สายลม เมฆขาว ปกคลุมไปทั่ว

ท่ามกลางขุนเขา เขาวิพากษ์ดูเป็นเอกลักษณ์ ตั้งอยู่ในนั้น

ลู่ฝานไม่รู้ว่าควรเรียกมันว่าภูเขาได้ไหม เพราะมันดูเหมือนเมือง ไม่ใช่ภูเขา

ภูเขาสูงกว่าสามหมื่นฟุต เต็มไปด้วยบ้านเรือน ตึก ศาลา แท่นต่างๆ ร้านอาหาร ร้านเหล้า ไม่ขาดอะไรสักอย่าง

แม้ตึกพวกนี้ หมุนขึ้นไปตามรูปร่างภูเขา ตรงกลางเป็นขั้นบันไดหินเขียวเหมือนน้ำตก บนยอดเขาเหมือนโดนคนเอากระบี่ตัดให้เรียบ จากสายตาของลู่ฝาน ก่อนที่ยอดเขาลูกนี้ยังไม่โดนทำให้เรียบ คงจะสูงอย่างน้อยหกหมื่นฟุต

เพราะพื้นที่ที่โดนทำให้เรียบ มีขนาดใหญ่มาก กวาดตามองไป อย่างน้อยครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยลี้

เหมือนยอดเขาอันยิ่งใหญ่ โดนคนตัดเอว และถูกปรับให้เป็นเมือง

ในเมฆหมอกที่ล้อมรอบภูเขา สิ่งก่อสร้างเหล่านี้เหมือนคนงามที่ซ่อนอยู่หลังฉากกั้น เพิ่มความลึกลับและงดงามเข้าไปอีก

ผู้คนในภูเขาไม่น้อยเลย ได้ยินเสียงคนจากไกลๆ ลู่ฝานใช้ความสามารถของสายตาตัวเอง มองผ่านเมฆหมอกไปไกล ยิ่งพบว่าเขาวิพากษ์น่าตกใจมาก นี่เป็นเมืองยิ่งใหญ่ในเทือกเขาชัดๆ

หานเฟิงตบไหล่ลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ฮ่าๆ ศิษย์น้องลู่ฝานคงตกใจสินะ คงคิดไม่ถึงว่าเขาวิพากษ์จะเป็นแบบนี้ อันที่จริง ตอนฉันมาครั้งแรกก็อึ้งเหมือนกัน ไปกันเถอะ ที่นี่ขายของที่เราต้องการ”

ทั้งสี่คนเดินต่อไป หลังข้ามเขาเล็กๆ ไปหนึ่งลูก มาถึงตีนเขาวิพากษ์

เมื่อเข้ามาใกล้ ยิ่งเห็นความหรูหราของเขาวิพากษ์

ประตูทางเข้าสูงเสียดฟ้า ตัวอักษรสีทองคำว่าเขาวิพากษ์ ส่องแสงระยิบอยู่ในเมฆหมอก

ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ แผ่นหินกว้างเหมือนโดนคนเช็ด ไม่มีฝุ่นสักนิด สองข้างมีต้นไม้ใบหญ้า ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง

ทั้งสองข้างมีอาคาร อาคารพวกนี้ส่วนใหญ่ทำจากไม้ ไม่กี่ชั้นด้านล่าง ทำจากหินขนาดใหญ่ ด้านบนสร้างจากไม้อย่างดี ทั้งล่างและบนมีหลายสิบชั้น ยาวสุดลูกหูลูกตา ชั้นของอาคารแต่ละชั้นเป็นชายคาที่โค้งขึ้นแบบจีน แกะสลักเป็นรูปนกนักล่า ทองและหยกระยิบระยับ

ถึงอยู่ในเมืองเจียงหลิน ลู่ฝานก็ไม่เคยเห็นอาคารแบบนี้ ในเมืองทั่วไป อาคารมีประมาณสามชั้น ถ้าอาคารสูงเสียดฟ้าแบบนี้ อยู่ในเมืองเจียงหลิน ต้องเป็นสิ่งยิ่งใหญ่แน่นอน แต่ที่นี่ กลับเห็นได้ทั่วไป

ทรงเหลี่ยม สูงเป็นพันฟุต โดยเฉพาะหอคอยสีขาวตรงกลาง ดูมีพลานุภาพยิ่งใหญ่ แขวนระฆังทองเต็มไปหมด มีเสียงไพเราะลอยตามลม เป็นระยะ อีกทั้งยังมีแสงสีขาว ปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น ลู่ฝานหรี่ตามอง หอคอยนี้

ผู้คนเดินไปมารอบๆ ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนคณะอื่น แค่แป๊บเดียว มีคนราวๆ หลายร้อยคน

หรือไม่ก็อาจารย์ได้ออกคำสั่ง พวกนายอย่าสร้างความวุ่นวายที่นี่ โดยเฉพาะศิษย์น้องหานเฟิง ถ้านายอยากสู้ รอขึ้นไปที่สนามกลางแจ้งบนยอดเขา นายสู้กับคนอื่นได้ตามใจ

หานเฟิงพูดอย่างหงุดหงิดว่า “รู้แล้วๆ พูดซ้ำทุกรอบที่มา ศิษย์พี่รองไม่หงุดหงิดที่พูด แต่ผมฟังจนหงุดหงิดแล้ว”

ฉู่เทียนส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “น่าเสียดายที่ไม่เข้าหูนายสักรอบ”

ลู่ฝานยังคงมองไปรอบๆ ทันใดนั้น ถามออกมาว่า “ทำไมที่นี่หรูหราขนาดนี้ล่ะครับ คนเยอะมากเลย”

ฉู่เทียนอึ้งไป จากนั้นมองลู่ฝานด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “ศิษย์น้องลู่ฝาน ดูเหมือนนายโดนบรรยากาศในคณะหนึ่งเดียวของเราทำร้ายเข้าให้แล้ว”

ลู่ฝานพูดอย่างไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไงครับ”

หานเฟิงมีสีหน้าเข้าใจ ตบไหล่ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ศิษย์พี่รองหมายความว่า นายอยู่ในคณะหนึ่งเดียวนานไปแล้ว เลยคิดว่าที่อื่นในสถาบันสอนวิชาบู๊เหมือนกับคณะหนึ่งเดียว แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น”

ศิษย์พี่หานเฟิงเงยหน้ามองฟ้า ท่าทางเศร้าใจ แล้วพูดต่อ “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายรู้ไหมว่าคณะอื่นใหญ่ขนาดไหน ทรงพลังขนาดไหน ส่องแสงระยิบระยับขนาดไหน สาวงามเยอะแยะแค่ไหน”

ศิษย์พี่หานเฟิงเอามือตบหน้าผากตัวเอง แล้วพูดว่า “ตอนนั้นฉันไปถิ่นของคณะสงบใจ ถึงกับอึ้งไปเลย ฉันโง่แค่ไหนถึงเลือกคณะหนึ่งเดียว คณะสงบใจใหญ่กว่ากำแพงเมืองบ้านเก่าฉันอีก นักเรียนทุกคนจะถูกแยกไปยังเรือนขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่กว่าหกหมื่นตารางเมตร อย่าว่าแต่วิวงดงามเหมือนภาพวาดเลย ยังมีพร้อมทุกอย่าง อีกทั้งถ้ายกระดับผลการฝึกตนเร็ว อาจารย์จะมอบคนใช้ให้ด้วย เรียกได้ว่าสะดวกสบาย สบายใจสุดๆ นักเรียนทุกคนอยู่ดีกินดี แค่ฝึกอย่างสงบก็พอแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ ศิษย์พี่ฉู่สิงกับศิษย์พี่ฉู่เทียน ถอนหายใจออกมาเช่นกัน

ศิษย์พี่ฉู่สิงพูดต่อ “คณะสงบใจนับว่าแย่แล้วนะ ฉันได้ยินว่านักเรียนคณะหยินหยางให้ของทุกเดือน ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง สมุนไพร หรือวิชา ถ้าทำความดีความชอบให้คณะ จะได้ไปเลือกอาวุธและวิชาด้วยตัวเองที่หอคอยดวงดาวกลางคณะหยินหยาง ไม่เพียงแต่ตัวเองจะใช้ได้ ยังสามารถคัดลอกกลับไปให้ตระกูลได้ด้วย นักเรียนที่เข้าคณะหยินหยาง คนข้างนอกล้วนแย่งชิงกันเข้าคณะหยินหยางเพื่อมาเป็นคนรับใช้พวกเขา แค่ขายตำแหน่งทาส ก็ทำให้พวกเขาทำเงินได้หลายแสนเหรียญทองแล้ว”