ตอนที่ 292 หลุดรอดจากถ้ำเสือ

พันธกานต์ปราณอัคคี

ฮวาเชียนซู่เก็บรอยยิ้มที่มุมปากขึ้นว่า “พี่หลัว ไม่พบกันนาน สีหน้าเจ้าดีขึ้นมาแล้วนี่นา”

 

 

หลังอวี้เฉิงยังคงใส่ชุดดำ สีหน้ากลับไม่ซีดเซียวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว คนทั้งคนดูแล้วราวกับสง่าขึ้นมาก มุมปากอมยิ้มว่า “นั่นจะเทียบพี่ฮวาที่สุขสมหวังได้เช่นไร พี่ฮวา ว่าไปแล้วเจ้าทำไม่ถูกนะ อย่างไรเสียเราก็อาศัยอยู่ในเมืองลั่วหยางมาหลายสิบปีด้วยกัน เหตุใดวันพิธีวิวาห์เจ้า ก็ไม่ส่งเทียบเชิญให้สหายเก่า อวี้เฉิงจึงได้แต่มาโดยไม่ได้รับเชิญแล้ว”

 

 

ฮวาเชียนซู่ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่ข้องแวะกับคนแซ่หลัวนี่ ล้วนต้องคอยระวังตัวเป็นพิเศษ ดีไม่ดีคำพูดประโยคไหนหรือทำท่าทีอะไรก็ถูกเขาเดาอะไรออกมาได้

 

 

“พี่หลัว น้องหละหลวมไปแล้ว รีบเชิญข้างใน” ฮวาเชียนซู่ทำท่าเชิญ

 

 

สายตาหลัวอวี้เฉิงกวาดผ่านป้ายประตู แล้วก้าวเท้าเดินเข้าไป

 

 

ในจวนฮวา ตกแต่งอย่างหรูหรา ดอกไม้สดที่หายากประดับเต็มทุกซอกทุกมุมไปหมด บนต้นหอมหมื่นลี้แขวนโคมไฟที่วิจิตรประณีตและแพรพรรณแดงเข้ม ในโถงรับแขก ฉากกั้นทำจากปะการังโต๊ะทำจากหยกขาว ใต้หลังคาห้อยเต็มไปด้วยก้อนกลมบุปผาที่ร้อยขึ้นจากบุปผาวิญญาณ กลิ่นหอมรางๆ อบอวลไปทั้งโถง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงบางคนเห็นฉากเช่นนี้ สีหน้ายิ่งเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ สายตามองไปที่ฮวาเชียนซู่ที่ใส่ชุดแดงเข้มตลอดเวลา แทบอยากจะให้เจ้าสาวในวันนี้เป็นตนเสียให้ได้

 

 

หลัวอวี้เฉิงเลือกนั่งลงในมุมที่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักรวมตัวกัน พิจารณาสภาพรอบๆ อย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม สายตาตกลงบนก้อนกลมบุปผาที่ห้อยลงจากหลังคาลงกลางโต๊ะพอดี แล้วชะงักแผ่วเบา สุดท้ายกลับยิ้มเบาๆ ยกชาทิพย์ถ้วยหนึ่งดื่มขึ้นมา

 

 

ฮวาไป่เฉิงลุกขึ้นยืน ทุกคนวางถ้วยชาลง มองไปที่กลางโถง

 

 

“วันนี้ เป็นวันมงคลของลูกหลานตระกูลฮวาข้าเชียนซู่ ทุกท่านมาชมพิธี เป็นเกียรติอันใหญ่หลวงของตระกูลฮวา ณ ที่นี้ ข้าของคารวะทุกท่านหนึ่งจอก เพื่อแสดงความขอบคุณ” ฮวาไป่เฉิงพูดพลางใช้มือบังจอก ดื่มสุราทิพย์จอกหนึ่งหมดจอก

 

 

ทุกคนยกจอกสุราขึ้นพร้อมกันดื่มหมดจอก

 

 

“สุราดี ไม่คิดว่าจะเป็นน้ำค้างวายุทอง จิ๊ๆ ตระกูลฮวาช่างลงทุนจริงๆ เลย” ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักบางส่วนถอนใจเบาๆ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรของนิกายมารแดงกลับวางจอกสุราไว้บนโต๊ะหยกอย่างสำรวม น้ำค้างวายุทองสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักพวกนั้นแล้วนับได้ว่าเป็นสุราเลิศรสที่หายาก สำหรับพวกเขาแล้วกลับไม่มีค่าอะไร ปกติผู้บำเพ็ญเพียรในสำนักที่พอมีฐานะจัดพิธีบำเพ็ญเพียรคู่ น้ำค้างวายุทองเป็นสุราทิพย์ที่ต้องเตรียมอย่างขาดไม่ได้

 

 

“ท่านหัวหน้าตระกูลฮวา จะให้พวกเราดื่มสุราอย่างเดียวไม่ได้นะ เหตุใดยังไม่เห็นเจ้าสาวออกมา?” มีคนล้อเล่นขึ้นมา

 

 

“นั่นสิ นั่นสิ บุคคลเช่นคุณชายฮวานี้ ตกลงหญิงสาวเช่นไรถึงคู่ควรกันแน่ พวกเราอยากรู้อยากเห็นมากเลยนะ”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงส่วนหนึ่งสีหน้าสลด กัดริมฝีปากไว้แน่น สายตาจ้องประตูด้านในไม่ขยับเขยื้อน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรวิวาห์ กฎเกณฑ์ต่างกับคนธรรมดา

 

 

หลังจากเจ้าสาวออกมาแล้วต้องกราบไหว้ฟ้าดินและอาจารย์พร้อมเจ้าบ่าวก่อน จากนั้นคือการคารวะสุราต่อแขกเหรื่อ หลังจากได้รับคำอวยพรจากทุกคนแล้วถึงไหว้บุพการี สามีภรรยาคารวะกันเข้าห้องหอ

 

 

“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว” แขกที่อยู่ใกล้ประตูด้านในโกลาหลขึ้นมา

 

 

แล้วก็เห็นม่านผลึกแก้วแหวกขึ้น สาวใช้สองคนที่ใส่กระโปรงใหม่สีชมพูพยุงหญิงสาวที่คลุมผ้าคลุมศีรษะแดงเข้มลายเยวียนยางเดินออกมา ชายกระโปรงชุดวิวาห์แดงเข้มยาวลากพื้น พลิ้วไหวเพรี้ยมพรายตามจังหวะการเดินของเจ้าสาว ส่องจนผู้บำเพ็ญเพียรหญิงมากมายแสบตา

 

 

“เจ้าสาวอ้อนแอ้นดีเหลือเกิน” จ้องเอวบางร่างน้อยของเจ้าสาว มีผู้บำเพ็ญเพียรชายเอ่ยเสียงเบา

 

 

ฮวาเชียนซู่เดินขึ้นไปก้าวหนึ่ง หยิบอีกด้านหนึ่งของแพรแดงไว้

 

 

จุดเทียน จุดเครื่องหอม เสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้างขึ้นด้านนอก เสียงดนตรีบรรเลงขึ้นมา

 

 

ในชั่วขณะนี้ มั่วชิงเฉินที่ก้มหน้าอยู่ตลอดเวลาในใจจู่ๆ ก็รู้สึกสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นเด็กสาวที่ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใดๆ ในชาติที่แล้วก็ดี ผู้บำเพ็ญเพียรที่ลำบากทุกฝีก้าวในชาตินี้ก็ช่าง ในฐานะหญิงสาว มีใครบ้างที่ไม่ปรารถนาช่วงเวลาที่ได้ใส่ชุดวิวาห์

 

 

อีกด้านหนึ่งของแพรแดง เดิมควรเป็นคู่ครองที่นางอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ทว่าบัดนี้ กลับเป็นศัตรูที่มือเปื้อนเต็มไปด้วยเลือดของคนในตระกูล

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียร ไม่ว่าออกหรือเข้าสู่โลกิยะล้วนเป็นการบำเพ็ญเพียร ทว่าการทดสอบที่มีต่อตน จะไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ

 

 

“ควันหอมอบอวล แสงเทียนโชติช่วง เจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าสู่โถงบุปผา…” ผู้ดำเนินพิธีขับกล่อม

 

 

ฮวาเชียนซู่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ใช้แพรแดงจูงมั่วชิงเฉินเดินสู่กลางโถงบุปผา

 

 

“หนึ่งไหว้ฟ้าดิน…” ผู้ดำเนินพิธีลากเสียงยาวเฟื้อย

 

 

“ช้าก่อน” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น

 

 

ในโถงเงียบลงทันที ทุกคนมองไปพร้อมกัน เห็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงคนหนึ่งยืนขึ้นมา

 

 

“จื่อหนี ยังไม่นั่งลงอีก!” นักพรตไป๋หมางเอ่ยเสียงเข้ม ในสถานการณ์เช่นนี้กลับโมโหไม่ได้

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงกลับยิ้มให้นักพรตไป๋หมางว่า “อาจารย์ คนเขาเพียงแค่อยากเห็นเจ้าสาวของศิษย์น้องเล็กว่าตกลงหน้าตาเป็นเช่นไรเท่านั้นนี่นา ศิษย์น้องเล็กวิวาห์รีบร้อนถึงเพียงนี้ แม้แต่ท่านก็ยังไม่ได้เห็นเลย”

 

 

“นั่นสิ นั่นสิ ดูเจ้าสาว” คนไม่น้อยเอะอะตามขึ้นมา

 

 

“ศิษย์พี่สามไม่ต้องรีบร้อน รอยามคารวะสุราแขกเหรื่อ เชียนซู่ต้องเปิดผ้าคลุม ให้ศิษย์พี่สามดูให้ชัดเจนแน่นอน” ฮวาเชียนซู่ยิ้มได้อ่อนโยนอย่างไม่มีใครเทียบได้ คำพูดที่พูดกลับทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงเหมือนตกสู่หลุมน้ำแข็ง

 

 

ฮวาเชียนซู่เหลือบมองผู้ดำเนินพิธีปราดหนึ่ง ผู้ดำเนินพิธีรับทราบ รีบเอ่ยเสียงดังว่า “หนึ่งไหว้ฟ้าดิน…”

 

 

“สองไหว้อาจารย์ผู้มีพระคุณ…”

 

 

“คารวะสุราแขกผู้มีเกียรติ…”

 

 

“เปิดผ้าคลุม เปิดผ้าคลุม!” ผู้คนหยอกล้อว่า

 

 

ฮวาเชียนซู่ยิ้ม รับด้ามคันชั่งที่คนยื่นมาให้ ตวัดผ้าคลุมศีรษะขึ้นเบาๆ

 

 

“ซื้ด…” เสียงสูดลมดังขึ้นเป็นระลอกๆ ขึ้นในโถง กลับไม่มีคนพูดคุย ทุกคนต่างมองใบหน้าเจ้าสาวด้วยความตกตะลึง

 

 

คิ้วดุจทิวเขา ดวงตาดอกท้อคู่นั้นเป็นทอแสงแวววาว ราวกับมีบึงสุราเลิศรสอยู่ข้างใน ทำให้คนแค่มองก็เคลิบเคลิ้มอยู่ในนั้น สีแดงระเรื่อจางๆ ทำให้แก้มสองข้างดูแล้วไม่ผ่ายผอมถึงเพียงนั้น ผิวขาวปากแดง ยิ่งขับให้หน้าดุจหยกเย็น แววตาเป็นประกายหลั่งไหลความงดงามที่น่าตกตะลึงสะเทือนถึงวิญญาณออกมา

 

 

“คู่สร้างคู่สม ช่างเป็นคู่สร้างคู่สมจริงๆ” ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักคนหนึ่งเอ่ยอย่างเคลิบเคลิ้ม

 

 

คนข้างๆ พยักหน้าว่า “ใช่ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เห็นมีหญิงสาวยืนอยู่หน้าคุณชายฮวาแล้ว ท่วงท่าความสง่างามไม่ถูกบดบังไป”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงส่วนใหญ่หน้าซีด ก้มหน้าลงช้าๆ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงกัดริมฝีปากไว้แน่ ไยถึงเป็นเช่นนี้ วันนั้นนางเห็นนางผอมจนดูไม่ได้ สีหน้าหมองคล้ำชัดๆ

 

 

มีสาวใช้ยกจอกสุรามาคู่หนึ่ง ฮวาเชียนซู่หยิบขึ้นใบหนึ่ง ยื่นอีกใบหนึ่งให้มั่วชิงเฉิน แล้วเดินเข้าไปหาแขกเหรื่อ

 

 

“ยินดีด้วย ยินดีด้วย คุณชายฮวา มิน่าเจ้ารีบวิวาห์ถึงเพียงนี้นะ ที่แท้เจ้าสาวสวยเกินไป กลัวหนีไป” มีคนหยอกเล่นว่า

 

 

ฮวาเชียนซู่มุมปากอมยิ้ม ยกจอกสุราขึ้นดื่มหมดจอก

 

 

“ไยเจ้าสาวถึงไม่ดื่ม?”

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาลง ดื่มสุราในจอกหมดจอก คนส่วนหนึ่งตะโกนชื่นชม

 

 

คารวะติดๆ กันหลายโต๊ะ มาถึงที่หัวมุม

 

 

“พี่หลัว เชิญ” ฮวาเชียนซู่ยกจอกสุราขึ้น

 

 

สายตาหลัวอวี้เฉิงกวาดมองผ่านหน้ามั่วชิงเฉิน ยิ้มอย่างประหลาดว่า “ยินดีด้วยพี่ฮวา ได้วิวาห์กับสาวงามเช่นนี้ น้องช่างอิจฉาจริงๆ เลย”

 

 

“ฮ่าๆๆ พี่หลัวพูดอะไรเช่นนี้ มีใครไม่รู้บ้างว่าคู่หมั้นของเจ้าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งแดนไท่ไป๋” ฮวาเชียนซู่หัวเราะว่า

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใดมักรู้สึกว่าเจ้าหลัวอวี้เฉิงนี่อารมณ์ไม่ค่อยดี อาจเพราะคู่หมั้นที่ได้สมญานามว่าสาวงามอันดับหนึ่งผู้นั้นไม่เคยมีสีหน้าดีๆ ให้กระมัง?

 

 

นึกถึงตรงนี้ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา แล้วแหงนหน้าดื่มสุราจนหมด

 

 

หลัวอวี้เฉิงกลับหมุนจอกสุราในมือ ยกใส่มั่วชิงเฉินว่า “ฮูหยินซ้อ เชิญ”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบกัดฟัน ใช้แขนเสื้อที่กว้างใหญ่บัง แล้วส่งจอกไปไว้ที่ริมฝีปาก ในสมองกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “สหายเต๋ามั่ว ยินดีด้วย”

 

 

มั่วชิงเฉินโกรธจนหน้าซีด เบือนสายตาไปทางอื่น

 

 

นางและหลัวอวี้เฉิงแม้อยู่ด้วยกันเช้าเย็นมาหลายปี อย่างไรเสียฐานะก็ต่างกัน อยู่หุบเขาไร้วิญญาณยังดี ออกจากที่นั่นแล้ว ในใจเขาคิดเช่นไร นางไม่มั่นใจแม้แต่น้อย และยามนี้ นางเตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว สำเร็จหรือไม่ล้วนเป็นลิขิตสวรรค์ ไม่ได้เพ้อฝันแม้แต่น้อยว่าเขาจะทำเช่นไร

 

 

หลัวอวี้เฉิงหลุบตายิ้ม แล้วยกจอกใส่มั่วชิงเฉิน

 

 

“ดื่มสุราน้อยหน่อย” มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตว่า จากนั้นหมุนตัวจากไป เสียงของหลัวอวี้เฉิงส่งมาว่า “วางใจ ข้าดื่มแต่น้ำชา”

 

 

โต๊ะสุดท้ายที่ต้องคารวะ และก็เป็นโต๊ะที่มีเกียรติที่สุด นักพรตเป๋าหมางนั่งอยู่ในที่ประธาน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคนนั่งอยู่ซ้ายขวา ที่เหลือคือศิษย์ก้นกุฏิสองคนของนักพรตไป๋หมางและศิษย์หัวกะทิจำนวนหนึ่ง มีหัวหน้าตระกูลฮวาเคียงข้าง

 

 

คารวะหมดโต๊ะนี้ ก็ต้องกราบไว้บุพการี หลังจากสามีภรรยาคารวะกันและกันก็นับว่าเสร็จพิธีแล้ว ทั้งสองคนก็ผูกพันกันเป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงแล้ว

 

 

“ศิษย์ขอขอบคุณบุญคุณการสั่งสอนของอาจารย์ ขอบคุณการชี้แนะและดูแลจากศิษย์พี่ทุกท่าน” ฮวาเชียนซู่ในวันนี้ แสดงออกได้ถ่อมตนและอ่อนโยนเป็นพิเศษ

 

 

นักพรตไป๋หมางพยักหน้าว่า “ดี ดี ศิษย์รัก เจ้าต้องขยันนะ พยายามมีศิษย์หลานที่หน่วยก้านยอดเยี่ยมให้นิกายมารแดงข้าในเร็ววัน”

 

 

ฮวาเชียนซู่เหลือบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง อมยิ้มว่า “อาจารย์วางใจได้ ศิษย์จะพยายามแน่นอน”

 

 

“ฮ่าๆ ศิษย์พี่ไป๋หมาง เจ้าวางใจได้ เชียนซู่พรสวรรค์ยอดเยี่ยมปานนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรคู่ของเขาอายุน้อยๆ ตบะโดดเด่นเช่นกัน บุตรที่ให้กำเนิดในอนาคตต้องไม่ด้อยแน่นอน” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคนหัวเราะร่าว่า

 

 

มั่วชิงเฉินแอบกัดฟัน แล้วเหลือบมองก้อนกลมบุปผาที่แขวนอยู่เหนือศีรษะปราดหนึ่งอย่างไม่มีร่องรอย

 

 

ฮวาเชียนซู่ใช้แพรแดงจูงนาง เดินสู่กลางโถงบุปผาช้าๆ

 

 

“สามไหว้บุพการี…” ผู้ดำเนินพิธีขับกล่อมอีกครั้ง

 

 

มั่วชิงเฉินไหว้คนวัยกลางคนสองคนที่นั่งอยู่กลางโถงตามฮวาเชียนซู่

 

 

“สามีภรรยาคารวะกัน…”

 

 

ฮวาเชียนซู่หันไปหามั่วชิงเฉิน ไหว้ลงไป มั่วชิงเฉินที่อยู่อีกด้านของแพรแดงกลับไม่ขยับเขยื้อน

 

 

เกิดอะไรขึ้น? สายตาของทุกคนสาดส่องมา

 

 

ผู้ดำเนินพิธีชะงัก ออกเสียงอีกครั้งว่า “สามีภรรยาคารวะกัน…”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียง ก็เห็นเจ้าสาวกระอักเลือดออกมาทันที ร่างกายส่ายไปมาแล้วทรุดลงไป

 

 

“อ๊า!” ผู้คนอุทานออกเสียง ลุกขึ้นมาอย่างบังคับตนเองไม่ได้

 

 

ในยามนี้เอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ควันหนาคละคลุ้งไปทั่วโถงบุปผา

 

 

“อ๊าก เกิดอะไรขึ้น!” ในหมอกหนา มีคนกรีดร้องเป็นระยะ

 

 

“สวรรค์ ข้าเหยียบถูกอะไรเข้าแล้ว!”

 

 

สถานการณ์ยิ่งผ่านไปยิ่งโกลาหล หากสามารถมองทะลุควันหนา ก็จะพบว่าคนที่ทรุดลงไปอย่างเงียบๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

“ทุกคนสุขุมเข้าไว้!” นักพรตเป๋าหมางตะโกนขึ้น แล้วอัญเชิญสมบัติวิเศษออกมา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอีกสองคนได้รับบาดเจ็บท่ามกลางการระเบิดของระเบิดสะท้านฟ้านับร้อยลูกในระยะประชิด กลับรีบเร่งไปหน้าประตูอย่างระแวดระวัง

 

 

มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นโดยพลัน ฮวาเชียนซู่ที่บุกเข้ามาชะงักงัน จากนั้นความรู้สึกวิงเวียนถาโถมเข้ามา ล้มลงใส่ตัวนาง

 

 

มั่วชิงเฉินเอี้ยวหลบ จับข้อมือของฮวาเชียนซู่แล้วพุ่งออกไปข้างนอก กลับไม่ได้ออกทางประตู หากแต่กระโดดออกทางหน้าต่าง

 

 

เพิ่งลงพื้นก็ถูกคนจับข้อมือไว้ว่า “รีบไป!”