คนสติปัญญาระดับเสี่ยวเชี่ยนแค่ได้ยินหลิวเหมยพูดแบบนี้ก็นึกเหตุผลออกทันที
“เขาถึงเวลาที่ต้องย้ายงานแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ๆ”
“ภูมิลำเนาเธออยู่เมืองบ้านนอกๆใช่ไหม?”
“ก็ใช่ ก็พ่อเอาชื่อฉันไปอยู่บ้านอาสี่นี่นา บ้านอาสี่อยู่ต่างจังหวัด แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเลิกกันด้วยเหรอ?”
“ง่ายมาก ทหารพอเข้าไปอยู่ในหน่วยแล้วก็จะถูกยกเลิกภูมิลำเนา พอถึงเวลาที่เขาต้องย้ายไปประจำการที่อื่นมีทางเลือกอยู่สองทาง หนึ่งคือกลับไปอยู่ภูมิลำเนาเดิมตามพ่อแม่ หรือสองตามไปอยู่กับภรรยา ตอนที่พวกเธอคบกันเธอบอกว่าตัวเองมาจากเมืองใหญ่ เขาก็คิดว่าตัวเองจะได้ยกระดับชีวิต แต่พอเขารู้ว่าชื่อเธออยู่ในทะเบียนบ้านอาสี่ เขาก็ไม่อยากย้ายไปอยู่บ้านนอก ก็เลยบอกเลิกเธอไง”
เรื่องแบบนี้ปิดบังเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ ประธานเชี่ยนเข้าใจจิตใจคนพวกนี้ดี
คนรอบตัวเธอส่วนใหญ่โปรไฟล์ดี ไม่ต้องกลุ้มเรื่องเงิน ดังนั้นจึงไม่เข้าใจหัวอกผู้ชายที่มาจากบ้านนอกอยากจะเปลี่ยนแปลงชะตาตัวเองหรอก
จะบอกว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายแย่ก็ไม่ถูก อย่างไรเสียคนเราต้องเดินไปในจุดที่สูงขึ้น แต่เสี่ยวเชี่ยนเป็นพวกเข้าข้างคนของตัวเอง อวี๋หลิวเหมยถูกเธอกล่อมจนมาอยู่ใต้ปีกของเธอแล้ว เธอก็จะไม่มีทางปล่อยให้เด็กในสังกัดของตัวเองถูกมองเป็นสิ่งของเจ๊กลากไปไทยลากมา
ต่อให้มาคบกับอวี๋หลิวเหมยเพื่อคิดจะเปลี่ยนภูมิลำเนาก็ต้องมีความจริงใจหน่อย อย่างน้อยก็ต้องดีกับหลิวเหมยบ้าง แบบนั้นเสี่ยวเชี่ยนจะไม่ว่าอะไรเลย
แต่นี่อะไร สองปีโทรมาสิบครั้ง คิดจะรังแกเด็กน้อยที่บกพร่องเรื่องการรับรู้การแต่งงานเหรอ? และที่น่าเกลียดกว่าก็คือพอรู้ว่าภูมิลำเนาหลิวเหมยไม่ได้อยู่เมืองใหญ่ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที คนสันดานแบบนี้มันวอนหาเรื่องชัดๆ
สายตาประธานเชี่ยนกลอกไปมา เธอคิดแผนเด็ดได้อีกแล้ว
เธอมีไอเดียดีๆที่ทั้งช่วยให้หลิวเหมยมีทัศนคติที่ถูกต้องเรื่องแต่งงานทั้งสามารถเล่นงานผู้ชายแย่ๆที่มองหลิวเหมยเป็นแค่เครื่องมือยกระดับชีวิตตัวเอง ในโลกของประธานเชี่ยนไม่มีการให้อภัยที่ไร้หลักการ คนที่ทำร้ายเธอหรือคนรอบตัวเธอ ถ้าอยากได้รับการอภัยก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของการแก้แค้น
“หลิวเหมย เธอไม่เสียใจเลยเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม
“ไม่เลยนะ ฉันแค่กลุ้มใจว่าจะไปหาคนมาแต่งงานด้วยจากไหน อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว เอ๊ะ ฉันว่าฉิวฉิวเป็นคนดีนะ แต่น่าเสียดายที่บ้านเราเพศเดียวกันจดทะเบียนไม่ได้”
“ชีวิตคู่ในสายตาเธอมันคืออะไร?” แน่นอนเสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าหลิวเหมยไม่ได้ชอบฉิวฉิวแบบนั้น ก็แค่อยากจะหาใครก็ได้มาแต่งงานด้วย
“คนสองคนที่มาใช้ชีวิตด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ผ่อนบ้านด้วยกัน เวลาถึงเทศกาลก็ไปยั่วโมโหพ่อกับฉัน อืม เพอร์เฟค”
ตามคาดจิตใต้สำนึกของหลิวเหมยคิดว่าการแต่งงานเป็นเครื่องมือที่ใช้ต่อต้านพ่อแม่ เธอถึงไม่ได้แคร์ว่าจะเป็นใครที่มาแต่งด้วย ต่อให้เป็นผู้ชายแย่ๆ ต่อให้เป็นฉิวฉิวที่เพิ่งได้เจอหน้าไม่กี่ครั้งก็ตาม เสี่ยวเชี่ยนมีวิธีแล้ว
“แล้วทำไมถึงได้รีบร้อนอยากแต่งงาน?” เสี่ยวเชี่ยนแอบสงสัยเรื่องที่อวี๋หมิงหลางบอกว่าหลิวเหมยไม่พอใจคนที่บ้าน
เท่าที่เธอสังเกต หลิวเหมยไม่เหมือนเด็กดื้อ
“อาจารย์ฉันบอกว่า ถ้าฉันไม่แต่งงานปีนี้จะขึ้นคานไปตลอดชีวิต” ดังนั้นเธอถึงได้รีบร้อนอยากแต่ง
“ไม่ใช่ อาจารย์เธอยังพูดอย่างอื่นอีก” เสี่ยวเชี่ยนพูดอย่างมั่นใจ หลิวเหมยไม่เหมือนผู้หญิงที่ปรารถนาในตัวผู้ชายมากมายอะไร
“ว้าว! พี่สะใภ้สุดยอดเลย! ฉันล่ะนับถือพี่จริงๆ! อันที่จริงอาจารย์ยังบอกอีกว่า ถ้าปีนี้ฉันไม่แต่งงาน ไม่เพียงแต่ฉันจะขึ้นคานตลอดชีพ พ่อกับแม่ก็จะซวยด้วย ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก แต่เมื่อต้นปีพ่อฉันตรวจเจอโรคเบาหวาน แม่ก็ตกบันไดขาหัก…”
ในที่สุดสิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนสงสัยก็กระจ่าง
อดไม่ได้ที่จะสงสารหลิวเหมย
เด็กคนนี้ถูกส่งไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่เด็ก มีเรื่องที่ไม่เข้าใจพ่อแม่สารพัด แต่จิตใจที่ดีอยู่ลึกๆกับความเป็นห่วงครอบครัวกลับทำให้เธอยอมเชื่อเรื่องพวกนี้ จนเกิดเป็นภาวะบกพร่องในกระบวนการรับรู้เรื่องการแต่งงาน
และความบกพร่องนี้กลับทำให้ครอบครัวของเธอรวมถึงอวี๋หมิงหลางคิดว่าเธอดื้อ คิดจะต่อต้านที่บ้าน
“พี่จะเสนอวิธียิงปืนหนึ่งนัดได้นกสองตัวให้ เธอไปขอยืมเงินพ่อซื้อบ้านที่นี่ พอซื้อเสร็จชื่อเธอก็จะมาอยู่ทะเบียนบ้านที่นี่แล้ว ถึงตอนนั้นเธอก็ไปหาผู้ชายเลว เอ้ย แฟนเก่าเธอ บอกว่าเธอย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ในเมืองแล้ว เขาก็จะบินมาแต่งงานกับเธอทันที ถึงตอนนั้นพ่อเธอก็จะโมโหมาก”
“จริงเหรอ?”
“เชื่อพี่สะใภ้คนนี้ได้เลย ไม่มีทางพลาด”
“แต่ฉันไม่อยากไปยืมเงินพ่อนี่นา ไม่อยากได้แม้แต่บาทเดียว”
“ก็คิดเสียว่าแค่ยืม อย่างมากอีกหน่อยเธอก็ทยอยใช้คืน ตอนนี้เธออยากแต่งงานไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ได้ งั้นฉันจะลองดู ฉันว่าพ่ออาจจะไม่เห็นด้วย พ่อขี้งกจะตาย พี่ชายฉันอยากจะซื้อรถ รบเร้าพ่อตั้งสองปีก็ยังไม่ได้ รอเดี๋ยวนะขอฉันไปโทรศัพท์ถามก่อน”
หลิวเหมยล้วงโทรศัพท์ออกมา โทรติดอย่างรวดเร็ว
“พ่อ ขอเงินแสนนึง ทำไมน่ะเหรอ? ซื้อบ้านไง หนูอยู่บ้านพี่สะใภ้มาตลอดมันไม่สะดวกนะ งานก็หาได้แล้ว อะไรนะ? เอาเลขบัญชีมา?” หลิวเหมยมองเสี่ยวเชี่ยนด้วยสีหน้าตกใจ เสี่ยวเชี่ยนยักไหล่
ใจแคบกับลูกชายใช่ว่าจะใจแคบกับลูกสาวด้วย ดูท่าพ่อแม่หลิวเหมยก็คงรู้สึกผิดกับเธออยู่ในใจ เพราะเอาลูกตัวเองไปใส่ชื่อบ้านอื่น
“โห พ่อยอมให้ด้วย! แถมยังบอกให้ฉันรีบซื้อ ทำไมกัน?” หลิวเหมายวางสายด้วยสีหน้าตกใจ
“ก็คงอยากให้เธอมีทรัพย์สินก่อนแต่งงานมั้ง ถ้ารอเธอไปแต่งงานกับผู้ชายที่ไหนไม่รู้ก่อน บ้านก็ต้องแบ่งให้อีกฝ่ายครึ่งหนึ่ง พ่อแม่เธอเขาก็รักเธออยู่นะ”
“ฉันคิดว่า…พ่อไม่แคร์ฉันเลยเสียอีก” หลิวเหมยกำโทรศัพท์ เธอก็แค่โทรไปลองใจพ่อดู ทำไมในใจรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป?
“ถ้าพ่อแม่ไม่แคร์เธอจริงๆก็คงทำแท้งเธอตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว ทำไมต้องคลอดเธอออกมาด้วย? ทั้งๆที่พวกเขามีลูกชายแล้ว ไม่ได้ต้องการลูกอีก นี่พวกเขายอมเสี่ยงถูกไล่ออกจากราชการเลยนะ การที่พวกเขาไม่เอาชื่อเธออยู่ในทะเบียนบ้านก็พอเข้าใจได้ คนเราน่ะต้องรู้จักทำความเข้าใจ”
ความคิดในแง่ลบที่มีต่อพ่อแม่ของอวี๋หลิวเหมยเกิดอาการหวั่นไหว เธอกัดเนื้อย่างด้วยท่าทางเหมือนหุ่นยนต์ ไม่ได้รู้สึกถึงรสชาติใดๆเลย
พี่สะใภ้จะบอกว่าพ่อกับแม่รักเธองั้นเหรอ? ถ้าไม่รักแล้วจะคลอดเธอออกมาทำไม ความคิดนี้ทำไมเธอไม่เคยคิดได้เลยล่ะ…
เสี่ยวเชี่ยนมองเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงไฟยามราตรี เธอให้เวลาหลิวเหมยได้คิด แต่กลับไม่รู้เลยว่าพายุฝนในบ้านกำลังก่อตัว…
กำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!
พวกเธอหอบหิ้วเนื้อย่างถุงใหญ่เดินกลับบ้าน พอไปถึงหน้าหมู่บ้านอยู่ๆเสี่ยวเชี่ยนก็รู้สึกมีคนเข้ามาปิดตาเธอจากทางด้านหลัง หลิวเหมยที่อยู่ข้างๆถูกคลุมหัวด้วยถุงพลาสติก
ตลอดทางเดินกลับหลิวเหมยเอาแต่นึกถึงคำพูดของเสี่ยวเชี่ยนอย่างเหม่อลอย ไม่คิดว่าจะมีคนโจมตีจากทางด้านหลัง ทั้งๆที่เป็นคนมีวิชาป้องกันตัวแต่กลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ด้วยความตกใจเธอรีบดึงถุงออกแล้วมองไปทางเสี่ยวเชี่ยน พอเห็นผู้ชายที่อยู่ด้านหลังเสี่ยวเชี่ยนเธอก็ถอนหายใจออกมา
มิน่าล่ะ หลิวเหมยโล่งอก คนที่ย่องมาจากทางข้างหลังโดยที่เธอไม่รู้สึกตัวได้ก็มีแค่คนคนนี้คนเดียว