บทที่ 789 บันไดกินคน

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 789 บันไดกินคน โดย Ink Stone_Fantasy

“ช่างเป็นทางเลือกที่ตรงไปตรงมาจริงๆ…” หลังจากบ่น หลิงม่อก็หันไปมองชั้นบน

เนื้อที่กำลังขยับเขยื้อนไปมาแทบจะบดบังบันไดจนมิด แม้แต่ผนังและเพดานก็เช่นกัน ซี่ฟันแหลมคมที่งอกออกมาจากเนื้ออาบเลือดสะท้อนแสงวิบวับ ขณะเดียวกันก็มีเสียงเสียดสีฟันดัง “ครืด ครืด” ทำให้ดูน่ากลัวจนไม่กล้าเดินเข้าไป

“บันไดกินคนรึไง…”

หลิงม่อใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล

“ยังมีแผนการตุ๊กแกให้เลือกไม่ใช่หรอ?” เฮยซือเตือน

“อย่าตั้งชื่อชุ่ยๆ แบบนั้นให้ฉันได้ยินนะ! ถ้าจะตั้งชื่อจริงๆ ก็เปลี่ยนเป็นสไปเดอร์ XX ดีกว่า!”

“คิดเล็กคิดน้อยไปได้…”

“นี่เป็นหน้าที่ของสัตว์เลี้ยงไม่ใช่หรอ?”

หลิงม่อยกเท้า พลางอธิบายว่า “ไม่ว่าฉันไม่อยากใช้วิธีนั้น แต่วิธีนั้นไม่มีประโยชน์แล้วต่างหาก วินาทีที่เปิดประตู ฉันก็ถูกจับได้แล้ว…ในเมื่อเป็นอย่างนี้ สู้เดินขึ้นไปอย่างสง่าผ่าเผยไม่ดีกว่าหรอ”

“เป็นผู้บุกรุกแท้ๆ แต่กลับพูดจาเหมือนมีเหตุมีผลไปซะหมด…” เฮยซือทำเสียงจิ๊ๆ ในลำคอ

“ฉันก็อยากถามเหมือนกันว่าเป้าหมายในการมายังโลกมนุษย์ของเธอคืออะไร…”

ขณะที่พูด เท้าของหลิงม่อก็ได้ย่ำลงไปอย่างมั่นคงไม่สั่นคลอน

ด้วยมุมมองสายตาที่หลิงม่อแบ่งปันไปให้ เฮยซือจึงได้เห็นภาพนี้อย่างชัดเจนด้วย

รองเท้าปีนเขาข้างนั้นเพิ่งจะเหยียบลงบนขั้นบันได เนื้ออาบเลือดด้านล่างก็ยุบลงไปอย่างรวดเร็ว จนเท้าข้างนั้นจมหายไป ขณะเดียวกันมีวัตถุคล้ายเถาวัลย์อาบเลือดสิบกว่าเส้นพุ่งออกมาจากเนื้อเหล่านั้น และเลื้อยขึ้นมาบนแข้งขาของหลิงม่อราวงูพิษ “เถาวัลย์” เส้นหนึ่งในนั้นยกหัวขึ้นสูง เผยปากที่เต็มไปด้วยซี่ฟันถี่เหมือนเลื่อยให้หลิงม่อเห็นตรงหน้าพอดี

ถึงแม้เจ้าสิ่งนี้จะไม่ได้ส่งเสียงน่ากลัวอะไรออกมา แต่แค่รูปร่างหน้าตาและหยดเลือดหนืดๆ ที่ไหลตามตัวของมัน ก็มากพอที่จะทำให้ขนลุกขนพองได้แล้ว

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่าทางที่เหมือนพร้อมจะพุ่งเข้ามาตลอดเวลา ซึ่งนั่นทำให้รู้สึกกดดันได้มากกว่า

“ไม่คิดว่าจะสมบูรณ์แบบขนาดนี้เลยนะเนี่ย…”

หลิงม่อที่จู่ๆ ถูกพันธนาการกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าสิ่งที่กำลังถูกโอบรัดไม่ใช่ขาของเขา ยิ่ง “เถาวัลย์” เส้นนั้นยิ่งถูกเขาเมินไปเฉยๆ “ทุกคนที่พยายามจะเดินผ่านทางนี้ล้วนถูกดึงให้จมเข้ามาในบึงเลือดแห่งนี้ จากนั้นเถาวัลย์ที่พุ่งออกมาก็จะฆ่าผู้ที่ถูกพันธนาการแล้วฉีกแขนฉีกขาพวกเขา หลังจากแขนขาที่ขาดตกลงไปข้างล่างถูกฟันแหลมๆ กัดเคี้ยวจนเป็นชิ้นเล็กๆ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของบันไดแห่งนี้…น่าจะเป็นอย่างนี้นะ”

“นี่นายกำลังวิเคราะห์จุดจบของตัวเองรึไงกัน!” เฮยซือได้สติแล้วพูดขึ้น

ทว่าน้ำเสียงของเธอกลับไม่ได้แฝงไปด้วยความกังวลมากนัก เพราะคลื่นดวงจิตของหลิงม่อยังคงปกติดี

เพียงแต่เธอไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดมากนักเท่านั้นเอง

“จะเป็นไปได้ไงกัน…” เท้าอีกข้างของหลิงม่อย่ำลงไปอีกครั้ง เขายื่นมือออกไปคว้า “เถาวัลย์” เส้นนั้นมาบีบไว้ในมือ “นี่เป็นเพียงผลลัพธ์ที่อีกคาดหวังไว้ ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่ามันจะกลายเป็นเรื่องจริงนี่”

เสียงพูดเพิ่งจะจบลง หมดของหลิงม่อก็พลันกำแน่นขึ้นทันที

“เถาวัลย์” เส้นนั้นดิ้นพล่าน ปากของมันโจมตีฝ่ามือของหลิงม่ออย่างต่อเนื่อง แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา เมื่อหลิงม่อแบมือออก มันกลับกลายสภาพเป็นเศษฝุ่นที่ลอยล่องหายไป ย้อนกลับมาดูที่ฝ่ามือของหลิงม่อ อย่าว่าแต่บาดแผลเลย แม้แต่เลือดซักหยดก็ยังไม่มี

เฮยซืออึ้ง “เอ๋ ภาพลวงตางั้นหรอ?”

“ถูกต้อง ตั้งแต่ทางเดินมาถึงตรงนี้ ทั้งหมดเป็นภาพลงตา ความจริงแล้ว แค่พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ไปสนใจ…”

พูดไป หลิงม่อก็ก้าวเท้าย่ำไปอีกหลายก้าว และขาข้างที่ถูกพันธนาการเมื่อกี้ก็ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บใดๆ

“…ก็สามารถเดินผ่านไปได้อย่างสบายๆ แล้ว อีกหนึ่งจุดอันตรายคือการที่ทนต่อภาพลวงตานี้ไม่ได้ ทันทีที่คิดว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของจริง ความรู้สึกเจ็บปวดหรือความรู้สึกอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นกับร่างกายจริงๆ ทว่าในโลกมายาที่แม้แต่การมีอยู่ยังเลือนรางขนาดนี้ ก็คงจะหลอกได้แค่สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อย่างเธอเท่านั้นแหละ สำหรับฉัน ที่นี่แค่ดูน่าตกใจมากกว่าจะใช้งานได้จริงๆ”

หลิงม่อกำลังตั้งใจถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ให้เฮยซือ เพราะในบางความหมาย ภาพสะท้อนจินตนาการของเธอก็เป็นเหมือนความสามารถพิเศษประเภทภาพลวงตาเหมือนกัน

ความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาต่อไปมีไม่สูง แต่อย่างน้อยก็น่าจะทำให้หลุดพ้นจากขอบเขตของภาพวาดแบบง่ายได้เร็วขึ้น!

“แล้วตกลงต้องทำยังไงถึงจะไม่สนใจได้ล่ะ ที่สำคัญคือมันทำไม่ได้ไงเล่า!”

“แน่นอนว่าที่มันง่ายขนาดนี้ ก็เพราะจุดประสงค์ของอีกฝ่ายในการสร้างที่นี่ขึ้นมาไม่ใช่เพื่อหยุดฉัน แต่เพื่อหยุดสองคนนั้นต่างหาก ที่สร้างภาพลวงตาโอเวอร์ขนาดนี้ ก็เพื่อทำให้พวกเขายอมถอยไปแต่โดยดี” พูดถึงตรงนี้ เขาก็อดยกมือขึ้นลูบคางไม่ได้ “ไม่น่าล่ะผู้หญิงคนนั้นถึงได้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ เธอบอกว่าที่นี่เป็นถิ่นของพวกเธอนี่? เท่ากับว่าถูกคนอื่นรังแกถึงถิ่นเลยน่ะสิ…”

“คนที่ไม่มีสิทธิ์พูดคำนี้คือนายหรือเปล่า? แต่ว่า…นายรู้ได้ไงว่าอีกฝ่ายไม่ได้เตรียมไว้เพื่อนาย? ไหนบอกว่าพวกนั้นรู้แล้วไงว่านายเข้ามา?” เฮยซือถามอย่างสนใจ

“ถ้าเตรียมไว้เพื่อฉัน พวกนั้นจะต้องใช้ภาพลวงตาประเภทสังหารมาล่อฉันสิ อย่างเช่นการเปลี่ยนบันไดลงชั้นล่างเป็นพื้นราบ ทำให้ฉันเหยียบอากาศแล้วพลาดตกลงไป หรือไม่ก็ทำให้ผนังหายไป เพื่อให้ฉันวิ่งชนอะไรทำนองนั้น…วิธีพวกนั้นเป็นวิธีง่ายๆ ทั้งนั้นนี่นา”

“เพราะไม่ประมากทากไปต่างหาก…”

“ยังจำได้ไหมที่ฉันปิดประตูหนึ่งครั้ง? เพราะเจอภาพลวงตาเข้า ฉันเลยอย่าพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงอะไรตามสถานการณ์หรือเปล่า แล้วเรื่องจริงก็ได้แสดงให้เห็น ว่าหลังจากที่อีกฝ่ายรับรู้ถึงตัวตนของฉัน ก็คิดที่จะเปลี่ยนภาพลวงตาตามสถานการณ์อยู่เหมือนกัน แต่อย่างมากเขาก็ทำได้แค่ระดับโรคกล้ามเนื้อกระเพาะกระตุกเท่านั้น…สภาพโดยรวมของภาพรวมตายังคงเป็นเหมือนครั้งแรก ดังนั้นชั้นสี่จึงเป็นสถานที่ที่มีแค่ความน่ากลัวแต่ไม่มีอันตรายจริงๆ เท่านั้น” หลิงม่อพูดอย่างมั่นใจ

“โรคกล้ามเนื้อกระเพราะเกร็งต่างหากเล่า…ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าอีกฝ่ายก็ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว?”

เฮยซือตระหนักได้ทันที “ถ้าหากสวี่ซูหานอยู่ข้างบนนั้นจริงๆ ตอนนี้เธอน่าจะยังปลอดภัยอยู่ เพราะมนุษย์พวกนี้ยังจับตัวเธอไม่ได้!”

“ถูกต้อง…แต่ว่าที่อีกฝ่ายยอมปล่อยให้ฉันขึ้นไป แสดงว่าเขาก็ต้องพุ่งเป้าความสนใจทั้งหมดไปชั้นห้าแล้ว จุดนี้ทำให้ฉันไม่ค่อยสบายใจนัก…ไม่แน่ว่า อีกฝ่ายอาจตั้งใจปล่อยให้ฉันขึ้นไปติดกับด้วยตัวเอง จากนั้นก็จัดการพร้อมกันทีเดียว…”

หลิงม่อวิ่งขึ้นไปบนชั้นห้าอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมา

ถึงแม้โลกมายาแห่งนี้จะดูออกได้ง่าย แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงพื้นที่ส่วนหนึ่งที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นเท่านั้น ถ้าหากจะตัดสินพลังของอีกฝ่ายด้วยสิ่งนี้อย่างเดียว ก็คงเป็นการประมาทเกินไป

และคนที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วยไม่ได้มีเพียงผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้คนเดียว แต่ยังมีคนอื่นๆ ที่ซ่อนคัวอยู่ในโลกมายาด้วย

“แต่ว่า ในเมื่อมันเป็นโลกมายาที่สร้างขึ้นจากการส่งผลกระทบต่ออวัยวะรับความรู้สึก ก็แปลว่าไม่ได้ไม่มีโอกาสซะทีเดียว…” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วพูดกับเฮยซือว่า “พวกเธอมาอยู่ที่ใกล้ๆ แถวนี้ก่อน ถ้าหากเห็นชายหญิงคู่เมื่อกี้กลับมา ก็ถ่วงเวลาไว้ก่อน…”

“แค่นี้เองหรอ? โถ่ น่าเสียดายเกินไปแล้ว…” เฮยซือพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ

“ฉันตรวจสอบสถานการณ์ก่อน ถ้ามีอะไรผิดปกติเธอค่อยรับช่วงต่อ ยังไงก็ดีกว่าเข้ามาในนี้ทั่งคู่” หลิงม่อบอก

“บันไดกินคน” เส้นนี้ยิ่งสูงขึ้นก็ยิ่งดูแห้งเหือด เนื้อที่อยู่บนผนังและพื้นล้วนดูเหมือนกำลังเน่าและหดตัว “เถาวัลย์” เหล่านั้นก็กลายเป็นเชือกหยาบแห้งและบิดเบี้ยวห้อยโตงเตงอยู่รอบๆ

ขณะที่เขากำลังพูด เขาก็ได้เดินมาถึงปากบันไดชั้นห้า และกำลังยืนชะโงกหน้าเข้าไปมองทางเดินอยู่ตรงข้างบันได

ชั้นห้ามีแต่ความมืดมิด ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ฉุนแรงยิ่งกว่าเสียดแทงเข้ามาในจมูก

บนทางเดินอันยาวเหยียด มีแต่ก้อนเนื้อที่แห้งเหี่ยวให้เห็นเต็มไปหมด ประตูห้องทั้งสองฝั่งถูกเปิดทิ้งไว้ โดยที่ช่องประตูเหล่านั้นก็มีวัตถุเหลวหนืดติดอยู่จำนวนมากเหมือนกัน

บนผนังมีร่องรอยของเหลวสีดำไหลย้อยติดอยู่มากมาย บนพื้นเองก็เหมือนจะมีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมา…

แต่ทั้งหมดนี่ยังไม่สำคัญ…

สิ่งที่ทำให้หลิงม่อรู้สึกสยองจริงๆ คือศพที่ถูกแขนไว้บนเพดานพวกนั้น…

“มีแต่พวกชุดกาวน์กับชุดคนไข้…โลกมายาของคนคนนี้ช่างทำได้สมจริงจริงๆ เลย…น่าแหยงชะมัด”

หลิงม่อยืนคิดอยู่ที่เดิม “หากจะทำให้โลกมายาสลาย วิธีที่ดีที่สุดคือโจมตีผู้มีความสามรถพิเศษด้านพลังจิตที่มีความเกี่ยวข้อง…แต่ดูจากที่อีกฝ่ายเจอฉันก่อน เดาว่าเขาคงจะเป็นฝ่ายมาหาฉันเอง…”

เคลื่อนไหวอยู่ในโลกมายาของอีกฝ่าย ย่อมต้องมีอันตรายอยู่แล้ว แต่เมื่อคำนึงถึงว่าสมาธิส่วนใหญ่ของอีกฝ่ายอยู่ที่ “ผู้บุกรุก” คนที่หนึ่งแล้ว เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะต้องใช้วิธีถ่วงเวลาเป็นหลักแน่นอน แต่แน่นอนหลิงม่อย่อมไม่คิดฝากชีวิตน้อยๆ ของตัวเองไว้กับเวลาที่จะยืดออกไปเล็กน้อยนี้ เขายังมีวิธีอื่นอยู่…

“ร้ายดีอย่างไรฉันก็ถือว่าเป็นผู้มีพลังจิตกึ่งหนึ่งล่ะนะ…”

ขณะเดียวกับที่เดินเข้าไปในทางเดิน หนวดสัมผัสทางจิตของหลิงม่อก็ได้แผ่ออกมา

—————————————————————————–