‘แหม! ย่าสองก็พูดกล่อมเหมือนข้าเป็นเด็กโง่เง่าไปได้’ เจียงป่าวชิงคิดในใจ
เป็นความจริงที่ในสายตาของหลีโผจื่อมองว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ด้วยท่าทีของหลีโผจื่อที่มีต่อเจียงป่าวชิงในยามปกติ ถ้าหากว่าไม่มีผีอยู่ข้างใน นางจะพูดเรื่องการแต่งงานที่ดีขนาดนี้ให้กับเด็กที่เปรียบเสมือนเป็นคู่อริของนางได้อย่างไร
เจียงป่าวชิงพูดขัดจังหวะหลีโผจื่อที่ยังคงร่ายยาวอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีเย็นชา “ถ้างั้นท่านย่าสองก็ยกเรื่องแต่งงานนี้ให้กับเอ้อยาเถอะ ข้าไม่สนใจอยากจะไปเป็นเมียน้อยใครเจ้าค่ะ” พูดเสร็จก็หมุนตัวเข้าบ้าน และไม่ลืมปิดประตูบ้านพร้อมลงกลอนประตูเรียบร้อยด้วย
หลีโผจื่อรู้สึกตกตะลึงกับท่าทางตอบสนองเช่นนี้ นางโมโหแทบบ้า ใบหน้าเหี่ยว ๆ ย่น ๆ บูดบึ้งบู้บี้จนไม่เหลือเค้าเดิม ซ้ำร้ายยังเปลี่ยนเป็นสีเขียวดูน่ากลัว
หลีโผจื่อเดินเข้าไปทุบประตูด้วยความโกรธเคือง ในที่สุดความโกรธที่ข่มกลั้นมานานก็เกินกว่าจะอดกลั้นไหว คำก่นด่ายาวเหยียดพรั่งพรูออกมา ประมาณว่าไอ้หญิงสารเลว! ไอ้เท้าเล็ก! ไอ้หญิงมั่วโลกีย์ที่ถูกย่ำยีแล้ว! คำด่าทำนองนี้นางพ่นออกมาทั้งหมด
เสียงด่าอันแผดดังและการทุบประตูไม่หยุดยั้งของหลีโผจื่อทำให้เจียงหยุนชานที่ตั้งใจร่ำเรียนด้วยตัวเองอยู่ในห้องได้ยิน เขาอดไม่ได้ที่จะออกมาดูสถานการณ์ข้างนอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องด่ากันขนาดนั้นด้วย
แต่เจียงป่าวชิงรีบห้ามเขา นางพูดขึ้น “อย่าไปเลย ข้านี่แหละจะจัดการกับคนต่ำทรามประเภทนี้เองเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเจียงหยุนชานซีดเผือดเล็กน้อย เขาห้ามเจียงป่าวชิง “ย่าสองเป็นคนที่พาลไม่หยุดมาโดยตลอด เจ้าเป็นเด็กผู้หญิง มันจะดูไม่ดีถ้าเจ้าจะออกไปให้นางด่า ข้าไปจัดการเองนั่นแหละดีแล้ว”
เจียงป่าวชิงพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ใครบอกพี่ว่าข้าจะออกไปให้นางด่าล่ะเจ้าคะ ?”
เจียงป่าวชิงเดินไปที่กรงสุนัขหลังบ้าน
เนื่องจากต้นกล้าของผักที่ปลูกอยู่ในแปลงผักเพิ่งแตกหน่อ และเจ้าลูกสุนัขทั้งสองตัวเป็นอะไรที่ก่อกวนที่สุด ช่วงที่สร้างบ้านใหม่ เจียงป่าวชิงให้คนล้อมที่ดินในลานด้วยรั้วกันบาง ๆ เพื่อให้เจ้าสัตว์เลี้ยงจอมซนทั้งสองตัวได้มีพื้นที่วิ่งเล่นกันเต็มที่ พวกมันจะได้ไม่วิ่งเข้าไปเหยียบย่ำต้นกล้าในสวนผักตอนกลางคืนซึ่งไม่มีคนเฝ้า และจะได้ไม่กัดในตอนที่มีแขกมาบ้านด้วย
หลังจากที่เจียงเหล่าหวู่กลับไปแล้ว เดิมทีเจียงป่าวชิงอยากปลูกผักเพิ่ม นางจึงจัดการขังเจ้าลูกสุนัขแสนซนทั้งสองตัวไว้ในกรง
แต่ตอนนี้ รั้วบาง ๆ ถูกเปิดออกปล่อยเจ้าลูกสุนัขทั้งสองตัวให้วิ่งออกมาได้อย่างอิสระ มันทั้งสองตื่นเต้นดีใจและดม ๆ พลางก่อกวนอยู่รอบเท้าเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วไปเปิดประตูบ้าน หลีโผจื่อที่ยังคงก่นด่าไม่เลิกเห็นว่าประตูเปิดแล้วก็ดีใจ ในที่สุดน้ำลายในปากของนางก็มีที่ให้พ่นแล้ว นางกำลังจะชี้หน้าด่าเจียงป่าวชิงว่าหญิงมั่วโลกีย์อย่างเจียงป่าวชิงจะเสแสร้งยึดมั่นในคุณธรรมไปเพื่ออะไร สายตาพลันเห็นลูกสุนัขทั้งสองตัวพุ่งออกมาเห่านางเสียก่อน
หลีโผจื่อตกใจจนเข่าอ่อน อารามตกใจ นางก็รีบหมุนตัววิ่งหนีโดยที่ไม่สนใจที่จะด่าเจียงป่าวชิงต่ออีกแล้ว
ทว่าเจ้าลูกสุนัขทั้งสองซนมาก พวกมันวิ่งตามไม่เลิกจนหลีโผจื่อต้องรวบรวมกำลังขาทั้งหมดวิ่งหนีจนลืมแก่
เจียงป่าวชิงมองดูอย่างสะใจอยู่สักครู่ถึงจะเรียกเจ้าสุนัขทั้งสองตัวให้กลับมา พวกมันทั้งสองถูกนางเลี้ยงจนโตจึงเชื่อฟังคำสั่งนางเป็นอย่างดี เรียกเพียงครั้งเดียวพวกมันก็วิ่งตามกันกลับมาหาเจ้าของผู้ใจดี
เจียงป่าวชิงผิวปากแล้วพาทั้งสองตัวเข้าไปในบ้าน
หลีโผจื่อวิ่งกลับมาที่บ้านของตัวเองด้วยสภาพเหนื่อยหอบ ทันทีที่ปิดประตูบ้าน นางก็ไปทิ้งตัวลงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงทันที
โจซื่อก้มหน้าก้มตารินน้ำอยู่ด้านข้าง ซึ่งหลีโผจื่อรับแก้วน้ำไปดื่มจนหมดในทีเดียว
เจียงเอ้อยาเดินเข้าไปทุบขาให้หลีโผจื่ออย่างเอาใจด้วยท่าทีเป็นห่วงย่าตัวเอง “ท่านย่าเจ้าคะ ทำไมเหนื่อยหอบขนาดนี้ล่ะเจ้าคะ ?”
หลีโผจื่อนึกถึงเรื่องนี้ นางรู้สึกโมโหทันที ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้นางไม่ค่อยมีแรงแล้ว นางจะลุกขึ้นไปด่าเจียงป่าวชิงทั้งวันทั้งคืนให้รู้แล้วรู้รอด
“เจ้าเท้าเล็กเลว ๆ นั่น…” หลีโผจื่อหายใจหอบ นางพูดขึ้นด้วยความโกรธ “ข้าไม่คิด… ไม่คิดว่านางจะกล้าปล่อยหมามากัดข้าได้!”
โจซื่อรู้สึกสบายใจมาก นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่นางรู้สึกว่าเจียงป่าวชิงทำได้ดี
โจซื่ออดไม่ได้ที่จะก่นด่าอยู่ในใจ ‘เหอะ! ไม่ใช่ว่าแม่บอกว่าข้าทำอะไรไม่ได้สักอย่างหรอกรึ ? คราวนี้ไปด้วยตัวเองแล้ว แม่คงรู้แล้วสิว่ากระดูกของเจียงป่าวชิงน่ะแทะยากแค่ไหน’
แต่เอาเข้าจริงเจียงป่าวชิงก็กล้าดี ขนาดนางยังไม่คิดเลยว่าเจียงป่าวชิงจะกล้าปล่อยหมาให้ไปกัดคนเป็นย่าอย่างหลีโผจื่อเช่นนี้ ช่าง… ช่างน่าสะใจ อยากส่งเสียงหัวเราะออกมาดัง ๆ
โจซื่อก้มหน้าลงกลั้นขำ นางไม่กล้าให้หลีโผจื่อเห็นอารมณ์ขบขันบนใบหน้าของนาง
ทว่าเจียงเอ้อยากลับก่นด่าเจียงป่าวชิงอย่างจงเกลียดจงชัง “ท่านย่า เจียงป่าวชิงมันไร้ยางอาย ไม่ว่ายังไงท่านย่าก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของนาง เป็นถึงย่าของนาง แต่นางกลับกล้าทำกับท่านย่าแบบนี้ แย่ ๆ ๆ!”
เจียงเอ้อยาด่าเจียงป่าวชิงต่อไปอีกยาวเหยียด
หลีโผจื่อได้ฟังเจียงเอ้อยาก่นด่าเจียงป่าวชิงรัว ๆ นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อยเลย แต่ตอนหลัง พอได้ยินเหมือนเจียงเอ้อยาจะบุกไปตบเจียงป่าวชิง นางก็รู้สึกไม่พอใจอยู่สักหน่อย “เดี๋ยวสิ ทำอะไรหัดใช้สมองหน่อย ถ้าเจ้าบุกไปตบนาง แล้วเรื่องการแต่งงานในตอนหลังจะทำยังไง ?”
พูดถึงเรื่องการแต่งงาน แม้แต่โจซื่อที่คิดประสงค์ร้ายก็อดใจสั่นไม่ได้
ก็นั่นมัน… เงินตั้งห้าสิบตำลึงเชียวนะ!
เจียงเอ้อยากัดฟัน “ฮืมมมม เรายกโอกาสการแต่งงานที่ดีขนาดนี้ให้กับนาง แต่นางไม่รู้จักสำนึกในบุญคุณของเรา แถมยังเนรคุณชั่วช้าคิดทำร้ายกันแบบนี้อีก จริง ๆ เลย…”
ได้ฟังถึงตรงนี้ หลีโผจื่อก็ชำเลืองมองเจียงเอ้อยาอย่างไม่พอใจ “แต่ถ้าเจ้าพยายามกว่านี้หน่อยและฉวยการแต่งงานครั้งนี้ไว้ได้ เราก็ไม่ต้องยกเรื่องดี ๆ แบบนี้ให้กับไอ้หลานสารเลวคนนั้นแล้ว ไอ้ยา! พอข้านึกถึง ข้าก็รู้สึกโกรธจนเจ็บหัวใจกับปอดไปหมด”
สีหน้าของเจียงเอ้อยาแข็งทื่อทันที
นางก้มหน้าลงด้วยความน้อยใจระคนรู้สึกโกรธแค้น
เรื่องที่นางน้อยใจคือนางหน้าตาไม่ได้ย่ำแย่ แต่ที่บ้านไม่ให้นางแต่งตัวดี ๆ และไม่เลี้ยงดูนางอย่างตามใจเพื่อให้นางดูมีสง่าราศีเหมือนเฉียนเซียงเซียง แล้วแบบนี้นางจะทำอะไรได้ ?
พ่อบ้านของฝ่ายนั้นก็บอกว่านางหน้าตาจิ้มลิ้มพอใช้ได้ แต่บุคลิกเฉพาะตัวค่อนข้างเป็นสาวชนบทเกินไปหน่อยจึงยกตนเสมอคนรวยที่มีสง่าราศีจริง ๆ ไม่ได้
ส่วนเรื่องที่เจียงเอ้อยาโกรธแค้นคือต่างคนต่างถูกเลี้ยงดูมาแบบเปื้อนโคลนในชนบทเหมือนกัน แม้กระทั่งเจียงป่าวชิงยังเคยปัญญาอ่อนตั้งหลายปี แต่ทำไมดูเหมือนว่ามีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างเจียงป่าวชิงกับนางล่ะ
ทำไมเจียงป่าวชิงนั่นถึงได้ดูดีกว่านางอีก ?
คิดมาถึงตรงนี้ จู่ ๆ เจียงเอ้อยาก็หยุดชะงักไป นางพูดกับหลีโผจื่อว่า “ท่านย่า ข้าว่าเราควรเชิญพ่อบ้านที่ดูตัวให้มาดูเจียงป่าวชิงก่อนดีไหมเจ้าคะ เพราะถึงยังไงเจียงป่าวชิงก็เคยเป็นคนปัญญาอ่อนมาก่อน ข้าเห็นนางชอบทำอะไรบ้า ๆ อยู่บ่อย ๆ บางทีนางอาจไม่เข้าตาเขาก็ได้”
คำพูดของเจียงเอ้อยาเป็นการเตือนหลีโผจื่อว่าอย่าให้พวกนางต้องยุ่งยากโดยเปล่าประโยชน์ หากผลสุดท้ายนายกาวคนนั้นไม่ได้ชอบเจ้าเท้าเล็กเจียงป่าวชิง
หลีโผจื่อครุ่นคิดตัดสินใจ แววตานางเต็มไปด้วยความหมองมัวก่อนที่นางจะกัดฟันพูดขึ้น “พวกเจ้าสองแม่ลูกไปเชิญพ่อบ้านที่ดูตัวมา ข้าจะหาโอกาสทำให้พ่อบ้านคนนั้นเห็นเจียงป่าวชิงให้ได้ ถ้าหากว่านางเข้าตาเขา ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน เราก็ต้องจับนางส่งไปให้อีกฝ่ายให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงเงินห้าสิบตำลึงนั้นต้องไม่ตกไปเป็นของครอบครัวอื่น”
……
เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานกำลังกินเนื้อกระต่ายที่เจียงเหล่าหวู่เอามาให้และพูดถึงเรื่องที่โจซื่อกับหลีโผจื่อโผล่มาที่นี่ไปด้วย
“เหอะ! ที่แท้ก็อยากให้ข้าไปเป็นเมียน้อยของพ่อค้าร่ำรวยคนหนึ่ง” เจียงป่าวชิงใช้ตะเกียบคีบเนื้อกระต่ายผัดชิ้นเล็ก ๆ เข้าปาก หลังจากที่กลืนลงไป ปากของนางก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอม
“ข้าเดาว่าตอนหลังมันคงมีอะไรที่ส่งผลดีต่อพวกนางแน่ ๆ ไม่อย่างนั้น ในสายตาของพวกนาง ‘เรื่องที่ดีมาก’ ขนาดนั้น คงไม่ตกมาถึงข้าหรอก” นางพูดยิ้ม ๆ
เจียงหยุนชานรู้สึกโมโหเล็กน้อย “เป็นเมียน้อยคนอื่นมันมีอะไรดี ข้าว่าพวกนางตั้งใจหลอกเจ้ามากกว่า” เจียงหยุนชานพูดกับเจียงป่าวชิงด้วยแววตามั่นคง “ป่าวชิง เจ้าอายุยังน้อย ไม่ต้องรีบหรอกเรื่องพวกนั้น รอให้ข้าสอบได้ผลงานกับชื่อเสียงก่อน แล้วเจ้าจะได้มีสถานะเป็นคุณหนู ถึงตอนนั้นข้าจะต้องให้เจ้าแต่งออกไปอย่างยิ่งใหญ่ให้ได้”
เจียงป่าวชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ “เจ้าค่ะ ข้าจะรอวันที่พี่มีผลงานกับชื่อเสียงนะ”
สองพี่น้องพูดคุยกันอย่างเฮฮาจนลืมเรื่องที่โจซื่อกับหลีโผจื่อมาที่นี่ไปโดยสิ้นเชิง