หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.507 – ไพ่พยากรณ์โชคชะตา

 

หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ เขาก็ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มา กู่ฉิงซานเดินกลับไปที่ห้องโดยสารของตนด้วยความพอใจ

 

เขานั่งลงใจกลางวังหลานเฉา นิ่งงันไปครู่หนึ่ง สักพักรอยยิ้มก็จางหายไป

 

เขาไม่คาดคิดเลยว่าตัวเองจะยังมีช่วงเวลาได้พักผ่อน เพียงแค่ไปเที่ยวชมสถานที่ ก็สามารถได้รับสมบัติกลับมา

 

สิ่งต่างๆในดินแดนอัศจรรย์ สำหรับเสี่ยวเหมียวกับแบ่รี่แล้ว ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก

 

เพียงตอบรับคำเรียกขานของวิหคหนาม ก็จะได้รับของขวัญสำหรับการพานพบกันเป็นครั้งแรก

 

เมื่อเข้าสู่โลกของวิหคหนาม ก็จะได้รับ ‘รางวัลการมีส่วมร่วม’

 

หากทำภารกิจได้ดี ก็จะได้รับ ‘รางวัลจัดอันดับ’

 

เมื่อออกจากที่นั่น ก็ยังได้รับ ‘รางวัลที่ระลึก’

 

ง่ายๆว่าเพียงแค่ไปเข้าร่วมก็ได้รับ ‘รางวัล’ แล้ว

 

ดังนั้น สิ่งที่กล่าวมาก็น่าจะสมควรเพียงพอต่อการชำระหนี้

 

เรื่องใหญ่ก็คงจะเป็นการที่เขาจะต้องทุ่มเทอย่างหนัก เพื่อทำผลงานให้ดี และได้รับรางวัลสมบัติที่ดียิ่งขึ้นก็เท่านั้น

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ หลากหลายอารมณ์ไม่มั่นคงก็ค่อยๆสลายไป กู่ฉิงซานรู้สึกเพียงแค่ว่าเขากลับมามีสติและหนักแน่นอีกครั้ง

 

ดีล่ะ!

 

เขาหยิบเม็ดยาทรงเมล็ดข้าวโยนเข้าปาก และหยิบ ‘บันทึกการฝึกยุทธของเซี่ยเต๋าหลิง’ออกมา

 

บรรทัดเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“แต้มพลังวิญญาณปัจจุบัน : 299400/400”

 

“เรียนรู้การฝึกฝนของเซี่ยเต๋าหลิงในขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย จากในบันทึก จำเป็นต้องจ่าย 1400 แต้มพลังวิญญาณ คุณต้องการจะเรียนรู้หรือไม่?”

 

“ต้องการเรียนรู้ ฉันยินดีจ่าย 1400 แต้มพลังวิญญาณ”

 

กระแสอันอบอุ่นไหลออกมาจากใบหยก ถ่ายเทผ่านแขน ขา และกระดูกของกู่ฉิงซาน ในที่สุดก็ไปบรรจบกันในทะเลแห่งห้วงสติ

 

นี่คือประสบการณ์ฝึกฝนสุดท้ายของเซี่ยเต๋าหลิงในขอบเขตประทับเทพ

 

ในโลกเทวะ เธอสามารถฝ่าโทษทัณฑ์สายลมและสายฟ้าจนยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตร่างเทวะได้ก็จริง ทว่าเธอยังไม่ทันจะมีเวลาได้บันทึกมันลงไป

 

กู่ฉิงซานที่ได้เรียนรู้ถึงประสบการณ์เหล่านี้ อดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในห้วงภวังค์

 

ด้วยสติปัญญาและความเฉียบแหลมของอาจารย์ หากไม่มีเรื่องข้อจำกัดของโลก เธอจะต้องสามารถตัดผ่านขึ้นสู่ร่างเทวะได้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

แม้หลังจากที่ได้เห็นวิธีการหลอมกลั่นโลกของฉีหยาน เธอก็ยังคิดจะหาวิธีการผสานรวมระหว่างโลกแห่งผู้ฝึกยุทธกับโลกเทวะเข้าด้วยกัน

 

เนื่องจากขอบเขตสูงสุดในครั้งอดีตของโลกเทวะคือขีดสุดความว่างเปล่า ดังนั้น การที่มันได้ผสานรวมเข้ากับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ขีดจำกัดใหม่ของมันต้องทะลุผ่านขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าไปอย่างแน่นอน

 

อย่างน้อยก็คงจะสามารถตัดผ่านไปถึงขอบเขตลมปราณจิตได้

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จะเป็นอย่างไรบ้าง

 

ไหนจะเซี่ยวโหลว , ซิวซิว , หนิงเยว่ฉาน , เหลิงเทียนสิง แล้วก็กงซุนซีอีก ….

 

หวังว่าทุกคนจะยังคงสบายดีนะ

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง นั่งขาซ้ายทับขวา เข้าสู่สภาวะฝึกยุทธ

 

เขาเริ่มที่จะพยายามตัดผ่านมันอีกครั้ง

 

การเรียกขานของวิหคหนาม ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรก็จริง

 

แต่กู่ฉิงซานตัดสินใจแล้ว ว่าเขาจะใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น!

 

เขาจะไม่มีวันผ่อนปรนความปรารถนาของตนเอง เพียงเพราะสภาพแวดล้อมตอนนี้มันผ่อนคลายเป็นอันขาด!

 

วันต่อมา

 

กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น

 

ฉานนู่ปรากฏตัวต่อหน้าเขา

 

กู่ฉิงซานพยายามรับรู้ถึงความผันผวนในร่างกายตนอย่างใจเย็น ขณะที่ในแววตาของฉานนู่คล้ายกำลังคาดหวังเล็กน้อย

 

ยิ่งกู่ฉิงซานแกร่งเท่าใด เธอก็จะยิ่งแกร่งขึ้นเท่านั้น

 

ความสามารถที่ทำให้ตนได้รับพลังเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันกับผู้ฝึกยุทธ ไม่ว่าครั้งใด ก็นับว่าเป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์สำหรับเธอเสมอ

 

“ขอแสดงความยินดีด้วยนายน้อย พลังวิญญาณทั้งหมดของท่านดูเหมือนจะสูงล้ำยิ่งกว่าแต่ก่อนถึง 4 ใน 10 ส่วนเลยทีเดียว” ฉานนู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“ใช่ เพราะตอนนี้ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธประทับเขตขั้นปลายแล้วอย่างไรเล่า”

 

กู่ฉิงซานวาดมือออกไป และดาบเช่าหยินก็ถูกคว้าจับโดยเขาทันที

 

หลังจากที่รับรู้ถึงมันอย่างใจเย็น เขาก็เอ่ยงึมงำ “ข้ารู้สึก … ว่าสกิลดาบของข้าทรงพลังยิ่งขึ้น”

 

“นั่นย่อมแน่นอน เพราะพลังวิญญาณของท่านมากขึ้น วิชาดาบจึงย่อมทรงพลังขึ้นเป็นเงาตามตัว”

 

“แต่ก็ยังอ่อนแอเกินไปอยู่ดี” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

เขาได้มีประสบการณ์ต่อกรกับตัวตนทรงอำนาจอย่างขอบเขตลมปราณจิตมาก่อนแล้ว ดังนั้นแม้ว่าเขาจะยกระดับขึ้นมาได้อีกขั้น แต่ตนก็มิได้มีความสุขใดๆเลย ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งที่จะอยากตัดผ่านขอบเขตให้เร็วกว่าเดิม

 

ฉานนู่ปลอบใจเขา “นายน้อย คนเรามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะกินมันเผาทั้งก้อนในลมหายใจเดียว สำหรับข้า หากเทียบเปรียบกับผู้ฝึกยุทธทั่วๆไป การฝึกยุทธของท่านนับว่ารวดเร็วมากแล้ว”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้ารับ แต่แล้วเขาก็ส่งสัญญาณโดยการส่ายหัวให้อีกฝ่าย

 

พร้อมกับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น

 

ฉานนู่เปลี่ยนตนเป็นดาบขุนเขาเทวะหกโลกา แล้วเข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติของกู่ฉิงซานทันที

 

กู่ฉิงซานลุกขึ้น และเดินไปเปิดประตู

 

แล้วเขาก็พบกับชายแก่ที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะมาบอกว่า ยังเหลือเวลาอีกครึ่งวันจึงจะถึงที่หมาย แต่อันที่จริงแล้ว ประเด็นหลักก็คือ ข้าจะมาบอกเจ้าว่ามีสิ่งใดเป็นของตัวเองที่พอจะเรียกว่าสมบัติได้หรือไม่? หากเจ้ามอบมันให้แก่วิหคหนาม มันอาจจะแลกเปลี่ยนกับบางสิ่งที่เป็นของจากดินแดนอัศจรรย์ก็ได้นะ”

 

กู่ฉิงซานนิ่งงันไป

 

ครั้งก่อนชายแก่เหมือนจะบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่การที่เขามาย้ำเตือนถึงมันโดยเฉพาะอีกรอบแบบนี้ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรื่องสำคัญ

 

ชายแก่กล่าวต่อ “สมบัติของพวกเราไม่ถูกนับว่าเป็นสิ่งใดสำหรับวิหคหนาม แต่ถ้าหากว่าเป็นบางสิ่งบางอย่างที่วิหคหนามยอมรับ มันก็จะนำเอาบางสิ่งจากดินแดนอัศจรรย์ออกมาเป็นการแลกเปลี่ยน – และสิ่งเหล่านั้นนับว่าเป็นสมบัติอย่างแท้จริง”

 

“ขอบคุณมาก ผมเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

ชายแก่พยักหน้าให้เขาและหันหลังเดินกลับไป

 

กู่ฉิงซานปิดประตูและเดินกลับมานั่งลงบนขอบเตียง

 

สมบัติงั้นหรอ?

 

เขาเริ่มครุ่นคิด

 

ตัวเขามีอะไรที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นสมบัติบ้าง?

 

ถ้าเป็นทรัพยากรของนิกายร้อยบุปผาล่ะ?

 

ไม่น่าจะได้ ทรัพยากรจากโลกกระจัดกระจายไม่น่าจะถือว่าเป็นสมบัติ

 

ถ้าเป็นเกราะรบล่ะ?

 

เขาหยิบชุดเกราะรบนายพลชั้นโหยวจีออกมา

 

แต่ชุดเกราะรบนี้ มันได้เผชิญกับการต่อสู้ในโลกเทวะมามากเกินไป ไม่เพียงสีของมันจะซีดลง แต่ก็ยังปรากฏถึงรอยแตกร้าวมากมายอีกด้วย

 

บางทีวิหคหนามอาจจะไม่ชอบสิ่งที่มีความเสียหายแบบนี้

 

–งั้นดาบพิภพ เช่าหยิน และดาบขุนเขาเทวะหกโลกาล่ะ?

 

จะบ้าหรือ!? พวกมันคือสิ่งที่เขาเอาไว้ใช้ต่อสู้เสี่ยงชีวิต ไม่ใช่สมบัติที่สามารถแลกเปลี่ยนได้!

 

ยังมีอะไรอีกบ้างไหมนะ?

 

ใช่แล้ว ไพ่ใบนั้นไง!

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

 

ชายแก่จากสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงกล่าวว่า มันคือสมบัติที่ไม่มีทางปรากฏขึ้นได้ในโลกกระจัดกระจาย

 

แต่อย่างน้อยเขาก็บอกว่าเจ้าสิ่งนี้นับว่าเป็นสมบัติอย่างแท้จริง

 

สิ่งที่มีค่าเช่นนี้ น่าจะสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับบางสิ่งบางอย่างได้

 

ด้วยวิธีนี้ ปัญหาหนี้สินของสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมก็สมควรที่จะได้รับการแก้ไข

 

มันเป็นวิธีการดีที่สุดในการจ่ายหนี้ทั้งหมด!

 

เมื่อคิดได้ถึงมัน กู่ฉิงซานก็จั่วไพ่พยากรณ์โชคชะตาออกมา

 

เห็นแค่เพียงดวงตาขนาดใหญ่อยู่บนผิวไพ่

 

หมอกสีขาวอันไร้ที่สิ้นสุดหมุนวนอย่างรวดเร็วในนัยตาใหญ่ ก่อให้เกิดกระแสน้ำวนอันเชี่ยวกราด

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นทันใด

 

“ไพ่พยากรณ์โชคชะตา , ไพ่แรร์(หายาก)”

 

“เมื่อคุณเกิดความลังเลขึ้น คุณสามารถดูไพ่ใบนี้เพื่อสังเกตถึงความเป็นไปได้บางอย่างในโชคชะตาของตัวเอง”

 

….

 

“ไพ่ใบนี้เป็นของหายากและล้ำค่ายิ่ง ตลอดทั้งต่างโลกมากมาย คุณสามารถใช้มันเพื่อแลกเปลี่ยนกับสมบัติในฝันเลยก็ยังได้”

 

กู่ฉิงซานเฝ้าดูไพ่

 

ดูเหมือนว่าในที่สุด ไพ่ใบนี้ก็จะได้ใช้ประโยชน์เสียที

 

ทว่าเมื่อเขามองดูไพ่ ดวงตาใหญ่ก็เหลือบมามองเขาเช่นกัน

 

หลังจากนั้นเพียงลมหายใจเดียว ดวงตาใหญ่ก็หายไป

 

ไพ่พยากรณ์โชคชะตาเริ่มทำงานอีกครั้ง

 

เห็นแค่เพียงโครงกระดูกในผ้าขี้ริ้วปรากฏขึ้นบนไพ่

 

โครงกระดูกเดินวนไปรอบๆอย่างกระวนกระวาย คล้ายกับกำลังรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

 

โดยปกติแล้ว โครงกระดูกมักจะหมายถึงตัวแทนของความตาย นี่เป็นสามัญสำนึกที่รู้กันทั่วไปของผู้ใช้ไพ่

 

กู่ฉิงซานยิ้มทันทีที่เห็นมัน

 

ก่อนหน้านี้ในโลกล่องเวหา บนหน้าไพ่ก็ปรากฏถึงโครงกระดูกแห่งความตายขึ้นเช่นกัน

 

แต่เขาไม่เคยเชื่อสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดจะทำตามมัน

 

กู่ฉิงซานเตรียมที่จะเก็บไพ่กลับคืนอีกครั้ง

 

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆบนไพ่แห่งโชคชะตาก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลง

 

โดยไม่มีการเตือนใดๆ จู่ๆโครงกระดูกก็อ้าปากกว้าง เริ่มกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความหวาดกลัว

 

เสียงของมันทะลุผ่านไพ่ และกังวานไปทั่วทั้งห้อง

 

โครงกระดูกวิ่งหนีไปรอบๆด้วยความตื่นตระหนกอยู่ภายในไพ่ แต่มันก็ไม่สามารถออกไปได้

 

การดิ้นรนทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์

 

กู่ฉิงซานเห็นตัวเองปรากฏขึ้นบนไพ่ในทันใด

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะดูเหมือนเขา แต่มันไม่ใช่เขาจริงๆ

 

ดวงตาของเขาถูกแทนที่ด้วยสองหลุมดำ

 

พร้อมกับฟันอันแหลมคมที่งอกขึ้นในปาก และน้ำลายที่ไหลหยดย้อยลงอย่างต่อเนื่อง

 

เขาคำรามและโจมตีเข้าใส่โครงกระดูก เพียงครั้งเดียวตัวโครงกระดูกก็ล้มลงกับพื้น

 

โครงกระดูกพยายามดิ้นรนต่อต้านชนิดหัวชนฝา แต่สุดท้ายมันก็ไม่รอดเงื้อมมือของกู่ฉิงซาน

 

กริ๊ก!

 

บังเกิดเสียงกระดูกแตกหัก

 

แล้วกะโหลกของโครงกระดูกก็เริ่มถูกกัดแทะกิน

 

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง และเริ่มกัดกินส่วนต่างๆของโครงกระดูกตนนั้น

 

บังเกิดเสียงขบเคี้ยวไม่สม่ำเสมอดังขึ้น

 

พร้อมด้วยการกัดกินของเขา ความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งหน้าไพ่

 

ตลอดทั้งไพ่กลายเป็นมืดมิด

 

“แปลกจัง ทำไมฉันถึงกลายเป็นแบบนั้นไปล่ะ?” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำขณะมองดูไพ่

 

เขาไม่เคยเห็นภาพแปลกๆแบบนี้มาก่อนเลย นับตั้งแต่ที่ได้รับไพ่มา

 

กู่ฉิงซานลองสะบัดๆพัดอย่างแรงจนเกิดลม

 

แต่ไม่ว่าเขาจะทำอะไร บนไพ่ก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยความมืดอยู่ดี

 

“นายน้อย ไพ่ใบนี้ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย” ฉานนู่กล่าวเสียงกระซิบ

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเกิดความรู้สึกอะไรแบบนี้

 

หัวใจของกู่ฉิงซานบังเกิดบางอย่างที่ดูคลุมเครือ และไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจนขึ้นเหมือนกัน

 

นี่มันแตกต่างไปจากที่ผ่านมา

 

คราวนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกว่ามีบางอย่างมันไม่ถูกต้องจริงๆ

 

ตั้งแต่ขึ้นเรือมา การรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาก็ร้องเตือนว่ากำลังจะมีอะไรเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น

 

การรับรู้ทางจิตวิญญาณคือนิมิตอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้ฝึกยุทธ

 

ดั่งเช่นการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเซี่ยเต๋าหลิงที่นับว่าน่าเกรงขามยิ่ง มันกระทั่งถึงขั้นสามารถเผยภาพตัวเธอเองกำลังตกตายได้

 

ขณะที่การรับรู้ของกู่ฉิงซานมันแค่ทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่าย และมันยังคงไม่หายไปแม้ตนจะสามารถยกระดับขึ้นมาได้ถึง 2 ขั้นแล้วก็ตามที-

 

เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?

 

กู่ฉิงซานลุกขึ้น แล้วเดินกลับไปกลับมาในวังหลานเฉา

 

เรื่องการรับรู้ทางจิตวิญญาณ เขาว่าตนค่อนข้างจะมั่นใจ

 

หากลองรวมมันเข้ากับสถานการณ์ของไพ่ใบนี้ เขาก็จะสามารถได้รับข้อมูลที่มันชัดเจนมากยิ่งขึ้น

 

แต่เขาเป็นผู้ฝึกดาบ มิใช่ผู้ใช้ไพ่

 

แม้ว่าตนจะมีความรู้เกี่ยวกับไพ่อยู่บ้าง แต่มันก็ตื้นเขิน ดังนั้นเมื่อไพ่เกิดการเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดเช่นนี้ เขาย่อมไม่สามารถเข้าใจได้

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งคนทั้งร่างจมลงสู่ความสับสนยิ่ง …