“อ๊ะ ท่านพ่อ!”
ในตอนนั้นเอง อาบีน็อกซ์ก็ตะโกนเรียกใครบางคนที่กำลังจะเดินผ่านไปอยู่แถวนั้น
“อ๊ะ! ท่านฟีเรนเทีย!”
แต่คนที่ตอบกลับมากลับเป็นทิลเลียน่าที่โผล่หน้าออกมาจากหลังของผู้ชายคนนั้นแทน
ทิลเลียน่ากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเธอด้วยใบหน้าดีใจ ก่อนจะแนะนำเธอให้คนกลุ่มหนึ่งที่พากันเดินตามหลังนางมาได้รู้จัก
“ท่านนี้คือคุณหนูฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียค่ะ!”
ช่างเป็นกลุ่มคนที่แต่งตัวได้อย่างหรูหราเสียจริง
คนกลุ่มนี้มีสีผิวค่อนข้างคล้ำไปทางสีแทน พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส
ชายวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบกว่าที่ตัวสูงที่สุดในคนกลุ่มนั้นเดินเข้ามาใกล้เธอ ก่อนจะกล่าวทักทาย
“สวัสดี คุณหนูลอมบาร์เดีย ข้าเจ้าตระกูลรูมัน อินดีท รูมัน”
ถึงแม้บริเวณสันกรามจะมีรอยแผลเป็นลากยาว แต่ใบหน้าที่ส่งยิ้มราบเรียบมาให้นั่น เหมือนกับอาบีน็อกซ์ราวกับถอดแบบมาจากพิมพ์เดียวกัน
“ได้ยินว่าช่วยดูแลทิลเลียน่า หลานสาวของข้าให้เป็นอย่างดี เลยอยากมาทักทายเพื่อขอบคุณด้วยตัวเองน่ะ”
“อา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ…”
พอเห็นเธอพยักหน้า อินดีท รูมันกลับกลายเป็นฝ่ายเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“หืม? ไม่ตกใจหรือที่นางใช้ชื่อตระกูลต่างจากข้า แต่ที่จริงแล้วเป็นหลานสาวของข้าน่ะ”
“เปล่าค่ะ ตกใจมากเลยค่ะ”
“ท่านฟีเรนเทียเป็นคนที่มีนิสัยใจเย็นมากน่ะค่ะ! ”
ทิลเลียน่าเอ่ยแทรกขึ้นจากด้านข้าง
อันที่จริงตั้งแต่ได้ยินชื่อทิลเลียน่าคิทอเวล เธอก็รู้อยู่แล้วตั้งแต่ต้นว่าที่จริงแล้วนางเป็นใคร
ทิวเคย์ รูมัน น้องชายของอินดีท รูมัน แต่งงานแล้วแยกตัวออกไป ในขณะเดียวกันก็ได้รับเขตแดนเล็กๆ เขตหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘คิทอเวล’
และจัดการเปลี่ยนชื่อสกุลของตัวเอง ตั้งเป็นตระกูลคิทอเวลขึ้นมา
เท่าที่ได้ยินมา สำหรับทางตะวันออกแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก
แต่พวกคุณหนูตัวน้อยที่ไม่ได้รู้เรื่องราวทางตะวันออกดี ย่อมไม่มีทางรู้ความจริงที่ว่านี่กันอยู่แล้ว
“ได้ยินว่าทิลเลียน่าถูกเข้าใจผิดว่านางเป็นคนบ้านนอกจากตะวันออก และโดนคนกลั่นแกล้ง…”
“ทะ ท่านลุง! ”
ทิลเลียน่าสะดุ้งโหยง แต่เจ้าตระกูลรูมันเพียงแค่หัวเราะเสียงเจ้าเล่ห์เท่านั้น
“ทั้งๆ ที่ไม่ทราบว่าทิลเลียน่าเป็นคนของตระกูลรูมัน แต่คุณหนูลอมบาร์เดียก็ยังช่วยเหลือคนอ่อนแอกว่า ช่างเป็นคนที่มีจิตใจงดงามจริงๆ เลยนะ”
“ก็แค่ทำเรื่องที่สมควรทำเท่านั้นเองค่ะ ชมกันเกินไปแล้ว”
ที่จริงแล้วก็เป็นเพราะทิลเลียน่ามีนิสัยเหมือนเครนีย์ เลยทำให้เธอไม่รู้สึกเบื่อเท่าไหร่ด้วย
และคนที่เป็นฝ่ายชวนเธอคุยก่อน ก็คือทิลเลียน่าด้วยเหมือนกัน
“อา ว่าแล้วเชียว…”
เจ้าตระกูลรูมันมองเธอในขณะที่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ในตอนนั้นเองกลุ่มคนที่ยืนอยู่รอบๆ ก็แหวกออก ก่อนที่คนอีกกลุ่มจะเดินเข้ามาใกล้
“โอ้ เจ้าตระกูลรูมัน”
“ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิโยบาเนส ท่านปู่ และด้านหลังพวกเขาก็ยังมีท่านพ่อกับเครย์ลีบันเดินตามหลังมาพร้อมกัน
พอกลุ่มคนที่ดูโดดเด่นสองกลุ่มมายืนรวมอยู่ที่เดียวกันแบบนี้ แน่นอนว่าสายตาของผู้คนที่อยู่ในงานเลี้ยง ต่างก็หันมามองทางนี้อย่างพร้อมเพรียง
“พวกเราอย่ามัวมาอยู่ตรงนี้เลย ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ”
มันคือคำเชิญสู่ ‘ห้องด้านหลัง’ ที่มีเฉพาะคนจำนวนน้อยในงานเลี้ยงเท่านั้น ที่จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปได้
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เจ้าตระกูลรูมันพยักหน้าด้วยความดีใจ ในขณะเดียวกันก็ส่งสายตาให้คนในครอบครัวที่ยืนอยู่รอบๆ
ทันใดนั้นผู้ชายที่ยืนอยู่ใกล้เขามากที่สุดก็รีบเดินมาอยู่ข้างกายเจ้าตระกูลรูมัน
“ในเมื่อตอนนี้ก็ได้เปิดตัวสู่สังคมชั้นสูงแล้ว ตัวเอกของงานเลี้ยงเปิดตัววันนี้อย่างฟีเรนเทีย ก็ตามมาด้วยกันเถอะ”
น่ารำคาญชะมัด
แต่เพราะยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ เธอจึงย่อเข่าลงเล็กน้อยแทนความหมายขอบคุณ
และสายตาของจักรพรรดิโยบาเนสก็มองไปยังเฟเรสที่ยืนอยู่ข้างกายเธอ
“เจ้าชายลำดับที่สองก็ด้วย”
พูดเพียงแค่นั้น
แต่หมายความว่าเฟเรสเองก็ได้รับเชิญอย่างเป็นทางการเช่นกัน
พอพวกเขาเริ่มเดินมุ่งหน้าไปยังชั้นบนพร้อมกัน คนอื่นๆ ก็ถอยห่างไปข้างหลังกันคนละก้าวสองก้าว ช่วยหลีกทางให้
สายตาของผู้คนมากมายจับจ้องค้างอยู่ที่เฟเรสเป็นพิเศษ
เขาอาจจะเป็นเจ้าชายก็จริง แต่ที่ผ่านมาเฟเรสไม่เคยได้รับเกียรติเช่นนี้มาก่อนพอเห็นว่าเขาเองก็เดินมุ่งหน้าไปยังห้องด้านหลังพร้อมกับบุคคลสำคัญท่านอื่นรวมถึงจักรพรรดิ ทุกคนจึงตกใจเป็นอย่างมาก
เฟเรสเองก็คงจะรู้สึกได้ถึงสายตาพวกนั้นถึงได้เกร็งไปเล็กน้อย
เธอถองสีข้างของเฟเรสแล้วพูดขึ้น
“ไปถึงน่าจะมีของอร่อยเนอะ ระหว่างที่พวกผู้ใหญ่คุยกัน พวกเราหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า”
“…อื้อ เอาสิ”
เฟเรสพยักหน้าตกลง ในที่สุดเขาก็ยิ้มออกได้เสียที
และผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงครู่หนึ่ง หันไปมองรอบๆ ราวกับตรวจเช็กอะไรบางอย่าง
“มองอะไร”
“อื้อ ไม่มีอะไรหรอก”
เฟเรสส่ายหน้า ก่อนจะเดินตามหลังเธอมาพลางตอบ
***
และในคืนนั้น จนกระทั่งฟ้ามืดสนิทเลยหัวค่ำไปค่อนดึก พวกเราถึงได้ขึ้นรถม้าเดินทางกลับสู่ลอมบาร์เดีย
ลอรีลกับเครย์ลีบันขึ้นรถม้าคันอื่น แยกย้ายกันเดินทางกลับไปยังบ้านของตัวเอง ส่วนคนอื่นๆ ในตระกูลลอมบาร์เดียก็พากันมานั่งรวมตัวอยู่ภายในรถม้าคันใหญ่ของลอมบาร์เดีย
คู่แฝดนั่งประกบอยู่สองฝั่งข้างเธอ ชานาเนสคอยช่วยดูแลท่านพ่อกับท่านปู่ที่ดื่มเหล้าร่วมกับจักรพรรดิโยบาเนสและเจ้าตระกูลรูมันไปค่อนข้างมาก
“เกลียดเทียแล้ว”
“ทำเกินไปแล้วนะ จริงๆ เลย”
คิลลีวูกับเมโลนเบ้ปากด้วยความแง่งอนในขณะที่พูดขึ้น
“ทำไมอีกเนี่ย”
พอเธอถามเสียงเอื่อย สองแฝดก็เริ่มส่งเสียงประท้วง
“ไม่เต้นรำกับพวกเราได้ยังไง”
“เอาแต่อยู่กับไอ้เจ้าชายลำดับที่สองนั่น… ไม่สิ เอาแต่อยู่กับเจ้าชายลำดับที่สอง”
คิลลีวูเหลือบมองชานาเนสเล็กน้อย ก่อนจะรีบเปลี่ยนคำพูด
“ไว้ค่อยเต้นคราวหน้าก็ได้ต่อไปก็แค่ไปร่วมงานเลี้ยงด้วยกันจนเบื่อไปเลยก็ได้นี่”
“คะ คราวหน้า?”
“ด้วยกัน…”
สองแฝดลอบแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว แล้วจู่ๆ ก็ยกมือขึ้นเป่ายิ้งฉุบแข่งกัน
“ข้าชนะ! ข้าก่อน!”
“อ๊าก! ”
เมโลนชนะ คิลลีวูแพ้
เรื่องแค่นั้นเอง แต่เมโลนกลับหัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ ทำตัวราวกับได้ครอบครองทุกอย่างบนโลก ส่วนคิลลีวูก็ขยุ้มผมตัวเองจนยุ่งไปหมด
จริงๆ เลย เพราะยังเด็กกันอยู่หรือไงเนี่ย
งานเลี้ยงจบลง ตอนนี้ก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แต่เด็กพวกนี้กลับมีกำลังวังชากันเหลือเกิน
เธอกำลังคิดแบบนั้นอยู่ แค่จู่ๆ รถม้าก็โยกโคลงเคลงหนึ่งครั้ง
การเคลื่อนไหวนั่นทำให้ท่านพ่อที่กำลังเมามายพิงศีรษะเอนเข้ากับไหล่ของเธอ
“เทีย…”
ท่านพ่อพึมพำเสียงแผ่วอย่างไร้สติ
“เทียของพ่อ ค่อยๆ โตให้ช้าๆ หน่อยเถอะนะ…ช้าๆ …”
โธ่ท่านพ่อของข้า
เธอลูบผมของท่านพ่อเบาๆ เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
พระราชวังที่อยู่นอกหน้าต่างค่อยๆ ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
* * *
วันถัดจากงานเปิดตัว
เฟเรสออกมาฝึกซ้อมตั้งแต่รุ่งสางเหมือนอย่างที่ทำเป็นประจำอยู่ทุกวัน หลังซ้อมเสร็จเขาก็มานั่งรับประทานอาหารอย่างผ่อนคลาย
มันเป็นวันที่ไม่มีอะไรต่างไปจากปกติ
แต่แล้วจู่ๆ เฟเรสก็พูดกับแคทเธอรีนที่กำลังช่วยเติมน้ำผลไม้ให้
“เตรียมตัวให้พร้อมไปอะคาเดมีด้วย”
“…เพคะ”
“อีกไม่นานข้าจะเดินทางไปยังอะคาเดมี แต่อย่าเพิ่งบอกให้ใครรู้ล่ะ”
เฟเรสมองแคทเธอรีนที่เงยหน้าขึ้นทันทีที่เขาพูดแบบนั้น
คำที่บอกว่า ‘ใคร’ ที่ว่านั่น แน่นอนว่าย่อมหมายถึงเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย
“…เพคะ”
“ขอบใจ”
เฟเรสทราบดีว่า สำหรับแคทเธอรีนที่จงรักภักดีต่อลอมบาร์เดียเป็นอย่างมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่แค่ไหน
“และวันนี้จะมีแขกมาเยือน เตรียมพร้อมไว้หน่อยก็ดี”