแล้วหรือ สวี่ชีอันคิดจะบอกปัดว่า ‘ไม่มี’ ใครจะรู้ว่าผู้ตรวจการจางจะชิงต่อประเด็นสนทนาไปก่อนพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังมีอยู่ๆ”

ขุนนางตรงนั้นจ้องมองมาด้วยความสนใจอย่างเหลือล้น รวมถึงฆราวาสจื่อหยางด้วย

ปัญญาชนจะไม่มีบทกวีดีๆ ได้อย่างไรกัน

ผู้ตรวจการจางแย่งความสนใจกลับมาอย่างง่ายดาย จิบสุราพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทว่ามีเพียงครึ่งบท เพิ่งจะเป็นที่แพร่หลายในเมืองหลวงไม่นาน คิดว่าท่านทั้งหลายอาจจะไม่เคยได้ยิน”

“หือ มีเพียงครึ่งบทหรือ”

“ท่านผู้ตรวจการรีบบอกเร็ว ข้าน้อยจะล้างหูตั้งใจฟังอยู่”

เหล่าขุนนางไม่ได้ดูถูกเพราะมีครึ่งบทแต่กลับยิ่งใคร่รู้ กลอนครึ่งบทนี้จะต้องเป็นผลงานชั้นยอดเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นลำพังเพียงครึ่งบทจะแพร่หลายไปทั่วเมืองหลวงได้อย่างไร หากไม่ดีก็ไม่ควรค่าให้ท่านผู้ตรวจการหยิบมาพูดต่อหน้าสาธารณชน

ครึ่งบท…หยางกงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองสวี่ชีอัน แล้วหันกลับมามองผู้ตรวจการจาง

ผู้ตรวจการจางวางแก้วลงพร้อมกระแอมกระไอ เมื่อวางมาดได้แล้วจึงมองไปรอบๆ ฝูงชนแล้วเอ่ยเสียงดัง “หลังเมามายเหตุไฉนท้องนภาลอยในธารา ดารณีเปี่ยมฝันหวานพาดทับหมู่ดารา”

บัดนี้ระบำสิ้นสุดลงพอดี เสียงบรรเลงค่อยๆ เงียบลง

บนโต๊ะอาหารตกอยู่ในความเงียบ เหล่าขุนนางดื่มด่ำกับกลอนครึ่งบทนี้ รู้สึกถึงเพียงความสง่างามอันเหนือความเป็นจริงที่ปะทะเข้ามา โดยไม่คะนึงถึงชื่อเสียงเงินทองยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่คะนึงผลได้ผลเสีย

หลังจากเมามายก็นอนอยู่ในเรือสำปั้นสวน ทอดมองหมู่ดาวเหนือศีรษะ ร่างสูงเจ็ดฉื่อ (1 ฉื่อประมาณ 33.33 เซนติเมตร) ร่างกายทับอีกฟากของหมู่ดาว กลิ่นอายแห่งความอิสระและชีวิตชีวาบังเกิดขึ้นโดยปริยาย

บ้างก็อิ่มเอมใจและมึนเมา บ้างก็อดไม่ได้ที่หันไปมองสระน้ำเล็กในลาน ในนั้นมีดอกบัวสีแดงเพลิงเป็นกลุ่มก้อนงอกงามอยู่ น่าเสียดายที่สระน้ำเล็กเกินไป

ฆราวาสจื่อหยางปรบมือเอ่ย “บทกลอนนี้ปณิธานสูงส่ง เป็นจุดสูงสุดของบทกวีในราชวงศ์อายุเกือบสองร้อยปีนี้ ช่างวิเศษเสียนี่กระไร”

เขาดื่มสุราสามแก้วในรวดเดียว ดื่มสุราเคล้าบทกวี สำราญใจยิ่งนัก

เมื่อดื่มเสร็จเขาก็จ้องมองสวี่ชีอันตาเป็นประกาย “บทกวีนี้เป็นที่เลื่องลือหรือไม่”

ไอ้**…เจ้าปล้นข้าไปรอบหนึ่งยังไม่พออีกหรือ ข้ามันไม่มีศักดิ์ศรีหรือไง…สวี่ชีอันเกือบอยากจะพ่นน้ำเกลืออัดลมใส่หน้าเขาสักที แล้วเอ่ยเสียงขรึม “แน่นอนอยู่แล้วขอรับ”

ฆราวาสจื่อหยางผิดหวังเล็กน้อย พยักหน้าไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ แล้วบ่นพึมพำราวกับมึนเมา

เมื่อเห็นว่าพอหอมปากหอมคอแล้ว ข้าหลวงชิงโจวจึงประคองแก้วขึ้นพร้อมกล่าวประจบ “บังเอิญเสียจริง สมุหเทศาภิบาลกำลังอยากสร้างแผ่นจารึกเตือนใจที่ลานหน้าที่ทำการปกครองแต่ละแห่ง ยังไม่ได้กำหนดอักษรจารึก ไม่ทราบว่าใต้เท้าสวี่ช่วยเขียนกลอนสักหนึ่งบทได้หรือไม่”

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา เกือบทุกคนต่างจ้องมองสวี่ชีอันโดยไม่รู้ตัว

ฆราวาสจื่อหยางไม่ได้คล้อยตามแต่ก็ไม่ได้ห้ามเช่นกัน จ้องมองฆ้องทองแดงตัวจ้อย ด้วยรอยยิ้มโดยไม่เอ่ยสิ่งใด

สุราแก้วหนึ่งก็คิดอยากได้กลอนของข้า ข้ามิใช่คนเช่นนั้น…สวี่ชีอันทอดถอนใจ

“ข้าน้อยติดตามท่านผู้ตรวจไปสืบคดีที่อวิ๋นโจว อนาคตมิอาจคาดการณ์ จิตใจร้อนรุ่ม จะมีแรงและอารมณ์ที่ไหนไปแต่งกลอน ต้องขออภัยใต้เท้าทั้งหลายด้วย”

เหล่าขุนนางชิงโจวผิดหวังกันถ้วนหน้าในทันที ข้าหลวงชิงโจวร้อนใจแล้วรีบเอ่ย “พรสวรรค์ด้านการประพันธ์ของใต้เท้าสวี่เป็นที่น่าทึ่ง อย่าถ่อมตัวเลย”

สวี่ชีอันส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ประคองแก้วดื่มสุรา

ฆราวาสจื่อหยางครุ่นคิดเล็กน้อย ถอดแหวนปานจื่อที่ใส่อยู่บนนิ้วหัวแม่มือออก แล้วเอ่ยเสียงขรึม “ภัยโจรกรรมที่อวิ๋นโจวรุนแรงนัก การเดินทางนี้อันตรายจริงๆ หนิงเยี่ยน แหวนปานจื่อวงนี้เจ้าเก็บให้ดี ข้าพกมานานแรมปี หล่อเลี้ยงด้วยความชอบธรรมอันยิ่งใหญ่ ช่วยขจัดสิ่งชั่วร้ายได้”

สายตาของสวี่ชีอันพลันต้องแหวนปานจื่อ เมื่อมองเห็นปราณใสเลือนรางปรากฏผ่านไปก็นึกถึงคำพูดหนึ่งที่ฉู่ไฉ่เวยเคยกล่าวไว้

บนโลกมีอาวุธเวทมนตร์อยู่สามประเภท ประเภทแรกปรมาจารย์ยุทธจากสำนักโหราจารย์หลอมขึ้น ประเภทที่สองก่อตัวตามธรรมชาติด้วยความบังเอิญ ประเภทสุดท้ายปนเปื้อนลมปราณของผู้แข็งแกร่งขั้นสูง สะสมนานนับเดือนจนมีเวทมนตร์ระดับหนึ่ง

แหวนปานจื่อคือประเภทที่สาม

ลูกพี่ คืนนี้คิดเสียว่าข้าไม่ใช่คน…สวี่ชีอันรีบรับมาและเก็บเข้าไปไว้ในอกอย่างระมัดระวัง บ่นพึมพำอยู่สักพักก่อนจะเอ่ย “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ อารมณ์ทางจิตวิญญาณก็พรั่งพรูดุจน้ำพุ ได้กลอนหนึ่งบทมาอย่างบังเอิญ”

ไหนบอกว่าไม่มีอารมณ์เขียนไม่ใช่หรือ เหล่าขุนนางทั้งหลายมองเขาอย่างฉงน ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็ค่อยๆ กระจ่างแจ้ง แววตาแปลกใจขึ้นมาก ทว่าก็รู้กันอยู่แก่ใจไม่จำเป็นต้องอธิบาย

รอยยิ้มของฆราวาสจื่อหยางยังคงเดิม “ข้าล้างหูตั้งใจฟังอยู่”

สวี่ชีอันพยักหน้า มีตัวเลือกในใจตั้งนานแล้ว เขาเตรียมใช้กลอนสี่วรรคที่ใช้ในด่านถามใจขณะทดสอบสติปัญญา

เพราะไม่มีสิ่งใดเหมาะจะใช้กับที่นี่ยิ่งกว่ากลอนบทนี้แล้ว หากจำไม่ผิด กลอนบทนี้มีชื่อว่า ‘คำขวัญจารึกเตือนใจ’ ซึ่งเหมาะที่จะใช้เตือนเหล่าขุนนางทั้งหลาย

เขาจิบสุรา ในสมองปรากฏกลอนบทนั้น ราวกับอารมณ์หวนกลับสู่ปณิธานอันองอาจในช่วงด่านถามใจ

เขาหยัดกายยืนขึ้นอย่างอดไม่ได้ มองไปทางฆราวาสจื่อหยางหยางกงก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“เงินเดือนเหล่าท่าน”

แล้วมองไปทางผู้ตรวจการจาง

“หยาดเหงื่อปวงประชา”

จากนั้นเขาค่อยๆ กวาดมองเหล่าขุนนางที่อยู่ตรงนั้น น้ำเสียงเด็ดขาดขึ้นในทันที

“ทารุณไพร่ฟ้าแสนง่าย”

สุดท้ายก็แหงนหน้ามองฟ้า ร่างทั้งร่างราวกับฮึกเหิมขึ้น แล้วเอ่ยเสียงดัง

“ตบตาสวรรค์แสนยาก!”

ระหว่างที่ไม่รู้ตัว เสียงของเขาก็ผสานรวมเข้ากับสิงโตคำรามสำนักพุทธดังอยู่ข้างหูเหล่าขุนนางทั้งหลายประดุจตีกลองยามเย็นเคาะระฆังยามเช้า ดังก้องจนหูหนวก

เคร้ง!…เสียงแก้วสุราแตกดังขึ้นต่อเนื่อง

สีหน้าของขุนนางจำนวนมากไม่กังวลก็ละอายใจ การเผชิญหน้ากับฆ้องทองแดงที่ไม่มีระดับขั้นราวกับเผชิญหน้ากับผู้บังคับบัญชาที่เข้มงวดอยู่ตลอด ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

น้อยคนที่บริสุทธิ์ใจกลับยืดหลังตรงด้วยจิตใจที่ปั่นป่วน

“กลอนดี กลอนดีเสียจริง”

ฆราวาสจื่อหยางตบโต๊ะ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้สูญเสียการควบคุมอารมณ์เล็กน้อย ให้ความรู้สึกไม่เหมือนขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ประสบการณ์แก่กล้า แต่เป็นนักเรียนหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วงราชการ เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาและความเที่ยงธรรม

“ตอนนั้นหากข้าตะโกนด่าด้วยกลอนบทนี้ออกไปในท้องพระโรง ได้ปลดปล่อยความทุกข์ในใจ จะเศร้าซึมไปทำไมถึงหนึ่งปี หนิงเยี่ยนหนอหนิงเยี่ยน เจ้าเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการเรียนที่แท้จริง”

เหล่านางระบำที่ทนรับลมหนาวอยู่ในลานกะพริบตาปริบและพิจารณาชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวในงานเลี้ยงด้วยความอยากรู้อยากเห็น

จิตใจเช่นนี้ไม่แปลกที่จะกล้าลงมือฟาดฟันฆ้องเงินด้วยคมมีด…ไม่รู้ว่ากลอนบทนี้ทำผู้คนตกใจไปกี่คนแล้ว…ผู้ตรวจการทอดถอนใจ เมื่อเห็นสถานการณ์หยุดชะงัก เขาจึงพูดเปลี่ยนประเด็นสนทนา

“สิ่งที่ท่านสมุหเทศาภิบาลกล่าวมานั้นถูกต้อง หนิงเยี่ยน น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้เรียนตั้งแต่แรก”

สวี่ชีอันสะอึกสุราพร้อมเอ่ยอย่างจำใจ “อารองคิดว่าข้าเหมาะกับฝึกวิทยายุทธมากกว่า จึงไม่ให้เรียนหนังสือต่อขอรับ”

เมื่อเหล่าขุนนางได้ยิน ในใจกลัดกลุ้มยิ่งนัก ในใจก็คิดว่าไอ้อารองของเจ้าช่างเป็นคนไม่เอาไหน เสียเมล็ดพันธุ์แห่งการเรียนไปอย่างสูญเปล่า หากสวี่หนิงเยี่ยนเป็นปัญญาชน วงการวรรณกรรมของต้าฟ่งคงไม่เงียบเหงา

งานเลี้ยงแยกย้ายกันกลางดึก สวี่ชีอันที่เมาเล็กน้อยมาที่ริมสระและเก็บดอกบัวสีแดงสวยสดเหล่านั้น

บัวพันธุ์นี้แปลกประหลาดยิ่งนัก มีเพียงหกกลีบ แต่ละกลีบอิ่มเอิบไปด้วยผลึกใส เป็นพันธุ์ที่เขาไม่เคยพบมาก่อน

“บัวพันธุ์นี้เรียกว่าบัวแดงหรือเรียกว่าบัวเหมันต์ เป็นดอกบัวที่มีเฉพาะในชิงโจว” ฆราวาสจื่อหยางเดินมามือไพล่หลัง แล้วยืนอยู่ข้างกาย

“เดือนสิบจะออกดอกตลอดจนใบไม้ผลิปีถัดไป เม็ดบัวที่ได้มีฤทธิ์อุ่น ใช้เป็นยาสมุนไพรได้”

…ในภพก่อนของข้าไม่เคยเห็นดอกบัวบานในฤดูหนาว สวี่ชีอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่วงกลางฤดูหนาวจะผลิตดอกออกผล มีฤทธิ์อุ่นซึ่งตรงข้ามกับฤดูกาลพอดี บัวแดงเหล่านี้ไม่สามารถเพาะกล้าในภาคกลางได้หรือ”

“ไม่รอดหรอก” ฆราวาสจื่อหยางเหมือนจะชี้แนะบางสิ่ง “โจรกรรมของอวิ๋นโจวก็มีเฉพาะที่อวิ๋นโจว หากเป็นเมืองอื่นไม่มีทางเรื้อรังยาวนาน ต้นตอนี้อยู่ที่ใด เจ้ารู้หรือไม่”

นี่เป็นปัญหาที่ตกทอดมาจากประวัติศาสตร์มิใช่หรือ…สวี่ชีอันใจเต้น ตัวตรงแสดงคารวะ “ท่านอาจารย์โปรดชี้แนะ”

เขาไม่ได้เรียกใต้เท้าแต่เป็นท่านอาจารย์ แล้วนับตนเป็นลูกศิษย์

…………………………………