ภาคที่ 2 ตอนที่ 84 ในที่สุดก็มีสายฟ้าฟาดลงมา

มรรคาสู่สวรรค์

บ่อนพนันในเรือนของเฉิงกั๋วกงมีการพนันชนิดต่างๆ

มีแต่คนที่ชื่นชอบการพนันอย่างมากเท่านั้นถึงจะพนันว่าใครจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดตั้งแต่เริ่ม คนปกติล้วนแต่พนันไปตามลำดับการประลอง

จิ๋งซางเป็นคนที่ระมัดระวังเป็นอย่างมาก เขาย่อมต้องทำแบบนี้เช่นกัน เดิมพันเงินก้อนใหญ่ไปที่การแข่งกระดานแรก ในความคิดเขา จิ๋งจิ่วนั้นได้อันดับหนึ่งในการประลองหมากล้อมของงานเลี้ยงซื่อไห่เมื่อปีที่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังกล้ากล่าวคำพูดเช่นนั้น ฝีมือทางด้านหมากล้อมของเขาย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่ ต่อให้ไม่สามารถคว้าชัยชนะในท้ายที่สุดมาแล้ว แต่การเอาชนะติดต่อกันในกระดานแรกๆ ก็น่าจะไม่ใช่ปัญหา

ใครจะไปคิดบ้างว่าเขาจะมาเจอกับถงเหยียนที่ไม่มีทางเอาชนะได้ตั้งแต่กระดานแรก

ผู้ดูแลคนนั้นย่อมต้องทราบเรื่องที่เกิดขึ้นบนเขาฉีผาน จึงกล่าวอย่างเห็นใจว่า “ผลยังไม่ออกมา ขอใต้เท้าอย่าเพิ่งใจร้อน”

จิ๋งซางทราบว่าไม่สามารถถอนเดิมพันคืนได้แล้ว กลับกลายเป็นว่าดูใจเย็นลงหน่อย เขาประสานมือคารวะ ก่อนจะเดินเข้าไปในเรือนของกั๋วกง

ในสวนด้านหลังเรือนกั๋วกงมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด ขุนนางที่มีชื่อเสียงภายในเมืองเจาเกอกว่าครึ่งมารวมตัวอยู่ที่นี่

แต่วันนี้พวกเขาไม่ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งด้านหน้าสุด

คนที่ยืนอยู่ในตำแหน่งด้านหน้าสุดคือเหล่ายอดฝีมือทางวิถีหมากเหล่านั้น พวกเขากำลังชี้ไปชี้มาบนกำแพงที่อยู่ด้านหน้า

กระทั่งหัวหน้าของโรงหมากรุกชุนซีก็ยังไม่มีสิทธิ์กล่าวกระไร ทำได้เพียงยืนยิ้มอยู่ด้านข้าง

บนกำแพงแนวนั้นมีกระดานหมากรุกขนาดใหญ่ห้อยเอาไว้อยู่ ด้านข้างมีชื่อและอัตราต่อรองของผู้ประลองทั้งสองคน เมื่อดูจากลายมือแล้วน่าจะเพิ่งเขียนขึ้นไปได้ไม่นาน

จิ๋งซานไม่มีใจจะไปนั่งดู เขายืนอยู่ด้านหลังกลุ่มคน ในใจครุ่นคิดเรื่องที่จะขายทรัพย์สมบัติภายในบ้านหลังจากนี้

ในเมื่อต้องแพ้อยู่แล้ว ต่อให้อัตราต่อรองของจิ๋งจิ่วจะสูงแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์

ในเวลานี้เอง ด้านหน้าสวนพลันมีเสียงพูดคุยดังขึ้นมา ดึงดูดความสนใจของเขาเอาไว้

……

……

“ทำไมตานี้ถึงมาวางตรงนี้ มีใครคิดออกหรือยัง?”

“วางหมากใหม่อีกรอบซิ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าตรงตำแหน่งดาวมันมีปัญหา”

“ถอยไปสองตา”

“ไม่พอ ถอยไปสิบตา ให้ข้าคิดหน่อย”

……

……

มหาบัณฑิตกัวลุกขึ้นมา ก้าวเดินไปยังหน้ากระดานยักษ์ หยิบหมากขึ้นมาสิบกว่าเม็ด แสดงการเปลี่ยนแปลงสองสามอย่างออกมา ก่อนจะหมุนตัวหันมากล่าวกับทุกคนว่า “ตอนนี้ดูเข้าใจหรือยัง?”

ถึงแม้เหล่าขุนนางชั้นสูงที่มาอยู่ในบ่อนพนันเหล่านั้นจะเล่นหมากล้อมเป็น แต่ฝีมือในการเล่นย่อมธรรมดา จึงไม่เข้าใจความหมายของเขา

ยอดฝีมือของเมืองเจาเกอสิบกว่าคนคล้ายกำลังครุ่นคิด

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายชราคนหนึ่งกล่าวเสียงสั่นขึ้นมา “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!”

ยอดฝีมือทางวิถีหมากของอาณาจักรที่เข้าใจความหมายของมหาบัณฑิตกัวและเข้าใจความยอดเยี่ยมของการเดินหมากตานั้นมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงอุทานตกใจดังสลับขึ้นลงไม่ขาดสาย ต่างพากันอุทานชื่นชมไม่ขาดปาก

เฉิงกั๋วกงกล่าวว่า “ยังคงเป็นท่านมหาบัณฑิตที่ร้ายกาจ กระทั่งการเดินตานี้ก็ยังดูเข้าใจ”

มหาบัณฑิตกัวยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่เข้าใจความหมายของทั้งสองคนนี้ก่อนพวกท่านเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น มิได้ร้ายกาจอะไรเลย ข้าเคยบอกพวกท่านแล้วว่าฝีมือและสภาวะทางหมากล้อมของถงเหยียนนั้น ไม่เคยมีใครทำได้เช่นนี้มาก่อน ระดับฝีมือของจิ๋งจิ่วเองก็อยู่เหนือพวกท่านและข้า พวกท่านก็ไม่ยอมเชื่อ ตอนนี้เป็นอย่างไร?”

ในเวลานี้เขามั่นใจแล้วว่าการคาดเดาของตนเองถูกต้อง การประลองด้านนอกสวนดอกเหมยเก่าในวันนั้น ถงเหยียนมิได้เอาจริงเลย

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังได้แต่ต้องยอมแพ้ตอนช่วงกลางกระดาน ความห่างชั้นนี้มันช่างต่างกันมากจริงๆ

……

……

จิ๋งซางยืนตกตะลึงอยู่ด้านหลังกลุ่มคน

ฟังจากคำพูดของมหาบัณฑิตกัว หรือจิ๋งจิ่วจะสู้กับถงเหยียนได้อย่างสูสี นี่เป็นไปได้อย่างไร?

เขาหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าร้อนขึ้นมาจากถาดที่สาวใช้ถือเอาไว้ ออกแรงเช็ดใบหน้าของตัวเอง จากนั้นมองไปยังกระดานหมากล้อมที่อยู่บนกำแพง

แต่มองเพียงแวบเดียวเขาก็รู้สึกตาลาย ดูไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ในขณะที่ร้อนใจ จึงยื่นมือไปคว้าแขนคนคนหนึ่งแล้วถามว่า “ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่?”

คนผู้นั้นกล่าว “ท่านถามข้า แล้วข้าจะถามใคร?”

จิ๋งซางกล่าว “หรือยอดฝีมือของอาณาจักรที่อยู่ตรงด้านหน้าก็ไม่มีความเห็นอะไร?”

มีคนกล่าวว่า “วันนี้พวกเขาก็เหมือนท่านกับข้านี่แหละ กระทั่งหมากยังดูไม่เข้าใจ แล้วจะไปมองออกได้อย่างไรว่าใครจะชนะ”

มีคนได้ยินคำพูดนี้จึงกล่าวเยาะเย้ยขึ้นมา “แพ้ชนะยังต้องดูอีกหรือ? ท่านมหาบัณฑิตบอกว่าระดับสภาวะทางวิถีหมากของอาจารย์เซียนถงเหยียนเป็นที่หนึ่งในประวัติศาสตร์ แล้วเขาจะแพ้ได้อย่างไร?”

จิ๋งซางโมโหเล็กน้อย กล่าวว่า “พูดจามั่นใจเพียงนี้ เจ้าดูหมากกระดานนี้รู้เรื่องหรือ?”

……

……

บนเขาฉีผาน

เวลาค่อยๆ เดินไป กอดอกเจียงเหมยถูกเหยียบจนแหลกละเอียด แต่ยังคงไม่มีใครมองหมากที่อยู่ในศาลากระดานนั้นออก

ผู้คนได้แต่มองดูคนสองสามคนที่อาจจะมองดูหมากกระดานนั้นเข้าใจ

เชวี่ยเหนียงกัดริมฝีปาก ในหัวยังคงครุ่นคิดถึงหมากตาที่แล้วอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิดหนักเกินไปหรือเปล่า กระทั่งริมฝีปากถูกกัดจนแตกไปหลายแห่งก็ยังไม่รู้ตัว

ซั่งจิ้วโหลวหลับตา ริมฝีปากขยับเบาๆ กำลังกล่าวอะไรพึมพำอย่างไร้ซุ่มเสียง

พวกเขาไม่มีใจไปคิดถึงเรื่องแพ้ชนะแล้ว ที่พวกเขายังทุ่มสมาธิทั้งหมดไปยังหมากบนกระดาน ครุ่นคิดอย่างหนักโดยไม่เสียดายเรี่ยวแรง ก็เพียงเพราะอยากจะเข้าใจหมากกระดานนี้

เพียงแต่การจะตามความคิดของจิ๋งจิ่วและถงเหยียนให้ทัน มันช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมากจริงๆ

ในเวลานี้ ระดับฝีมือทางหมากล้อมของใครเป็นอย่างไรก็ล้วนแต่สามารถวิเคราะห์ออกมาได้อย่างแม่นยำ

กู่หยวนหยวนมีชื่อเสียงที่ทัดเทียมเชวี่ยเหนียงและซั่งจิ้วโหลว แต่เห็นได้ชัดว่าฝีมือของเขาต่ำต่อยกว่าทั้งสองคนอยู่เล็กน้อย ท่าทางจึงดูแย่ที่สุด ใบหน้าขาวซีด ทั่วทั้งร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

เขารู้สึกแค่ว่าหมากกระดานนี้น่ากลัวอย่างมาก

ทั้งสองคนที่กำลังเล่นหมากล้อมน่ากลัวอย่างมาก

เหอจานมองดูท่าทางของเขา พลางส่ายศีรษะอย่างเห็นใจ จากนั้นคิดอยากจะดื่มสุรา ก่อนจะพบว่าในไหสุราว่างเปล่าไปนานแล้ว จึงอดรู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาไม่ได้

การเดินหมากที่อยู่ในศาลาได้ดำเนินมาถึงช่วงกลางกระดานแล้ว เขายังสามารถตามจังหวะของจิ๋งจิ่วและถงเหยียนได้ทันอยู่ ดังนั้นจึงเข้าใจวิธีคิดของพวกเขา

และเป็นเพราะเหตุนี้ เขาจึงทราบดีว่า หากในเวลานี้คนที่นั่งอยู่ในศาลาคือตนเอง ไม่ว่าจะถือหมากดำหรือหมากขาว ก็คงจะพ่ายแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว

เขามองไปยังทั้งสองคนที่อยู่ในศาลาอีกครั้ง ในใจเกิดความรู้สึกพ่ายแพ้ ทั้งยังเกิดความรู้สึกนับถือ

……

……

การประลองหมากดำเนินมาถึงเวลานี้ เพิ่งจะผ่านไปครึ่งชั่วยาม

ความเร็วในการวางหมากของจิ๋งจิ่วและถงเหยียนมิได้ถือว่าเร็วอะไร แต่ก็ไม่ได้มีการครุ่นคิดเป็นเวลานาน การประลองเป็นไปอย่างลื่นไหล

สายลมแผ่วเบาพัดขึ้นมา ม้วนเอาใบไม้แผ่นหนึ่งลอยเข้ามาในศาลา ก่อนจะตกลงไปบนกระดานหมากล้อม

สายตาของจิ๋งจิ่วและถงเหยียนมองไปยังใบไม้ใบนั้น จากนั้นเงยหน้าขึ้นมา

พวกเขาสบตากัน ก่อนจะแน่ใจในความหมายของอีกฝ่าย จึงวางหมากที่อยู่ในมือกลับลงไปในโถใส่หมากพร้อมกัน

……

……

การประลองหยุดลงชั่วคราว

น้ำชาถูกส่งเข้ามาในศาลา

จิ๋งจิ่วและถงเหยียนยืนถือถ้วยชาอยู่ริมรั้ว สายตาทอดมองออกไปนอกภูเขา มิได้พูดคุยอะไรกัน

ทุกคนมองดูภาพเหตุการณ์นี้ นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร

……

……

การประลองหมากดำเนินต่อไป

ลมพัดขึ้นมาอีกครั้ง แรงกว่าครั้งก่อนหน้านี้เล็กน้อย

มีเมฆลอยมายังท้องฟ้าที่อยู่เหนือเมืองเจาเกอ บดบังดวงอาทิตย์ อากาศบนภูเขาค่อยๆ เย็นสบาย

บรรยากาศตรงบริเวณศาลาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ

ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมา

การเดินหมากเข้าสู่ช่วงกลางกระดาน ตัวหมากค่อยๆ แน่นขึ้น ต่อให้เป็นคนที่ดูไม่รู้เรื่องก็ยังรู้ว่าในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็เผชิญหน้ากันอย่างเป็นทางการแล้ว

เป็นครั้งแรกที่ถงเหยียนเริ่มครุ่นคิดเป็นเวลานาน

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เขาก็ทำการตัดสินใจออกมา

เขาใช้นิ้วสามนิ้วคีบหมากสีขาวเม็ดนั้นเอาไว้ ก่อนจะยื่นมือไปบนกระดานอย่างเงอะเงิ่น

ไม่รู้เป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่าฟ้าดินตอบสนองต่อความอันตรายของการเดินตานี้และจิตสังหารที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่แฝงอยู่ในนั้น….

ชั้นเมฆที่อยู่เหนือเขาฉีผานพลันบิดตัวขึ้นมา แสงฟ้าแลบแลบแปลบๆ อยู่ในส่วนลึกของก้อนเมฆ

หมากสีขาววางลบไปบนกระดานอย่างแผ่วเบา

เสียงครืนดังสนั่น

สายฟ้าฟาดลงมา

………………………………………………..