บทที่ 213 กำหนดการ

คู่ชะตาบันดาลรัก

หยางชูรีบไปที่ศาลาว่าการแล้วก็พบว่าทุกคนมากันครบแล้ว

นอกจากหมิงเวยและเจี่ยงเหวินเฟิง เหลยหง เกาฮ่วน ตี๋ฝานเองก็อยู่ด้วย

เมื่อเห็นหยางชูเดินเข้ามาเจี่ยงเหวินเฟิงก็พูดขึ้น “คนมาครบแล้วงั้นมาเริ่มกันเลย”

“เกิดอะไรขึ้น” หยางชูถาม “ทุกคนอยู่ที่นี่หรือว่าเตรียมพร้อมลงมือแล้วงั้นหรือ”

เจี่ยงเหวินเฟิงชี้ไปทางเหลยหงบ่งบอกว่าให้เขาเป็นคนตอบคำถามนี้

เหลยหงเล่าสถานการณ์จากจี้เสียวอู่ให้ฟังอีกรอบแล้วพูดต่อไปว่า “พวกเราได้ตรวจค้นฐานที่มั่นที่กระจัดกระจายทั้งหมดของกลุ่มยาจกแล้ว และบังคับให้พวกเขาไปรวมตัวกันใต้ดิน ตอนนี้เราได้แผนที่มาแล้วสามารถลงมือได้เลยขอรับ”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่คัดค้านเจี่ยงเหวินเฟิงจึงพูดว่า “มีหนึ่งเรื่องที่พวกเราแน่ใจก็คือต้องมีคนอยู่เบื้องหลังกลุ่มยาจก และคอยแจ้งข่าวสารให้กับพวกมัน เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวในคืนนี้จะต้องไม่รั่วไหลออกไปเด็ดขาด เวลาลงมือของพวกเราคือยามไห้ เกาฮ่วน ก่อนหน้านั้นเจ้าออกไปจัดการคดีตามปกติอย่าให้ผู้อื่นจับได้ ยามซวี[1]เจ้าค่อยเรียกกำลังพลให้มารวมตัว จำไว้ว่าให้หาข้ออ้างอื่นและเวลารวมตัวกันห้ามเกินครึ่งชั่วยาม”

เกาฮ่วนตอบรับเสียงดัง “ขอรับ”

“เหลยหง เจ้าก็เหมือนกัน นอกจากระดมกำลังคนแล้วยังต้องรับผิดชอบในการแลกเปลี่ยนข้อมูล หากข้าถูกเรื่องอื่นรั้งเอาไว้อยู่ให้เจ้าออกคำสั่งแทนข้าได้เลย”

“ขอรับ”

เจี่ยงเหวินเฟิงหันไปทางตี๋ฝาน “ฝ่าบาททรงอนุญาตเป็นพิเศษให้กองทหารรักษาพระองค์ของเจ้ามารับฟังคำสั่ง สมาชิกในกองทหารส่วนใหญ่เป็นบุตรชายขุนนางชั้นสูงซึ่งยิ่งมีความซับซ้อนเจ้าต้องระวังตัวเป็นพิเศษ”

ตี๋ฝานประสานมือก่อนกล่าว “ใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าจะหาเหตุผลดีๆ ไม่ให้พวกเขาสงสัยขอรับ”

เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าและมองหยางชูเป็นคนสุดท้าย “คุณชายหยาง ความสามารถของหวงเฉิงซือไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย ข้าเชื่อว่าความเป็นไปได้ที่ท่านจะทำข้อมูลรั่วไหลนั้นมีน้อยมาก เพราะฉะนั้นเรื่องช่วยตัวประกันท่านเป็นคนรับผิดชอบได้หรือไม่”

หยางชูพยักหน้า “ได้”

คนของเขามีสถานะหลากหลายอาชีพ คนแปลกหน้าคนมีความสามารถมีไม่น้อย การโจมตีของพวกเขาจะไม่เหมือนกองทหารรักษาพระองค์หรือเจ้าหน้าที่ แต่เป็นการกระจัดกระจาย แต่ละคนล้วนเป็นยอดบุรุษทั้งนั้น

เจี่ยงเหวินเฟิงจัดการได้อย่างเหมาะสม

เขาหันไปหาหมิงเวย “ส่วนแม่นางข้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ตามสบายได้เลย”

หมิงเวยยิ้มบางๆ “ใต้เท้าตามสบาย”

พวกเขาหลายคนได้รวมตัวกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับกลยุทธ์โดยละเอียด ว่าต้องเข้าไปทางไหน แบ่งทหารไปทางไหนบ้าง ใครรับผิดชอบตรงไหน แจกแจงให้แต่ละคนโดยละเอียด

เมื่อพูดคุยกันเสร็จฟ้าก็มืดเสียแล้ว เมื่อออกมาจากห้อง หยางชูก็ถามว่า “คืนนี้ท่านจะไปกับข้าด้วยหรือไม่”

หมิงเวยถอนหายใจ “ไม่ไปกับท่านแล้วข้าจะไปกับใครได้เล่าเจ้าคะ” ไม่ว่านางจะไปกับเหลยหงหรือคนอื่นๆ ก็ล้วนดูแปลกประหลาดทั้งนั้น

“จริงสิ ยืมคนของท่านไปส่งข่าวที่จวนท่านลุงได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงกระวนกระวายเป็นแน่” หยางชูตอบรับแล้วสั่งการองครักษ์เงา จากนั้นก็ขึ้นรถม้าไปกับหมิงเวย

ผ่านไปสักพักรถม้าก็หยุดลง หมิงเวยเหลือบมองไปรอบๆ แล้วรู้สึกประหลาดใจ “ที่นี่คือ…หวงเฉิงซืองั้นหรือ”

หวงเฉิงซืออยู่ติดกับพระราชวัง ง่ายต่อการจดจำ หยางชูพยักหน้าแล้วพานางเข้าไปในที่ทำการอย่างไม่สนใจผู้ใด ตลอดทางมีทหารดูต้นทางเพียงไม่กี่คน แต่หมิงเวยสามารถรับรู้ได้ว่าสถานที่นี้ถูกปกคลุมไปด้วยชี่ต่างๆ

ที่นี่มียอดฝีมือมากมายจริงๆ!

เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่หยางชูก็ตะโกนเรียกอาสวน “ระดมพล!”

……………

เมื่อจี้เสียวอู่ได้รับสารตอบกลับ เขาก็ไม่ว่าอะไรและยังคงพูดคุยกับคนที่ฉีผิงส่งมา “พี่ชาย พวกเราจะได้ออกไปจากที่นี่เมื่อไรหรือ อยู่แต่ในนี้ทั้งวันมันหายใจไม่ออก”

คนผู้นั้นทำสีหน้าเบื่อหน่าย “ตรงไหนกัน คุณชายกัวช่างโชคดีมีสาวงามหลายคนอยู่เคียงข้าง พวกเรานี่สิ…”

จี้เสียวอู่หัวเราะและตบไหล่อีกฝ่าย “ขอโทษด้วย พูดตามตรง พวกเราตระกูลกัวไม่เคยบังคับสตรี เพราะฉะนั้นสาวใช้ของข้าหากนางได้ยินเข้าคงทนไม่ได้…”

คนผู้นั้นอยากรู้มากจึงกล่าวถาม “คุณชายกัว อย่าโทษที่พวกเราทำให้ขุ่นเคืองเลย ถึงพวกท่านจะมาจากลั่วเฉิง พวกเราเป็นคนในเมืองหลวง แต่ขอทานจะสามารถทำอะไรได้เล่า พวกท่านไม่ได้ทำธุรกิจนี้แล้วสามารถเลี้ยงดูทุกคนได้อย่างไร”

จี้เสียวอู่พูดมั่วซั่วออกไปว่า “จะไปยากอะไรกัน ใหญ่เท่าบ่อนพนันโรงรับจำนำ เล็กเท่าสระผมตัดเล็บเท้ามีอะไรที่เราทำไม่ได้กัน เหตุใดจึงต้องทำธุรกิจน่ากลัวเช่นนี้ อันที่จริงตระกูลกัวก็มีหอนางโลม แต่เราไม่เคยรับสินค้าจากแหล่งที่ไม่ถูกต้อง ท่านพ่อบอกว่าเรื่องที่พวกเราทำ มีขาวมีดำ หากดำมากไปก็จะเกิดปัญหาได้ง่าย เมื่อถึงเวลานั้นคนที่ต้องสละชีวิตก็คือพี่น้องของพวกเรามิใช่หรือ พวกเราทำงานกันมาอย่างหนัก สิ่งที่พวกเราต้องการก็คือความสุขมิใช่หรือ เรื่องที่ต้องส่งพี่น้องพวกเราไปตายน่ะไม่ทำจะดีกว่า”

คนผู้นั้นแสดงสีหน้าอิจฉา “ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาบอกกันว่ากลุ่มยาจกที่ลั่วเฉิงมีชีวิตที่ดีมาก!”

“อันที่จริงหากไม่ยุ่งกับเรื่องพวกนี้ก็คงไม่มีช่องทางรายได้ บางเรื่องทางการก็ดูแลได้ไม่ดีใช่หรือไม่ พวกเราให้เขาจัดการถึงได้มีกฎเกณฑ์ เจ้าบอกว่าพ่อค้าพวกนั้นต้องเดือดร้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เพราะมีพวกเราอยู่เลยไม่มีใครกล้าก่อปัญหา! เพื่อสิ่งนี้พวกเขาถึงยินดีที่จะจ่าย”

คนผู้นั้นพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ๆๆ คนนอกไม่รู้หรอก มักจะบอกว่าพวกเราทำเรื่องไม่ดี จะไปรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราก็มีประโยชน์”

“ใช่! แต่พวกเราเองก็ต้องรู้จุดยืนของตนเองด้วย ปกติทางการมักเปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งอยู่แล้ว แต่ถ้าพวกเราข้ามเส้นมากเกินไป ไม่ใช่เป็นการหย่อนเบ็ดให้พวกเขาจับหรอกหรือ เมื่อเวลาที่พวกเขาต้องการมาถึงก็จะกำจัดพวกเราทิ้ง เป็นการหนุนขุนนางทุจริตพวกนั้นโดยเปล่าประโยชน์”

“ใช่ๆๆ!” จี้เสียวอู่โน้มน้าวอีกฝ่ายสำเร็จ “คุณชายกัวมองการณ์ไกล…”

เขาคิดในใจว่าปัญหาในครั้งนี้ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นไม่ใช่หรือ คุณชายกัวคงไม่รู้ คิดว่าตนเองก่อคดีฆาตกรรมเลยไปดึงดูดทางการเข้า แต่พวกเขามีใครไม่รู้บ้างว่าทางการคิดจะกวาดล้างพวกเขาแล้ว

หากไม่ทำธุรกิจนี้พี่น้องในตอนนี้จะมีความสุขแค่ไหน ไม่มีเงินก็ออกไปเก็บค่าคุ้มครอง มีเงินก็ไปขอให้หญิงสาวร้องเพลง…เมื่อคิดได้เช่นนั้นความคิดแต่ละอย่างก็ลอยเข้ามา

ขณะที่กำลังพูดคุยกันฉีผิงก็เดินเข้ามาหา สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดี หลังจากซอยคังเล่อถูกตรวจค้น ฐานลับของกลุ่มยาจกที่อื่นก็พังไปตามๆ กัน ตอนนี้เขาอยากกลับขึ้นไปบนพื้นดินแต่ก็ไม่สามารถกลับไปได้

ในเมื่อทางการกล้าลงมือหมายความว่าพวกเขาคงได้ข่าวสารที่แน่นอนเป็นแน่ หากฉีผิงที่เป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มยาจกถูกจับได้ก็ถือว่าเป็นอันจบสิ้นแน่

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์จะรุนแรงมาก หากเบื้องบนรู้ว่าคุณชายกัวตกอยู่ในมือพวกเขาคงสามารถขอให้ตระกูลกัวช่วยเหลือได้

ตอนนี้เขาได้ส่งคนออกไปหลายวันแล้ว แต่ยังไม่ได้ข่าวคราวกลับมา…

“พี่ฉี!” จี้เสียวอู่แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลยแล้วเดินมาทักทายอีกฝ่าย “ท่านมาแล้ว เหตุใดสีหน้าถึงดูไม่ค่อยดีเลยล่ะ เป็นเพราะวิ่งวุ่นเพื่อข้างั้นหรือ ต้องขอโทษจริงๆ ขอให้ข้าผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ข้าจะขอให้ท่านพ่อชดเชยให้พวกท่านเป็นอย่างดีเลยล่ะ”

ฉีผิงฝืนยิ้ม “เรื่องเล็กน้อยใครใช้ให้พวกเราเป็นพี่น้องกันล่ะ!”

“ใช่! พี่น้อง พี่ฉีพูดถูก!” จี้เสียวอู่ยิ้ม “ได้ยินว่าหัวหน้าเซียงเชิญพี่ฉีไปดื่มสุรางั้นหรือ ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่”

ฉีผิงไม่พอใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ “ได้สิ!”

“ถือว่าพี่ฉีเห็นใจข้า ข้าพูดอย่างไม่ปิดบังเลย ข้าอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้วรู้สึกเบื่อ…”

……………

[1] ยามซวี : ช่วงเวลาระหว่าง 19:00 น. – 21:00 น.