ตอนที่ 197 หลิวหลีคนใจมาร

แม่ครัวยอดเซียน

“ผู้อาวุโสหลง นี่คือของที่ท่านต้องการ”

“ขอบคุณทุกท่านมาก” หลิวหลีมองของที่ตนเองต้องการ ไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อยนิด ท่านลุงนี่ทำงานเก่งจริงๆ

หลงจิ่งอู๋เก็บภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นไว้ในหินเก็บภาพไว้เป็นจำนวนมากและส่งไปยังสถานที่ต่างๆที่มีการปะทะกับคนจากโลกมาร

หลงจิ่งหลินนึกไม่ถึงเลยว่าภารกิจที่ตนเองคิดว่ายากลำบากจะลุล่วงได้อย่างง่ายดาย

“อมิตาพุทธ โยมหลงมีบุญคุณต่อโลกพุทธะ ช่วยไต้ซือมั่วหมิงของเรา โยมหลงสั่งการมาได้เลย โลกพุทธะจะให้ความร่วมืออย่างเต็มที่” หยวนเจินกล่าวพลางพนมมือ

“โลกพุทธะคุณธรรมสูงส่ง ขอบคุณไต้ซือทุกท่านที่ให้ความร่วมมือ” หลงจิ่งหลินพูดอย่างตื้นตัน

“ทำดีย่อมได้ดี โยมหลงทำแต่ความดี ย่อมได้สิ่งที่ดีๆตอบแทน” หยวนเจินกล่าว

ณ โลกอสูร เจ้าตำหนักทั้งสามรวมตัวอยู่ด้วยกัน

“สหายหลงบอกว่าต้องการความร่วมมือจากโลกอสูรหรือ” คุนเอ่ย

“ใช่แล้ว หวังว่าสหายอสูรทุกท่านจะร่วมมือกับพวกเราสู้กับโลกมาร” หลงจิ่งหลินกล่าว

“ได้สิ สหายหลงหลิวหลีมีบุญคุณต่อโลกอสูรเรา ยิ่งไปกว่านั้นโลกมารแสนทะเยอทะยาน ทุกดินแดนต่างตกที่นั่งลำบาก โลกอสูรเราจะสนใจตัวเองไม่สนใจผู้อื่นได้อย่างไร” คุนพยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย

“เจ้าตำหนักคุนช่างมีคุณธรรมยิ่งนัก” หลงจิ่งหลินนึกไม่ถึงว่าเรื่องจะราบรื่นเช่นนี้ เขาเตรียมตัวจะโน้มน้าวอีกฝ่ายเต็มที่ ผลคือทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันเขาก็อดนับถือหลานสาวตนเองไม่ได้ นางมีสายสัมพันธ์อันดีกับคนในทุกดินแดน

“นี่คือหินเก็บภาพที่พี่ใหญ่ข้าส่งมาให้ อยากให้ทุกท่านดูเสียหน่อย จิ่งหลิน ขอตัวก่อน” เมื่อหลงจิ่งหลินพูดจบก็ขอตัว โดยเขาเองก็ทิ้งหินเก็บภาพไว้ที่โลกพุทธะชุดหนึ่งเช่นกัน

เขานึกไม่ถึงเลยว่าคำพูดของนังหนูจะทำให้คนหึกเหิมได้ขนาดนี้ ทำให้คนมีกำลังใจ เลือดร้อนขึ้นมา เขาอยากจะไปแนวหน้าเสียในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ดินแดนต่างๆในโลกบำเพ็ญก็ได้รับหินเก็บภาพ ปลุกใจพวกเขาให้ฮึกเหิม

ณ สำนักเมฆาคล้อย เสวียนอวี่ฟังเทียนเย่ารายงานด้วยใบหน้านิ่งเฉย มองดูชางหยางที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก ที่วางแขนอยู่ดีๆก็กลายเป็นผุยผงขึ้นมาในทันที

“ท่านเจ้าสำนัก สิ่งที่ศิษย์รายงานเป็นจริงทุกประการ ขอให้ท่านจัดการด้วย” เมื่อเทียนเย่ารายงานเสร็จก็รอเสวียนอวี่เป็นคนสรุป

“ชางหยาง เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นนักปรุงยาระดับ 7 เจ้าเคยปรุงยาระดับ 7 ให้สำนักเท่าไหร่กันเชียว ศิษย์หลานผู้นั้นของข้าอยู่สำนักเมฆาคล้อยมา 60 ปี มอบยาศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากจนคนทั้งสำนักใช้ได้เป็นเวลา 30 ปี อัตราสำเร็จในการปรุงยายอดเยี่ยม และแน่นอนว่าประสิทธิภาพของยาดีเยี่ยมนัก เมื่อเทียบกันแล้วให้ผลดีกว่าของเจ้ามาก ส่วนเจ้าเป็นนักปรุงยาระดับ 7 มาสิบปี ไม่เคยมียาศักดิ์สิทธิ์ให้สำนักสักเม็ด อีกทั้งยังสิ้นเปลืองพืชศักดิ์สิทธิ์ระดับ 7 ไปเป็นจำนวนมาก แม้แต่ยาระดับ 6 ก็ให้มาแค่ไม่กี่เม็ด เจ้ากลับกล้าสั่งนังหนู ยังยกตัวเป็นผู้อาวุโสของนางอีกด้วย ใจกล้ามากจริงๆ เจ้าคิดว่าอายุมากกว่าหลิวหลีไม่กี่ร้อยปี แล้วจะคุยโวอะไรก็ได้หรือ” เสวียนอวี่พูดประโยคสุดท้ายด้วยความโมโห ชางหยางที่อยู่ด้านล่างตัวสั่นระริก

“เรียนเจ้าสำนัก ศิษย์ไม่ทราบว่านางคือผู้อาวุโสหลง” ชางหยางตอบอึกอัก หากเขารู้ว่านั่นคือคนในตำนานท่านนั้น เขาจะกล้าทำเรื่องโง่ๆได้อย่างไร

“ไม่รู้ว่าคือหลงหลิวหลีหรือ หากเป็นคนอื่นเจ้าจะทำตัวเช่นนี้ได้ล่ะสิ ชื่อเสียงหลายแสนปีของสำนักเมฆาคล้อยจะต้องมาด่างพร้อยเพราะคนอย่างเจ้า” เสวียนอวี่หัวเสีย หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงสำนักเมฆาคล้อยของเขาคงจะได้รับผลกระทบไม่น้อย ยังดีที่คนจัดการเรื่องนี้คือหลิวหลี ทุกคนจะแค่พูดว่านางสามารถแยกแยะเรื่องงานและงานส่วนตัวได้

“ท่านเจ้าสำนัก ใจเย็นก่อนขอรับ” เทียนเย่าเกลี้ยกล่อม หากโมโหแล้วต้องเจ็บป่วยพราะคนผู้นี้คงไม่เหมาะสมนัก

“เอาเถอะ เจ้าไปที่ผาสำรวจตนเถอะ หลังจากสงครามสิ้นสุดลง เจ้าจงพิจารณาความผิดของตัวเองไป 100 ปี พาเขาออกไปได้” เสวียนหั่วกล่าว ชางหยางหมดอาลัยตายอยาก นี่กะจะให้เขาแก่ตายอยู่ที่ผาส่องตนเลยใช่ไหม

ส่วนฟากหลิวหลีพอได้ของมาก็เริ่มหาพื้นที่ที่โล่งกว้างและไม่มีคน นางจึงเริ่มทำการทดลองของตนเอง คนที่แทบจะไม่มีความรู้ด้านสารเคมีอย่างนาง แต่ต้องมาทำระเบิดอะไรแบบนี้เวรกรรมแท้ๆ

ในขณะที่หลิวหลีกำลังครุ่นคิดวิเคราะห์อยู่นั้น หนานกงเวิ่นเทียนที่หอดารากรก็ค่อยๆลืมตาขึ้น หอดารากรแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ไม่เลว พลังเซียนหนาแน่น เวลาก็เดินช้ากว่าในมิติหลิวหลีมาก บวกกับของล้ำค่าที่เขาใช้นั้นทำให้หนานกงเวิ่นเทียนเริ่มมีแววจะบรรลุขั้นต่อไป นังหนู เจ้าต้องรอข้านะ หนานกงเวิ่นเทียนหลับตาลงอีกครั้ง เพื่อบำเพ็ญเพียรต่อ

ณ โลกมาร เยี่ยซิงหวงก็ได้หินเก็บภาพมาเช่นกัน ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เพื่อที่จะปลุกใจทุกคน หลงจิ่งอู๋ก็เลยทำเก็บไว้หลายชุด

“หึหึ น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า หลงหลิวหลี เจ้าพูดได้ไม่เลว ใช้ศัพท์ได้ดีจริงๆ ตอนนั้นข้ารู้สึกไม่ผิดจริงด้วยที่ว่าเจ้าจะกลายเป็นเสี้ยนหนามในการใหญ่ของข้า แล้วเป็นแบบที่ข้าคิดไว้จริงๆ” เยี่ยซิงหวงพูดขณะมองหลงหลิวหลี

“ถ่ายทอดคำสั่งข้า ส่งแม่ทัพมารระดับสูงไป อีกอย่างให้ทางนั้นเร่งมือขึ้นอีกสักหน่อย” เยี่ยซิงหวงสั่งการ

“ขอรับ นายท่าน” อั่นอิ่งตอบ

ณ โลกมาร ตำหนักที่เยี่ยซิงหวงเคยอยู่ ด้านล่างมีสระโลหิต ในนั้นมีอสูรร้ายอยู่สองตัว คือหยาจื้อกับต้าเฟิ่ง เป็นอสูรร้ายบรรพกาลที่โด่งดัง พวกเขากำลังแช่ในสระโลหิตด้วยใบหน้าพึงพอใจ ภายในนั้นมีกลิ่นอายอสูรเทพอบอวล แต่เหมือนเจือปนอะไรบางอย่างอยู่ภายใน ราวจะปลดปล่อยความชั่วร้ายทั้งหมดของพวกเขาออกมา

ณ โลกอสูรเทพ เอ๋าเลี่ย จื่อฉี เฟิ่งอิงเสวี่ย อสูรเทพทั้งสามตัวดูดซึมพลังของบรรพชนจนถึงช่วงขั้นสุดท้าย จนบนตัวเริ่มมีกลิ่นอายของบรรพชน เหลือแค่ขั้นเดียวก็จะเป็นผสานจนแนบสนิท แต่ต้องแข่งกับเวลา

ในช่วงนี้นอกจากหลิวหลีจะทำการทดลองของตัวเอง ก็จะออกไปเดินเล่นที่สนามรบบ้างเป็นบางครั้ง โลกมารมองอันดับหนึ่งผู้นี้ก็รู้สึกว่าคนผู้นี้น่าจะมีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับผู้โหดร้ายมากกว่า ฆ่าศัตรูตามอารมณ์ อารมณ์ดี ก็จะเล่นด้วย เล่นจนเบื่อก็สังหารทิ้ง หากอารมณ์ไม่ดี ก็ลงมือในทันที ไม่มีโอกาสแม้แต่จะโผล่หน้าออกมา ก็ได้กลับเข้าสู่อ้อมกอดของยมบาลแล้ว อีกทั้งยังชอบใช้ยาต่าง ๆ มาทดลองกับพวกเขา โลกมารมอบฉายาให้กับหลิวหลีว่า ‘คนใจมาร’ มารร้ายที่ทำอะไรตามอารมณ์ของตัวเอง

หลิวหลีได้ยินฉายานี้จากฮัวจิงเฟยที่กินยาแล้วมาบอกนาง ตอนนั้นด้วยสีหน้าที่กวนบาทาของฮัวจิงเฟย ทำให้หลิวหลีคันไม้คันมือจนยั้งมือไว้ไม่อยู่ จนอยากจัดการเขาเพื่อระบายอารมณ์

“คนใจมาร นางเป็นเด็กที่เกิดในชาติตระกูลดี ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี แต่กลับใช้คำว่านังมารเรียกขานนาง สมองเผ่ามารเป็นอย่างไรกันแน่ ถึงจะไม่มีความรู้ แต่นางก็รู้จักคำว่ามารถือเป็นคำยกย่องในโลกมาร” หลิวหลีบ่นพึมพำกับตัวเอง

เรื่องที่หลิวหลีเป็นคนใจมารแพร่กระจายไปทั่วโลกบำเพ็ญเพียร ทุกดินแดนมีความเห็นไม่เหมือนกัน แต่อย่างไรความหมายในด้านบวกก็มีมากกว่าเล็กน้อย เพราะคนที่จะทำให้ผู้บำเพ็ญมารปวดหัวได้ จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างไร

“ข้าคิดว่าหลิวหลีคงจะไม่ชอบฉายานี้แน่” ชิงหลวนบ่นกับหยวนเทียนและเฟยเผิงอยู่ ณ โลกอสูร

“ใช่ นางคงรู้สึกว่าโดนดูถูก” หยวนเทียนพยักหน้า

“เฮ้อ รอหลิวหลีรู้ก่อนเถอะว่าฉายาที่อยู่ๆก็ได้มานี้ ทำให้นางไปติดอันดับหนึ่งของการจัดอันดับผู้โหดร้ายก่อนเถอะ เอาเถอะ พวกเราเฝ้าทางนี้ไว้ให้ดี ถ้าไปที่นั่นดีไม่ดีอาจจะซวยเจอลูกหลงก็ได้” เฟยเผิงพูดด้วยท่าทีเกินจริง

“อมิตาพุทธ หากหลิวหลีเห็นเข้าจะต้องโมโหอย่างแน่นอน” หยวนเจินก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน

“อมิตาพุทธ โยมหลงเป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตา นางไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก” โม่เนี่ยนพนมมือแล้วพูดขึ้น

ถามว่าหลิวหลีติดขัดอะไรหรือไม่ นางติดใจอย่างมาก แต่พอมองฮัวจิงเฟยที่มีร่างกายที่น่ารังแก พยายามมาปรากฏตัวขึ้นอยู่ในสายตาของตัวเอง มอบรายชื่อการจัดอันดับแผ่นหนึ่งให้กับหลิวหลีด้วยรอยยิ้มเยาะ รายชื่อผู้โหดร้ายอันดับหนึ่งคือนาง หลงหลิวหลี

“คนกลุ่มนี้มีเวลาทำอะไรน่ารังเกียจเช่นนี้ แต่กลับไม่มีเวลาเตรียมตัวรับมือกับศัตรู ตรงนี้ยุ่งกันจะตายอยู่แล้ว แล้วเจ้าอีก แนวหน้าไม่ต้องการคนหรือ ทำไมถึงได้ไขว้เขวไปเรื่องอื่นเสมอ มิน่าเจ้าถึงเพิ่งจะอยู่ในช่วงรวมกายา รายงานที่ข้าได้รับเมื่อครั้งที่แล้วคือ ชิงหลวนเข้าสู่ระยะกลางแล้ว อันดับผู้ถูกเลือกของนางอยู่ต่ำกว่าเจ้าด้วยซ้ำ” หลิวหลีโมโหจนสบถด่า เหยียบฮัวจิงเฟยจนแทบจะจมดิน

ฮัวจิงเฟยรู้ตัวว่าตนเองติดเล่นเกินไป จึงคิดจะแอบหนีไป ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวอีกสักครู่ ตัวเองอาจจะต้องเละไปอีกหลายวัน

“คิดว่าหลบข้าแล้วจะรอดหรือ” หลิวหลีมองแผ่นหลังของฮัวจิงเฟย แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม

ฮัวจิงเฟยเดินไปไกลแล้วแต่ยังไม่ทันได้หายใจให้เต็มปอด ก็ต้องประหลาดใจเพราะเสียงหัวเราะประหลาดลอยเข้าหู มีคนใจดีส่งกระจกวารีให้ดู

“หลงหลิวหลี เจ้าจะเอายาประหลาดของเจ้าไปทำอย่างอื่นบ้างไม่ได้หรือ” ฮัวจิงเฟยมองสภาพหัวหมูที่ชวนตกใจมากกว่าคราวก่อน แล้วคราวนี้จะต้องอยู่ในสภาพนี้อีกนานเท่าไหร่

“หึ ใครใช้ให้เจ้ามาหัวเราะเยาะข้า เสี่ยวเทียนไม่มีทางมาแกล้งข้าเช่นนี้แน่” หลิวหลีย่อมได้ยินเสียงตะโกนของฮัวจิงเฟย เสียเปรียบเขาไปหน่อย ยาทำลายใบหน้าหลังจากสาดยาไปแล้วจะทำให้ใบหน้าแปลกประหลาดแต่เมื่อยาหมดฤทธิ์ จะทำให้หน้าตาดูดีขึ้น นางไม่เคยให้ใครเลยสักคน

หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน ฮัวจิงเฟยก็พบว่าใบหน้าของตัวเองเหมือนจะกลับไปเป็นเด็กอายุ 15-16 ไม่มีร่องรอยอารยธรรมเลยแม้แต่น้อย คนที่พบเห็นอยากจะเดินเข้ามาลูบคลำ หลงหลิวหลี จิตใจเจ้าช่างคับแคบ ฉายานั้นไม่ใช่ว่าไม่มีมูลสักหน่อย ฮัวจิงเฟยอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา

ในอีกด้านหนึ่งหลงจิ่งอู๋ได้รับรายงานมาว่า จับผู้บำเพ็ญเพียรมารที่แอบลักลอบเข้ามาอยู่ในแนวป้องกันของพวกเขาได้หนึ่งคน หลงจิ่งอู๋รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ว่าผู้บำเพ็ญคนนี้ดูเหมือนไม่ใช่คนที่กระหายเลือดนัก ทำไมถึงต้องแอบลักลอบเข้ามาในแนวป้องกันของพวกเขา ผลปรากฏว่าเขายังไม่ทันได้พูดอะไร ชายหนุ่มผู้นั้นก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ขอร้องล่ะ พาข้าไปหาหลงหลิวหลี ข้ามีเรื่องสำคัญต้องบอกนาง” ชายเผ่ามารพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนใจ

…………………………