ตอนที่ 149 ชักนำให้เข้าใจผิด

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 149 ชักนำให้เข้าใจผิด

ภาพที่กอดกันราวกับคนรักของมู่จวินฮานและอันหลิงเกอริมทะเลสาบทำให้อันหลิงเฉว่ที่แอบมองบังเกิดความริษยาขึ้นมาทันที

วันนี้นางรู้สึกอุดอู้เล็กน้อยจึงออกมาเดินเล่นจนถึงที่นี่และเห็นมู่ซื่อจื่อ

ยังมิรอให้นางจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อยก็เห็นมู่จวินฮานเดินเข้าไปหาอันหลิงเกอเสียแล้ว

ทำให้อันหลิงเฉว่ได้แต่ด่าอยู่ในใจว่าอันหลิงเกอหน้าด้านเสียจริง เห็นอยู่ว่าฮ่องเต้มีพระราชโองการยกเลิกงานสมรสระหว่างนางกับมู่ซื่อจื่อแล้วก็ยังแอบพบกันตามลำพังอีก มิหนำซ้ำยังกอดกันด้วย ฮึ ! ไร้มารยาทสิ้นดี

สตรีมากเล่ห์ !

อันหลิงเฉว่ทั้งอิจฉาและรู้สึกมิยุติธรรม นางเอื้อมมือไปหักกิ่งต้นหลิวตรงหน้า

มู่จวินฮานได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากตรงนั้นก็รีบหันไปมองทันที ดวงตาคู่นั้นเปื้อนไปด้วยความดุดัน อันหลิงเฉว่เองก็ตกตะลึงรีบหลบซ่อนตัวหลังต้นไม้ทันที

แต่นางมิรู้เลยว่าจังหวะที่เสื้อของนางโดนลมพัดได้ตกอยู่ในสายตาของทั้งสองนานแล้ว

มู่จวินฮานคิดเดินไปทางที่นางซ่อนตัวอยู่ แต่อันหลิงเกอเข้ามาขวางเขาไว้และส่ายหน้าปราม

“เป็นน้องหญิงรองเจ้าค่ะ”

บ้านสองและบ้านสามของจวนโหวกลับมาอยู่ในเมืองหลวงได้พักหนึ่งแล้ว มู่จวินฮานจึงรู้ดีว่าน้องหญิงรองที่อันหลิงเกอกล่าวถึงมิใช่อันหลิงอี แต่เป็นอันหลิงเฉว่ของบ้านสาม

เขาพยักหน้ารับแล้วเก็บเกราะป้องกันหัวใจให้เรียบร้อย จากนั้นหยิบของบางอย่างออกจากอกเสื้อ

มันคือนกหวีดสีดำเหมือนที่เขาเคยมอบให้อันหลิงเกอในเวลานั้นมิมีผิด เพียงแค่ก่อนหน้านี้เป็นสีทอง

“หากเกิดอันใดขึ้นกับเจ้าตอนที่ข้ามิอยู่เมืองหลวงก็เป่านกหวีดนี้ แล้วองครักษ์เงาจักมาช่วยเจ้าเอง”

เมื่อได้ฟังใบหน้าของอันหลิงเกอก็เปลี่ยนไปทันที “ท่านไปสถานที่อันตรายเยี่ยงม่อเป่ยก็ควรพาองครักษ์เงาไปด้วยมิใช่หรือ ? ”

ยิ่งเป็นสนามรบ หอกและดาบยิ่งไร้ตา

หน้าที่ขององครักษ์เงาคือปกป้องนาย หากมู่จวินฮานทิ้งองครักษ์เงาไว้ที่เมืองหลวงและเดินทางไปม่อเป่ยเพียงลำพัง จักมิอันตรายเกินไปหน่อยหรือ ?

อันหลิงเกอเม้มปากแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความคัดค้าน

มู่จวินฮานก้มหน้ามองอันหลิงเกอ ภายในใจได้แต่คิดว่าสาวน้อยอายุแค่ 15 ปีกลับมีใบหน้างดงามเหนือผู้ใดแล้ว ในเวลานี้นางกำลังขมวดคิ้ว เผยแววตากังวลออกมา แม้ลดทอนความงามบนหน้าลงไปบ้าง แต่ก็ทำให้มีชีวิตชีวาเหมือนเป็นธรรมชาติของมนุษย์

เขายกยิ้มที่มุมปาก แต่ใบหน้ายังหล่อเหลาจนทำให้ผู้อื่นหน้าแดงและใจเต้นแรง “ข้าต้องนำองครักษ์เงาไปจำนวนหนึ่งอยู่แล้ว แต่ก็ทิ้งไว้เฝ้าที่เมืองหลวงบ้าง”

เมื่อมู่จวินฮานเห็นอันหลิงเกอยังคิดเกลี้ยกล่อมตนจึงกล่าวต่อ “ม่อเป่ยมิดีไปกว่าเมืองหลวงก็จริง ที่นั่นมีประชาชนบางเบา นอกจากพวกทหารในกองทัพแล้วก็แทบไร้คนนอก หากให้องครักษ์เงาไปม่อเป่ยกับข้าหมดก็อาจดึงดูดความสนใจของฮ่องเต้ มิแน่อาจทำให้แผนที่ข้าวางไว้วุ่นวายกว่าเดิม”

แม้กล่าวเยี่ยงนี้ แต่ความปลอดภัยของเขาก็ยังเป็นสิ่งสำคัญมาก

ในดวงตาคู่งามของอันหลิงเกอเปื้อนไปด้วยความเศร้าที่น้อยครั้งได้เห็น “เยี่ยงนั้นท่านนำองครักษ์เงาไปม่อเป่ยเท่าไรเจ้าคะ ? ”

“2 คน” มู่จวินฮานยกนิ้วสองนิ้ว แต่จำนวนนี้ทำให้อันหลิงเกอตกตะลึง

เหตุใดจึงนำองครักษ์เงาไปม่อเป่ยเพียง 2 คน แล้วให้ผู้อื่นอยู่ที่เมืองหลวงหมดเลยหรือ ?

อันหลิงเกอขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม “ท่านทิ้งองครักษ์เงาเกือบทั้งหมดไว้ที่เมืองหลวงเลยหรือเจ้าคะ ? ”

“เนื่องจากข่าวที่เมืองหลวงจักขาดมิได้ ด้วยเหตุนี้ต้องให้องครักษ์เงาอยู่ที่เมืองหลวงเพื่อนำข่าวการเคลื่อนไหวของฮ่องเต้ส่งไปที่ม่อเป่ย จวนอ๋องของพวกเราก็ต้องมีคนเฝ้าและตัวเจ้าก็มิได้ปลอดภัย ต้องมีคนคอยดูแลความปลอดภัยด้วย” มู่จวินฮานกล่าวเหตุผลออกมาทีละข้อ ส่วนอันหลิงเกอที่ได้ฟังก็มิอาจหาเหตุผลมาหักล้างได้

“ข้ามิต้องการองครักษ์เงาหรอกเจ้าค่ะ ท่านนำองครักษ์เงาเหล่านั้นไปด้วยเถิด” นางเงยหน้ามองมู่จวินฮาน นัยน์ตาสะท้อนให้เห็นบุรุษรูปร่างสูงโปร่งอย่างชัดเจน

เป็นเหตุให้มู่จวินฮานใจเต้นแรงกว่าเดิม แววตาของเขาก็อ่อนโยนยิ่งกว่าเก่า “มิว่าเป็นฮูหยินรองหรือน้องสาวของเจ้ามิใช่พวกที่ประมาทได้เลย ถ้ามีองครักษ์เงาอยู่ข้างกายเจ้า ข้าจึงพอวางใจได้บ้าง”

อันหลิงเกอกำลังปฏิเสธ แต่มู่จวินฮานกล่าวถึงเหตุผลบางอย่างออกมา “เจ้าลองคิดสิ หากมิมีองครักษ์เงาอยู่ข้างกายเจ้า และข้าอยู่ไกลถึงม่อเป่ยก็ต้องคอยคิดตลอดว่าเจ้ากินอิ่มนอนหลับหรือไม่ ถูกฮูหยินรองหรือน้องสาวคนไหนรังแกหรือเปล่า หรือมีบุรุษหน้าไหนปรารถนาในตัวว่าที่ภรรยาของข้า…”

เขายิ่งกล่าวก็ยิ่งหลุดประเด็น อันหลิงเกอจึงถลึงตามองเขาจนหยุดกล่าว

แต่นางก็มองออกว่ามู่จวินฮานมิมีทางเปลี่ยนใจโดยง่าย ดังนั้นจึงเลิกเกลี้ยกล่อมเขา

เมื่ออันหลิงเกอกลับมาถึงห้องเรียนก็เหลือบไปเห็นอันหลิงเฉว่ที่กำลังฉีกยิ้มแฝงความนัยส่งมาให้

นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยราวกับมิเคยมีอันใดเกิดขึ้น จากนั้นก็กลับไปนั่งที่ของตน

ในเวลานี้อาจารย์ยังมิเข้ามาสอน อันหลิงเฉว่จึงเข้ามาพูดกับนาง “พี่หญิงใหญ่เจ้าคะ เมื่อครู่ตอนที่ข้าไปเดินเล่นที่ทะเลสาบก็เหมือนว่าเห็นท่านสนทนาอยู่กับบุรุษผู้หนึ่ง”

แม้ขนมธรรมเนียมในราชวงศ์โจวเปิดกว้าง แต่ก็ยังคิดเล็กคิดน้อยเรื่องความแตกต่างระหว่างหญิงชาย และยิ่งเข้มงวดกับการมิให้หญิงชายนั่งในตำแหน่งเดียวกันเมื่อมีอายุ 7 ขวบขึ้นไป

การที่อันหลิงเฉว่กล่าวเยี่ยงนี้ก็แปลว่าอันหลิงเกอนัดพบบุรุษผู้หนึ่งลับหลังทุกคน หรือก็คืออันหลิงเกอกำลังมีความสัมพันธ์กับบุรุษผู้หนึ่ง !

อันหลิงเกอรู้ว่าอันหลิงเฉว่จงใจปิดบังตัวตนของมู่จวินฮานเพื่อให้ทุกคนรู้ว่าตัวนางเป็นพวกยั่วยวนบุรุษไปทั่ว

นางเพิ่งโดนฮ่องเต้สั่งยกเลิกงานสมรสแล้วมีข่าวแอบไปพลอดรักกับบุรุษริมทะเลสาบแพร่ออกไป คนทั่วเมืองหลวงคงถ่มน้ำลายจนทำให้นางจมน้ำลายตาย

เหล่าคุณหนูในสำนักศึกษามีอายุไล่เลี่ยกัน เป็นวัยร่าเริงที่สุดและชอบนินทาที่สุด ในเวลานี้ได้ยินคำกล่าวชี้นำจากอันหลิงเฉว่  เหล่าคุณหนูก็แทบหันมาให้ความสนใจ ทำหูตั้งเตรียมฟังสิ่งที่ทั้งสองสนทนากัน

อันหลิงอีสังเกตเห็นสายตาดูหมิ่นและรังเกียจของทุกคนที่เพ่งมาทางอันหลิงเกอ นางจึงยกยิ้มอย่างชั่วร้าย

ในตอนนั้นนางจัดการอันหลิงเกอมิสำเร็จ กลับกันยังทำให้ตนเสื่อมเสียเอง อีกทั้งยังต้องทนทุกข์ต่อคำดูหมิ่นของผู้อื่น ตอนนี้อันหลิงเกอควรได้ลิ้มรสชาตินี้บ้าง

อันหลิงเกอเอ่ยขึ้นว่า “อ้อ เมื่อครู่ข้าสนทนากับจุนเกอร์เอ๋อ เขาอายุยังน้อย ข้าจึงเป็นห่วงเขา”

ในเมื่ออันหลิงเฉว่จงใจปิดบังตัวตนของมู่จวินฮาน อันหลิงเกอก็ทำตามใจโดยมิเอ่ยถึงมู่จวินฮาน แต่บอกว่าคนผู้นั้นเป็นอันหลิงจุนแทน

อันหลิงเกอโกหกหน้าตาย ทุกคนก็ทำท่าราวกับเชื่อนาง อันหลิงเฉว่จึงอึดอัดเหมือนได้ทานแมลงเข้าไป รู้สึกกลืนมิเข้าคายมิออก

หลังจากนั้นพักใหญ่ ใบหน้าของอันหลิงเฉว่ก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มฝืนทน “แต่ข้าเห็นเหมือนบุรุษผู้นั้นมิใช่อันหลิงจุนนะเจ้าคะ”

นางจงใจใส่ร้ายให้ทุกคนคิดว่าอันหลิงเกอเป็นพวกยั่วยวนบุรุษไปทั่ว ดังนั้นจึงชี้นำให้ทุกคนคิดว่าเป็นบุรุษอื่นที่มิใช่อันหลิงจุน และมิบอกตรง ๆ ว่าผู้บุรุษผู้นั้นคือใคร

อันหลิงเกอจักมิเข้าใจความคิดของอันหลิงเฉ่วได้เยี่ยงไร ก็แค่หมากง่าย ๆ อันหลิงเกอสามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดาย

เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น อันหลิงเกอก็ฉีกยิ้มอย่างอ่อนโยนและใจกว้าง “ถ้าเยี่ยงนั้นน้องหญิงรองคิดว่าเป็นผู้ใด ? ”