ตอนที่ 200 หังโจว

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวเสาจิ่นนั่งเท้าคางอยู่หน้าโต๊ะกลมพลางมองเครื่องประดับแวววาวที่วางเต็มเตียงเสมือนตกอยู่ในภวังค์

 

 

ลูกประคำและปิ่นปักผมลูกปัดดอกไม้ที่ทำจากปะการังสีแดง กับปิ่นปักผมแก้วเหล่านั้นเฉิงฉือเป็นผู้มอบให้ ส่วนเพชรนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นผู้มอบให้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังจุดตะเกียงฉางหมิงให้นางที่วัดฝาอวี่บนเขาผู่ถัว และยังออกค่าอาหารกับเสื้อผ้าให้ตลอดทาง…นางติดหนี้บุญคุณฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับท่านน้าฉือมากมายเหลือเกิน!

 

 

นี่จะให้นางตอบแทนอย่างไรดี!

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวบอกให้นางอย่าลืมคุณงามความดีของนาง นางจะลืมได้อย่างไรเล่า

 

 

หากว่าไม่มีฮูหยินผู้เฒ่า นางก็เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่นในซอยจิ่วหรูเท่านั้น

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเคยกล่าวว่า หากรู้สึกสำนึกในบุญคุณของนาง ยามว่างก็ให้ทำผ้าโพกศีรษะสักผืนหรือเสื้อชั้นในสักตัวให้นาง แต่ต่อให้นางเย็บปักสิ่งของให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปตลอดทั้งชีวิตก็คงตอบแทนบุญคุณได้ไม่หมด!

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มขมขื่นอย่างช่วยไม่ได้ เรียกชุนหว่านเข้ามา กล่าวว่า “เจ้ากับปี้เถาเก็บของทั้งหมดเอาไว้ให้ดี เครื่องประดับที่ทำจากปะการังสีแดงเหล่านี้ข้าจะนำกลับไปมอบให้พวกท่านยายกับพี่สาว ส่วนปิ่นปักผมแก้วเหล่านี้จะมอบให้พวกฉือเซียง เจ้าดูว่าพอหรือไม่ ยังต้องซื้อเพิ่มอีกเท่าไร รอให้ถึงเมืองหังโจว พวกเราค่อยซื้อหวีสับกับผ้าดิ้นเงินดิ้นทองจำพวกนั้นเพิ่มอีกสักหน่อย สรุปแล้วยอมซื้อเกินแต่ไม่อาจให้ขาดของของผู้ใดไปได้ อย่าให้การมอบของขวัญกลายเป็นการมอบความขัดแย้งไปได้”

 

 

ชุนหว่านยิ้มพลางรับคำ แล้วไปบันทึกของแต่ละชิ้นกับปี้เถา

 

 

โจวเสาจิ่นไปหาจี๋อิ๋ง

 

 

จี๋อิ๋งสวมเสื้อคอป้ายกับกางเกงเฉกเช่นที่บุรุษสวมใส่ คาดผ้าคาดเอวเอาไว้ กำลังสนทนาอยู่กับบ่าวหญิงรูปร่างอ้วนท้วมคนหนึ่ง ครั้นเห็นโจวเสาจิ่นมาหานาง ก็รู้สึกประหลาดใจยิ่ง พานางเข้าไปในห้องเพื่อดื่มน้ำชา กล่าวว่า “ดึกดื่นถึงเพียงนี้แล้ว เจ้ามีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือเปล่า”

 

 

โจวเสาจิ่นถือจอกชาพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นกระบี่ล้ำค่าเล่มนั้นที่เดิมทีควรแขวนอยู่ในห้องของจี๋อิ๋ง นางก็อดถามอย่างสนอกสนใจไม่ได้ว่า “เจ้าเป็นผู้มีวิทยายุทธ์ใช่หรือไม่ เป็นเหมือนจอมยุทธ์ที่จารึกเอาไว้ในบันทึกเหล่านั้น เหาะเหินเดินบนกำแพง และข้ามแม่น้ำได้ด้วยอ้อเพียงลำเดียว”

 

 

จี๋อิ๋งลังเลไปชั่วขณะหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ “ข้าเป็นผู้มีวิทยายุทธ์ เป็นวิชาที่สืบทอดกันมาในตระกูล เพียงแต่ว่าไม่ได้มหัศจรรย์เหมือนที่บันทึกเอาไว้ในตำราขนาดนั้น”

 

 

แม้เป็นเช่นนี้ โจวเสาจิ่นก็รู้สึกว่าน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักแล้ว

 

 

สายตาที่นางมองจี๋อิ๋งเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมนับถือ “เจ้าเก่งกาจยิ่งนัก! ไม่แปลกเลยที่เจ้าไม่กลัวท่านน้าฉือ ซ้ำยังฟันแขนของเจียวจื่อหยางขาดได้ด้วยกระบี่เดียว ข้าควรจะคิดได้ตั้งนานแล้วถึงจะถูก เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ! สำหรับเด็กสาวที่ฝึกยุทธ์นั้นเป็นเรื่องลำบากมากมิใช่หรือ พ่อแม่ยอมให้เจ้าฝึกยุทธ์ได้อย่างไร ข้าได้ยินคนกล่าวกันว่ากลุ่มเดินสมุทรส่วนใหญ่เป็นพวกนอกกฎหมาย พวกเขาก็มีผู้ที่มีทักษะวิทยายุทธ์เก่งกาจมากมายเหมือนกันใช่หรือไม่ เจ้าเป็นสตรีคนเดียว หากจัดการคนคนเดียวคงไม่เป็นไร แต่หากว่ามีหลายคนคงไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ด้วยได้หรอกกระมัง ถึงแม้ข้าจะเห็นว่าเจ้าเป็นผู้มีวิทยายุทธ์ แต่อย่าไปปะทะกับพวกเขาซึ่งๆ หน้าจะดีกว่า หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกพวกเขารุมโจมตี ท่านน้าฉือน่าจะรู้เรื่องที่เจ้าเป็นผู้มีวิทยายุทธ์เหมือนกันกระมัง หาไม่แล้วเขาก็คงไม่ให้เจ้านำบ่าวหญิงเหล่านั้นเดินลาดตะเวนตอนกลางคืน สองสามวันมานี้ข้ายังกระเซ้ากระซี้ให้เจ้าไปเดินเที่ยวถนนย่านการค้าอีก รบกวนการหลับนอนของเจ้าหรือเปล่า ท่านน้าฉือบอกว่า พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางไปหังโจวแต่เช้า เจ้าบอกว่าอยากจะไปชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงมิใช่หรือ ถึงเวลานั้นเจ้าได้ไปด้วยกันหรือไม่ อยากจะขอให้ท่านน้าฉือสับเปลี่ยนคนมาเข้าเวรตอนกลางคืนสักคนแทนหรือไม่…”

 

 

โจวเสาจิ่นพูดพล่ามไม่หยุด ยิ่งพูดก็ยิ่งยาว

 

 

จี๋อิ๋งกุมหน้าผากอย่างอดไม่ได้ กล่าวว่า “คุณหนูรอง เรื่องของข้าท่านน้าฉือของเจ้าล้วนทราบเป็นอย่างดี ครั้งนี้ได้ติดตามพวกท่านมาหังโจวด้วย เหตุผลที่ท่านน้าฉือของเจ้าพาข้ามาด้วย ก็เป็นเพราะเห็นว่าข้าเป็นผู้มีวิทยายุทธ์ นำบ่าวหญิงเฝ้าเวรกลางคืนได้ ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียนถังแม้เป็นปรากฏการณ์ที่อัศจรรย์ยิ่งแต่ก็อันตรายมากเช่นกัน ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้เคยมีคนถูกคลื่นน้ำซัดกลืนหายลงไป ดังนั้นตอนที่เขาพาพวกเจ้าไปชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียงถัง จะต้องพาข้าไปด้วยอย่างแน่นอน เจ้าวางใจได้” นางกลัวว่าโจวเสาจิ่นจะซักถามไปเรื่อยๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็ถามจี้จนถูกประเด็นเอาได้ จึงกล่าวว่า “เจ้ามาหาข้าดึกดื่นถึงเพียงนี้ด้วยเรื่องอะไรหรือ”

 

 

ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่อ กระซิบกล่าวอย่างเก้อเขิน “ข้า…ข้าพกเงินมาไม่พอ เจ้าให้ข้ายืมตั๋วเงินสักหน่อยได้หรือไม่ เมื่อข้ากลับไปจะคืนให้เจ้า! จริงๆ นะ ข้ากลับไปจะคืนให้เจ้า!” เกิดเป็นคนมาสองชาติ นางยังไม่เคยขอยืมเงินจากผู้อื่นเลยสักครั้ง ประโยคสุดท้าย นางอดให้คำมั่นสัญญาเป็นการรับประกันไม่ได้

 

 

จี๋อิ๋งเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ตอนที่เจ้าซื้อของท่านน้าฉือของเจ้าไม่ได้จ่ายเงินให้เจ้าอย่างนั้นหรือ นายท่านสี่ไม่น่าจะเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวถึงเพียงนั้น!”

 

 

“เขาจ่ายเงินให้ข้าแล้ว” โจวเสาจิ่นยิ่งรู้สึกเขินอาย กดเสียงให้ต่ำลงอีกหลายส่วน กล่าวว่า “แต่ข้าจะให้เขาจ่ายเงินให้ข้าทุกๆ ครั้งก็คงไม่ดีนัก เดิมทีข้าคิดว่า จะคืนเงินที่เขาจ่ายค่าของให้ข้าก่อน จากนั้นก็ยืมเงินเจ้าสักหน่อยเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน ปรากฏว่าท่านน้าฉือซื้อของราวกับไม่ต้องจ่ายเงินอย่างไรอย่างนั้น นี่แค่วันแรก หากไม่ใช่เพราะท่านน้าฉือช่วยจ่ายเงินให้ ข้าเกรงว่าต่อให้ใช้เงินที่พกมาจากบ้านจนหมดก็ไม่ยังพอ…”

 

 

จี๋อิ๋งเข้าใจแล้ว นางเอ่ยขึ้นว่า “ข้าพกเงินมาห้าร้อยเหลี่ยง ให้เจ้ายืมสักสี่ร้อยเหลี่ยงพอหรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นลอบตกใจ

 

 

จี๋อิ๋งร่ำรวยยิ่งนัก!

 

 

เงินจำนวนมากเช่นนี้ ซื้อที่ดินได้เลยทีเดียว

 

 

แต่เนื่องจากเคยเห็นว่าเฉิงฉือซื้อของอย่างไรแล้ว โจวเสาจิ่นกลับไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเงินจำนวนนี้จะเพียงพอหรือไม่

 

 

สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลังจากที่นางตกรางวัลให้ฝานฉีไป ก็ไม่เหลือเงินในมือมากนักแล้ว ต่อให้จี๋อิ๋งจะให้นางยืมเงินอย่างใจกว้างเพียงนี้ แต่เมื่อกลับไปนางก็ยังต้องคืนเงินให้จี๋อิ๋งอยู่นี่นา!

 

 

“เจ้าให้ข้ายืมสักหนึ่งร้อยเหลี่ยงก็พอ” โจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าวันต่อๆ ไปจะควบคุมจิตใจของตนเองให้ซื้อของให้น้อยลงสักหน่อย

 

 

จี๋อิ๋งครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “ให้เจ้ายืมสองร้อยเหลี่ยงก็แล้วกัน! ท่านพ่อของข้าเคยกล่าวว่า เงินคือความกล้าหาญของคน หากมีเงินติดตัว เจ้าก็จะรู้สึกกล้าหาญขึ้นเล็กน้อย”

 

 

“ก็ได้” โจวเสาจิ่นไม่ได้กล่าวแย้งจี๋อิ๋ง ขอเพียงตนไม่ใช้เงินมากถึงเพียงนั้นก็พอ

 

 

จี๋อิ๋งไปหยิบเงินมาให้นาง ตั๋วเงินทั้งหมดเป็นตั๋วเงินสิบเหลี่ยง มัดเอาไว้เป็นหนึ่งมัดหนาๆ

 

 

โจวเสาจิ่นจดจำความรู้สึกซาบซึ้งใจนี้ไว้ในใจ

 

 

กระทั่งนางกลับมาถึงห้อง ชุนหว่านกับคนอื่นๆ ยังนั่งนับปิ่นปักผมแก้วเหล่านั้นอยู่ กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ของพวกนี้หากเอาไปแจกทั้งหมดก็สิ้นเปลืองเกินไป ภายหน้าท่านใช้เป็นของรางวัลมอบให้ผู้อื่นได้ ไม่ควรเอาพวกมันไปแจกทั้งหมดในคราวเดียว ท่านยังมอบบางส่วนให้คุณหนูใหญ่ได้ เมื่อคุณหนูใหญ่แต่งงานแล้ว ให้คุณหนูใหญ่นำไปมอบเป็นรางวัลให้กับบรรดามามาแม่บ้านในตระกูลของสามี เพราะท้ายที่สุดแล้วคุณหนูใหญ่ต้องผูกสัมพันธ์กับคนของตระกูลเลี่ยวตลอดชีวิตนะเจ้าคะ”

 

 

ความหมายก็คือ ควรจะเก็บของเหล่านี้เอาไว้จนกว่านางจะออกเรือนเพื่อใช้เป็นของรางวัลมอบให้คนของตระกูลสามีจะดีกว่า

 

 

โจวเสาจิ่นลอบถอนหายใจอยู่ในใจ

 

 

หากว่าไม่เกิดเรื่องเหล่านั้นในชาติก่อน ชุนหว่านที่ติดตามนางอยู่ข้างกาย เกรงว่าคงจะได้เป็นสาวใช้ใหญ่ที่มากความสามารถ กระทั่งเป็นมามาแม่บ้านได้เลยกระมัง!

 

 

นางเอ่ยถามชุนหว่าน “เจ้าอายุมากกว่าข้าเพียงสามปี วางแผนจะติดตามข้าไปเป็นมามาแม่บ้านคนหนึ่งหรือว่าอยากจะเป็นเหมือนซือเซียงที่เมื่อถึงวัยก็ถูกปล่อยตัวออกไป”

 

 

ชุนหว่านใบหน้าแดงระเรื่อ กล่าวเสียงเบาว่า “หากติดตามคุณหนูได้ เช่นนั้นก็นับเป็นความโชคดีของข้าตลอดชีวิตนี้เจ้าค่ะ”

 

 

ถ้อยคำได้ถูกเอ่ยออกมาอย่างชัดเจนแล้ว โจวเสาจิ่นยกยิ้มบางเบา แล้วให้ปี้เถาช่วยล้างหน้าล้างตา

 

 

***

 

 

วันรุ่งขึ้นท้องฟ้าแจ่มใส

 

 

หวังเสี่ยวตรงไปส่งพวกนางขึ้นเรือ จากนั้นก็ยืนดูเรือของพวกนางแล่นออกไปที่ท่าเรือหนิงโปราวกับไม่อยากแยกจากกัน

 

 

เฉิงฉือยืนอยู่ที่หัวเรือ หันหน้ารับลมพลางมองออกไปไกลๆ

 

 

ไหวซานกระซิบว่า “ตรวจสอบแล้วขอรับ เงินเหล่านั้นที่หลงจู๊หวังมอบให้นั้นเป็นเงินได้ส่วนตัวของเขาที่สั่งสมมาหลายปี ยิ่งไปกว่านั้น สองสามปีมานี้เนื่องจากเขาใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายเกินไป การเงินภายในบ้านจึงฝืดเคือง ภรรยาของเขาขู่ฆ่าตัวตายหากเขาไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้ยินคนกล่าวว่า เขากำลังแย่งชิงตำแหน่งหลงจู๊ใหญ่ของสาขาเจ้อเจียงกับหลงจู๊ของสาขาเฉวียนโจวอยู่ขอรับ”

 

 

“ดูแล้วเป็นคนทะเยอทะยานผู้หนึ่ง” เฉิงฉือกล่าว “หากมีคนควบคุมเขาได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกลายเป็นคนมีความสามารถดั่งม้าที่วิ่งได้พันหลี่ต่อวันก็เป็นได้ กลัวแต่ว่าเขาจะไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติ ยิ่งอยู่ยิ่งใจกล้ามากขึ้น จนเมื่อถึงเวลานั้นอาจก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาได้”

 

 

ไหวซานไม่ได้ดูแลเรื่องพวกนี้ จึงไม่กล้าวิจารณ์

 

 

เฉิงฉือยิ้มพลางถามว่า “ทราบหรือไม่ว่าเมื่อวานคุณหนูรองตระกูลโจวไปหาจี๋อิ๋งด้วยเรื่องอะไร”

 

 

ไหวซานยกยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้ ตอบว่า “ได้ยินว่าไปยืมเงินขอรับ…จี๋อิ๋งปิดปากเงียบยิ่งนัก แต่สายตาของป้าซางว่องไวยิ่งกว่า บอกว่าเห็นจี๋อิ๋งหยิบตั๋วเงินให้คุณหนูรองขอรับ”

 

 

เฉิงฉือเอ่ยว่า “อืม” เบาๆ แต่นัยน์ตากลับเผยรอยยิ้มเบิกบานออกมา

 

 

***

 

 

โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ มาถึงเมืองหังโจวเมื่อเวลาจวนจะค่ำ

 

 

ผู้ที่มารับพวกเขาคือหลงจู๊ใหญ่ของสาขาหังโจว

 

 

หลงจู๊ใหญ่ผู้นั้นอายุราวๆ สี่สิบปี ผิวขาวเนียนละเอียด รูปร่างอ้วนท้วม ท่าทางใจดี ดูอบอุ่นอ่อนโยนราวกับเกิดมาพร้อมกับรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า ประหนึ่งพระศรีอริยเมตไตร เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เร่งรีบว่า “นายท่านสี่ อีกครึ่งชั่วยามประตูเมืองจะปิดแล้ว แต่เนื่องจากเจ้าเมืองหังโจวเป็นสหายที่สอบขุนนางในปีเดียวกันกับนายท่านรอง จึงช่วยเหลือดูแลร้านตั๋วแลกเงินของพวกเราเสมอมา พอทราบว่าท่านกับฮูหยินผู้เฒ่าจะเดินทางผ่านเมืองหังโจวและยังต้องการพักแรมอีกสองสามวัน เขาไม่เพียงให้ที่ปรึกษาส่งป้ายชื่อมาให้ ยังให้ข้าส่งจดหมายแจ้งเขาฉบับหนึ่งหลังจากยืนยันรายละเอียดการเดินทางของท่านเรียบร้อยแล้วอีกด้วย กล่าวว่าอยากจะมาคารวะต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยตนเอง เนื่องจากไม่ได้รับคำสั่งใดๆ จากท่าน ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าตัดสินใจ จึงทำเพียงขอให้นายทหารรักษาเมืองช่วยดูแลจัดการให้ พอเกี้ยวของพวกเรามาถึงก็ให้ปล่อยผ่านไปได้ ส่วนเรื่องที่พัก ก็ตระเตรียมเอาไว้ตามที่ท่านได้สั่งการ ให้พักอยู่ที่เรือนหลังของร้านตั๋วแลกเงิน บรรดาข้ารับใช้ทั้งหลายก็จัดเตรียมเอาไว้แล้วเช่นกัน ท่านเห็นว่าท่านจะดื่มชาสักจอกแล้วค่อยลงจากเรือ หรือจะลงจากเรือตอนนี้เลยขอรับ”

 

 

ฟังจากคำพูดนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังเร่งให้พวกเขารีบลงจากเรือ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ประตูเมืองปิดแล้วเกิดเรื่องยุ่งยากตามมา แต่กล่าวออกมาได้อย่างนิ่มนวลไม่มีน้ำเสียงเร่งเร้าแต่อย่างใด

 

 

โจวเสาจิ่นที่ยืนอยู่ข้างหลังฉากกั้นรู้สึกทอดถอนใจ ผู้ที่ดูเหมือนพระศรีอริยเมตไตรยอีกคน ก็คือฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ของจวนสามผู้นั้น แต่ก็เหมือนเพียงเปลือกนอกส่วนภายในกับไม่เหมือนเลยสักนิด อย่างมากที่สุดก็เป็นได้แค่พระศรีอริยเมตไตรยจอมปลอมองค์หนึ่งเท่านั้น

 

 

เฉิงฉือเลือกเข้าเมืองในยามโพล้เพล้ก็เพราะมีเจตนาบางอย่าง

 

 

เซียวเจิ้นไห่กับเจี่ยงชิ่นต่างอยู่ที่หังโจว ถึงแม้เขาจะไม่ถึงกับหลีกเลี่ยงพวกเขา แต่หากพวกเขาทราบข่าวช้าไปสองสามวันได้ จะยิ่งสะดวกสำหรับเขาในการจัดการธุระต่างๆ

 

 

ทันใดนั้นเขาตัดสินใจลงจากเรือในทันที

 

 

หีบสัมภาระของโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ จัดเก็บเรียบร้อยตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว พอทราบการตัดสินใจของเฉิงฉือ ก็รู้ว่าเหลือเวลาไม่มากนัก หลังจากจัดของครู่หนึ่งแล้ว ก็ขึ้นเกี้ยวที่ร้านตั๋วแลกเงินสาขาหังโจวจัดเตรียมเอาไว้

 

 

พอเกี้ยวจอดที่ลานหลังของร้านตั๋วแลกเงินสาขาหังโจว โจวเสาจิ่นก็ตกตะลึงยิ่งนัก

 

 

แน่นอนว่าร้านตั๋วแลกเงินสาขาหนิงโปเทียบไม่ได้กับสาขาหังโจว ลานด้านหลังของสาขาหังโจวนอกจากจะกว้างใหญ่กว่าลานของสาขาหนิงโปมากแล้ว ยังใช้เครื่องเรือนที่ทำจากไม้หวงหลี ประดับไว้ด้วยกระถางเฝินจิ่งทำจากหยก ปูพื้นด้วยอิฐทอง และจัดวางดอกกล้วยไม้หายากเอาไว้ ประดับตกแต่งได้อย่างหรูหราโอ่อ่า คล้ายกับบ้านที่พำนักของตระกูลร่ำรวยไม่ใช่ลานหลังของร้านตั๋วแลกเงินแม้แต่น้อย แต่นี่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้โจวเสาจิ่นตะลึงได้ เนื่องจากร้านตั๋วแลกเงินเป็นสถานที่ทำมาค้าขายแห่งหนึ่ง หากว่ากิจการยิ่งใหญ่โต การจัดตกแต่งร้านก็ยิ่งต้องหรูหรา สิ่งที่ทำให้โจวเสาจิ่นตกตะลึงกลับเป็นต้นกุ้ยฮวาสองต้นที่ปลูกอยู่ตรงกลางลาน กิ่งไม้ใบไม้เขียวชอุ่ม ลำต้นใหญ่ขนาดคนโอบ สูงราวชายคา ระหว่างใบไม้สีเขียวเข้มแต่งแต้มไว้ด้วยดอกตูมสีเหลืองนวลประหนึ่งดวงดารา ทว่ารั้วล้อมหินครามที่ก่อขึ้นใหม่อย่างประณีตกับกองดินที่ดูสดใหม่นั้น ล้วนส่งเสียงบอกโจวเสาจิ่นว่า นี่เป็นต้นกุ้ยฮวาสองต้นที่เพิ่งจะเอามาปลูกเอาไว้

 

 

หลงจู๊ร่างอ้วนผู้นั้นกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “…ในเทศกาลวันไหว้พระจันทร์จะไม่มีต้นกุ้ยฮวาได้อย่างไร ดังนั้นข้าจึงตั้งใจเลือกปลูกต้นกุ้ยฮวาในลานนี้ให้ท่าน เมื่อถึงวันไหว้พระจันทร์ ท่านกับนายท่านสี่จะได้ดมกลิ่นหอมของดอกไม้ไปด้วยและชมพระจันทร์พลางรับประทานขนมไหว้พระจันทร์ไปด้วย ไม่มากก็น้อยจะช่วยปลอบประโลมอาการคะนึงหาบ้านได้หลายส่วนขอรับ”

 

 

………………………………..