ตอนที่ 136 หาเรื่องให้ตนเองต้องอับอาย

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

“ซีเอ๋อร์อยากขยายอำนาจตระกูลมู่หรือ ?” มู่อวู่ซวงเอ่ยถาม

“ไม่ใช่ขยายอำนาจสักหน่อยท่านอาเล็ก ข้าก็แค่อยากพัฒนาหอหมอปีศาจอย่างลับ ๆ ก็เท่านั้นเอง” มู่เฉียนซีกล่าว

“ท่านพ่อเลือกแคว้นจื่อเยี่ยแห่งเซี่ยโจวเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยให้กับตระกูลมู่ของเรา ประการแรกเป็นเพราะแคว้นจื่อเยี่ยเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ อยู่ติดกับแคว้นชิงเพียงแคว้นเดียว บริเวณรอบ ๆ ก็เป็นเทือกเขาสองลูกที่ไม่อาจข้ามไปได้  อีกอย่าง ที่นี่ก็เป็นแคว้นสงบเงียบไม่วุ่นวาย”

มุมปากมู่อวู่ซวงกระตุกเล็กน้อย “ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย ซีเอ๋อร์ก็รู้แล้ว”

“ที่ท่านพ่อทำเช่นนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงศัตรู อยากให้ตระกูลมู่ของเราอยู่อย่างสงบสุขสุขสบาย ดังนั้นหากตำแหน่งที่ตั้งตระกูลมู่ถูกเปิดเผยออกไป ต่อให้ในตระกูลเหลือเพียงข้ากับท่านอาเล็กสองคน เราก็จะตกเป็นอันตรายเอาได้…

แต่ตระกูลมู่ขของเราจะไม่พัฒนาต่อก็ไม่ได้  เหตุผลแรก ความเจ็บป่วยของท่านอาเล็กต้องได้รับการรักษา ฉะนั้นต้องหาหม้อเทพนิรันดร์มาให้ได้  เหตุผลที่สองก็คือข้าไม่สามารถอยู่แค่เพียงในแคว้นจื่อเยี่ย ข้าต้องออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกบ้าง …ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงตัดสินใจเช่นนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านอาเล็กมีควานเห็นเช่นไรบ้าง ?”

มู่อวู่ซวงมองหลานสาวด้วยสายตาอบอุ่นอ่อนโยนราวกับสามารถทำให้ใจละลายได้ก็มิปาน จากนั้นมุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย กล่าวว่า “ไม่ว่าซีเอ๋อร์จะตัดสินใจเช่นไร ข้าก็จะสนับสนุนซีเอ๋อร์ทุกอย่าง”

“ข้าขอบคุณท่านอาเล็กมากที่เข้าใจข้า การร่วมแข่งขันการประลองที่สำนักศึกษาแคว้นชิงครานี้ ข้าจะหาโอกาสเปิดหอหมอปีศาจในแคว้นชิงด้วย”

การเปิดหอหมอปีศาจในแคว้นชิงครั้งนี้ ตระกูลมู่ไม่มีคนคอยสนับสนุนแต่อย่างใด มู่เฉียนซีจึงต้องทำอาหารอันโอชะเพื่อให้ราชาโอสถช่วย อีกทั้งยังมีท่านอาจารย์เผิง ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้านักปรุงยาอันดับหนึ่งจากราชสำนักออกมาช่วยด้วยอีกแรง

ถึงอย่างไรแล้ว ต่อให้ท่านอาจารย์เผิงจะอยู่แคว้นชิง แต่ระดับการปรุงยาของเขาก็จะอยู่ในระดับกลางขึ้นไปแน่นอน ให้ท่านอาจารย์เผิงไปควบคุมหอหมอปีศาจที่แคว้นชิงก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

ทางรองอาจารย์ใหญ่แห่งสำนึกศึกษาส่งข่าวมาว่าวันพรุ่งรุ่งสางให้มาพร้อมกันที่ประตูเมือง เพื่อจะได้เดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันการประลองที่สำนักศึกษาแคว้นชิง

ในขณะที่มู่เฉียนซีพาสหายร่วมกลุ่มไปนั้น ก็ได้เจอกับคนคุ้นหน้าค่าตานั่นก็คือ… ซวนหยวนหลี่เทียน  ซวนหยวนชิงอวิ๋น  มู่หรูอวิ๋น  และมู่หรูเหยียน  ถึงแม้พวกเขาทั้งสี่จะไม่ค่อยปรากฏตัวในสำนักศึกษาบ่อยนัก ทว่าตราบใดที่พวกเขายังไม่จบการศึกษา พวกเขาก็ยังคงเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาอยู่

ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเกียรติและชื่อเสียงของสำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ยและเกียรติศักดิ์ศรีของแคว้นจื่อเยี่ย รองอาจารย์ใหญ่จึงเชิญตัวพวกเขามา

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ปฏิเสธ  ส่วนคนอื่น ๆ อีกห้าคนเป็นนักเรียนห้องเรียนระดับสูง ทว่ามู่เฉียนซีไม่ค่อยคุ้นหน้าพวกเขาเท่าไหร่นัก

เมื่อรองอาจารย์ใหญ่เห็นว่ามู่เฉียนซีมา รีบรุดเข้าไปทักทายด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“มู่เฉียนซีมาแล้วหรือ ?” จากนั้นก็มองไปที่เยวี่ยเจ๋อผู้หล่อเหลา จวินโม่ซีผู้รูปงามและมีท่าทางนิ่งสงบราวเทพแห่งความสงบสุข อีกทั้งยังมีท่านอาจารย์เผิงผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นจื่อเยี่ย  เมื่อมองมาถึงตรงนี้ รองอาจารย์ใหญ่ผงะไปครู่หนึ่ง

“มู่เฉียนซี นี่…”

มู่เฉียนซีรีบบอก “อ้อ พอดีพวกเขาจะไปทำธุระที่แคว้นชิง เราจึงมาด้วยกัน”

ซวนหยวนหลี่เทียนขมวดคิ้ว กล่าวขึ้น “มู่เฉียนซี การที่พวกเราไปเข้าร่วมการแข่งขันที่แคว้นชิงครานี้ก็เพื่อนำเกียรติยศกลับมาซึ่งแคว้นจื่อเยี่ยของพวกเรา เจ้าช่วยให้ความสำคัญหน่อยได้หรือไม่ ?”

มู่หรูอวิ๋นกล่าวปลอบใจ “ท่านพี่หลี่เทียน ในฐานะที่ซีเอ๋อร์เป็นผู้นำตระกูลมู่ นางก็ต้องมีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ”

“มีเรื่องอันใดสำคัญไปกว่าเกียรติยศของแคว้นจื่อเยี่ยอีกรึ ? มู่เฉียนซีช่างไม่รู้จักเรียงลำดับความสำคัญเอาเสียเลย” ซวนหยวนหลี่เทียนกล่าวค่อนแคะ ใบหน้าแสดงความไม่พอใจเต็มสิบส่วน

มู่เฉียนซีกล่าวโต้ “ในเมื่อมีคนไม่ต้อนรับพวกเรา เช่นนั้นต่างคนก็ต่างไปเถอะ  ท่านรองอาจารย์ใหญ่ ไว้เจอกันที่แคว้นชิงทีเดียวเลยก็แล้วกัน”

รองอาจารย์ใหญ่กล่าว “นักเรียนมู่เฉียนซี อย่าเลย… ในเมื่อเราเป็นกลุ่มเดียวกันก็ไปด้วยกันเถอะ  ส่วนคนอื่น ๆ อยากจะร่วมทางด้วยก็ไม่เห็นเป็นไรไป เดินทางไปด้วยกันหลายคนเช่นนี้จะได้ครึกครื้น”

มู่หรูเหยียนก้าวไปข้างหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ใช่ ซีเอ๋อร์ไปด้วยกันเถอะ มีคนร่วมทางไปเยอะ ๆ เช่นนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”

ดวงตาที่ดูสดใสและอ่อนโยนคู่นั้นของนาง ราวกับว่าคิดถึงมู่เฉียนซีอย่างจริงใจ

ซวนหยวนหลี่เทียนเบะปาก แต่ก็ทำทีเป็นกล่าวมีเหตุมีผล “ในเมื่อพวกเราเป็นตัวแทนของสำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ย แน่นอนว่าเราต้องไปด้วยกัน แต่พวกเจ้าก็อย่าทำให้การเดินทางของพวกเราล่าช้าจนไปเข้าร่วมการแข่งขันไม่ทันเอาเสียล่ะ ประเดี๋ยวจะพาให้แคว้นจื่อเยี่ยเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย”

ซวนหยวนชิงอวิ๋นไม่ได้เปล่งเสียงแต่อย่างใด เขาปิดปากเงียบโดยตลอด สุดท้ายมู่เฉียนซีเดินทางไปแคว้นชิงพร้อมกับพวกเขา

เมื่อเดินทางมาได้ครู่ใหญ่… ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงเขตชายแดนแคว้นชิง จากนั้นได้หยุดพักกันครู่หนึ่ง

เยวี่ยเจ๋อกล่าว “พี่ใหญ่ เดินทางมาเหนื่อยแล้ว กินอะไรสักหน่อยเถอะ”

จวินโม่ซี “นี่มู่เฉียนซี อาหารแห้งที่นำมาพวกนี้ไม่อร่อยเท่าฝีมือที่เจ้าทำเลย ให้ตายเถอะ!”

ซวนหยวนหลี่เทียนได้ยินเช่นนี้ หันไปมองมู่เฉียนซีที่มีบุรุษทั้งสองใกล้ชิดสนิทสนม ทันใดนั้นกลิ่นอายอันตรายพลันแผ่ มันเผยให้เห็นผ่านสายตาของเขา จากนั้นเขาลุกเดินไปตรงหน้ามู่เฉียนซี กล่าวขึ้น “มู่เฉียนซี ตอนนี้เราก็เข้ามาในเขตแคว้นชิงแล้ว ทางที่ดีเจ้าควรระวังคำพูดและการกระทำของเจ้าด้วย อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้าเป็นว่าที่พระชายาของจิ่วเยี่ย”

มู่เฉียนซีเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวถามน้ำเสียงยั่วยุ “หือ ? คำพูดและการกระทำของข้ามันเป็นเช่นไรรึ ?”

“เจ้าควรอยู่ห่าง ๆ บุรุษเอาไว้สักหน่อยจะเป็นการดีกว่า โดยเฉพาะบุรุษเยี่ยงสองคนนี้” ซวนหยวนหลี่เทียนกล่าว ไฟโกรธปะทุในดวงตา เขาชี้นิ้วไปที่จวินโม่ซีและเยวี่ยเจ๋ออย่างเอาเรื่อง

มู่เฉียนซีค่อนแคะ “ท่านนี่ยุ่งเรื่องผู้อื่นจริง ๆ  เหอะ! ไม่ต้องมาทำหน้าตาสงสัยใคร่รู้เลย ท่านอยากรู้ว่าเพราะอะไรข้าถึงต่อว่าว่าท่านยุ่งรึ ?  ประการแรก ข้าเป็นว่าที่พระชายาของจิ่วเยี่ยจริง  ใช่!  แต่ต่อให้ท่านเป็นพี่น้องกับจิ่วเยี่ย ก็ไม่ได้หมายความว่านี่จะเกี่ยวอะไรกับท่าน ขนาดอวิ๋นอ๋องยังไม่เอ่ยปากว่าอะไรข้าสักคำ แล้วท่านจะเดือดร้อนไปเพื่ออะไร ?”

จวินโม่ซีกลั้นขำ เขากล่าว “มู่เฉียนซี นี่เจ้ามองเขาไม่ออกเลยเชียวรึ ?! เขาไม่ได้โกรธแทนพี่น้องของเขาหรอก อาการเช่นนี้หึงหวงเจ้าชัด ๆ หากมิใช่เป็นเพราะเจ้าทิ้งเขา เขาก็คงไม่มองพวกเราด้วยสายตาเช่นนี้หรอก”

ทันทีที่จวินโม่ซีกล่าวจบ ซวนหยวนหลี่เทียนโกรธจนควันออกหู

คนอื่น ๆ ในเวลานี้มิกล้าเปล่งเสียงพูด เนื่องจากเรื่องการยกเลิกงานแต่งของหลี่อ๋องนั้นเป็นเรื่องที่คนทั่วทั้งจื่อตูนินทากันอย่างหนาหู นับตั้งแต่นั้นมา ไม่มีเคยมีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าหลี่อ๋องอีกเลย ทว่าบุรุษผู้งดงามราวรูปปั้นผู้นี้กลับกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าหลี่อ๋องอย่างหน้าตาเฉย

จวินโม่ซีไม่สนใจไอสังหารของซวนหยวนหลี่เทียนแต่อย่างใด “มู่เฉียนซีสาวน้อย… ดูเหมือนคำพูดที่ข้ากล่าวนั้นจะเป็นความจริง บุรุษผู้นี้รูปร่างหน้าตาก็สุดแสนธรรมดา เป็นบุรุษแต่กลับแข็งแกร่งสู้สตรีมิได้เลย ทั้งนิสัยก็แย่แต่ยังมีหน้าทำตัวเจ้าประตูดินอีก สมแล้วที่เจ้าทิ้งเขาไป”

ใบหน้าซวนหยวนหลี่เทียนในเวลานี้ แทบจะเขียวคล้ำเพราะความโกรธแล้ว หากเขาไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นราชาโอสถ มีหวังเขาต้องลงมือจัดการจนร่างเขาเละเป็นโจ๊ก

เยวี่ยเจ๋อลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ กล่าวกับซวนหยวนหลี่เทียนว่า “หลี่อ๋อง ต่อไปอย่าหาเรื่องให้ตัวเองต้องอับอายเช่นนี้อีกเลย หากท่านยั่วโมโหให้พี่ใหญ่ของข้าไม่เป็นสุข หรือทำให้พี่ใหญ่ของข้าต้องรำคาญใจ พวกข้าจะใช้หมื่นพันวิธีให้ท่านอยู่ไม่เป็นสุขเช่นกัน”

จากนั้นเยวี๋ยเจ๋อยังเตือนอีกว่า “อ้อ อีกอย่าง ท่านตัดใจเสียเถอะ พี่ใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับท่านมานานแล้ว และไม่มีทางต้องเกี่ยวข้องกันอีก”

พี่ใหญ่ของเขานั้นต้องเหมาะสมกับบุรุษผู้ที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้ คนอย่างซวนหยวนหลี่เทียน ต่อให้เป็นถึงพระราชโอรสของฮ่องเต้ อย่างไรเขาก็ไม่เหมาะที่จะเคียงคู่กับพี่ใหญ่

มู่เฉียนซียื่นมือไปแตะไหล่เยวี๋ยเจ๋อเบา ๆ ด้วยความชอบใจ “ฮ่า! เยวี่ยเจ๋อ เดี๋ยวนี้เจ้าพูดได้เฉียบคมยิ่งนัก พี่ใหญ่ชอบมาก ฮิ ๆ ๆ”

เยวี่ยเจ๋อผงะไปครู่หนึ่ง ชอบรึ ?!

แม้จะรู้ว่าความหมายว่าพี่ใหญ่หมายถึงชื่นชอบแบบสหายกับสหาย ทว่าเขาก็อดไม่ได้ที่จะดีอกดีใจไปกับคำว่า ‘ชอบ’ นี้

“หึ!” ซวนหยวนหลี่เทียนทำเสียงฮึดฮัดในจมูกด้วยความคับแค้นใจ คนอย่างเขาถูกคนอย่างจวินโม่ซีเยาะเย้ย ดูถูกเหยียดหยาม ทั้งยังโดนไพร่อย่างเยวี่ยเจ๋อตักเตือนให้ต้องอับอายขายหน้า  เขาพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หันหลังเดินจากไปไม่พูดอะไรสักคำ

มู่เฉียนซีเปลี่ยนไปแล้ว  เขารู้ดีว่าไม่ว่าจะทำเช่นไร นางก็ไม่มีวันหวนกลับมารักเขาได้อีก ทว่าทุกครั้งที่ได้เห็นนางอยู่กับบุรุษอื่น ในใจก็อดที่จะโกรธและหึงหวงนางไม่ได้ เมื่อก่อนสตรีผู้นี้ยังรักเขา หัวใจของนางมีแต่เขา ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้แต่งงานกับเขา แต่ตอนนี้มิได้เป็นเช่นนั้นแล้ว

ในตอนนั้นเอง  ทันใดนั้นมีกลุ่มคนน่ากลัวกลุ่มหนึ่งพรวดพราดเขามา หนึ่งในนั้นกล่าวตะเบ็งเสียงอย่างบ้าระห่ำ

“พวกเจ้าไสหัวไปให้หมด! ประเดี๋ยวนายน้อยของข้าจะมาถึงที่นี่ ข้าไม่อยากให้พวกเจ้ามาอยู่ขัดหูขัดตานายน้อยของข้า”

.