ส่วนที่ 12 ฝืนชะตาคนไร้ค่า ตอนที่ 19 ฝืนชะตาคนไร้ค่า (19)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

ที่นอกเมืองเหมยเท่อ ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลากลางดึกแล้ว แต่แสงจากพลังวิญญาณที่โอบล้อมอยู่รอบกายของเหล่านักอัญเชิญกลับช่วยกันส่องแสงหลากสี ทำให้ค่ำคืนที่มืดมิดนี้ถูกส่องสว่างราวกับกลางวัน

เหล่านักศึกษาใหม่ของราชวิทยาลัยนักอัญเชิญต่างก็สวมใส่ชุดสีทองประจำของสำนักศึกษา ตอนนี้จัดกลุ่มกันเป็นสามคนต่อหนึ่งกลุ่ม กำลังสู้รบฆ่าฟันอย่างสุดความสามารถอยู่กับกองทัพใหญ่ของสัตว์มาร…

“คุณชายใหญ่ สู้สู้!”

“คุณชายใหญ่แข็งแกร่งที่สุด!”

นี่คือเสียงโห่ร้องที่มาจากทางฝั่งทิศใต้ของเมือง ฝั่งทิศใต้ของเมืองเป็นเขตที่ตระกูลเซียวดูแลป้องกันอยู่ ตั้งแต่ที่เซียวเหยี่ยนกลับมา คนของตระกูลเซียวทั้งหมดก็ตกอยู่ในอาการตื่นเต้นยินดีกันถ้วนหน้า ต่อให้เป็นนักอัญเชิญที่ต่อสู้ฆ่าฟันมาทั้งวันแล้ว ตอนนี้ทุกคนต่างก็มีกำลังฮึกเหิมกันขึ้นมาใหม่อีกรอบแล้วกลับเข้าไปต่อสู้ในสนามรบต่อ

ทางทิศตะวันออกของเมือง เป็นค่ายป้องกันของตระกูลซู

ได้ยินเสียงโห่ร้องที่ดังมาจากทางทิศใต้ ซูหยาก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “ส่งคนกลับไปแจ้งนายน้อยใหญ่แล้วหรือยัง”

“แจ้งแล้วขอรับ ท่านผู้นำตระกูล”

ด้านหลังเป็นผู้อาวุโสใหญ่ในตระกูล ได้ยินคำถามของซูหยาเขาจึงรีบตอบกลับมาเสียงเบา

“อ้อ”

ซูหยาเลิกคิ้วขึ้น “แล้วจั้นเอ๋อร์ว่าอย่างไรบ้าง”

“เอ่อคือ แค่กๆ”

สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่มีความกระอักกระอ่วน “นายน้อยใหญ่ส่งคนมาบอกว่า เขากับคุณหนูสาม…อาบน้ำนอนพักผ่อนแล้ว”

ซูหยา “…”

มราดาเถิด ลูกชายของเขานี่มันไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แค่กๆ มันน่ากลุ่มใจจริงๆ!

“อืม”

ซูหยาพยายามปั้นสีหน้าให้เรียบเฉยแล้วพยักหน้ารับเบาๆ หลังจากนั้นก็ใช้น้ำเสียงที่มั่นคงมากกล่าวออกไป “จั้นเอ๋อร์นี่มองการณ์ไกลเสียจริง การต่อสู้ในตอนกลางคืนจะทำให้การฟื้นฟูพลังวิญญาณทำได้ช้าลง อีกอย่าง…คืนนี้เซียวเหยี่ยนก็ต่อสู้อยู่ทั้งคืน พรุ่งนี้เขาอาจจะไม่มีแรงเหลือในการสู้รบต่อก็ได้ พรุ่งนี้สิถึงจะเป็นวันสู้ศึกใหญ่ที่แท้จริง!”

ผู้อาวุโสใหญ่ “…”

ท่านผู้นำตระกูล ท่านแน่ใจหรือว่านายน้อยใหญ่เขาคิดอย่างนี้จริงๆ ความสามารถในการปั้นน้ำเป็นตัวของท่านนี่มันเขาขั้นสุดยอดแล้ว ข้าน้อยนับถือ นับถือ!

คืนนี้ ก็เป็นอีกคืนหนึ่งที่ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน

เช้าวันรุ่งขึ้น ตอนที่ซูหว่านตื่นขึ้นมา ร่างของนางยังคงซุกอยู่ในอ้อมกอดของซูรุ่ย ลืมตาตื่นขึ้นมาก็สามารถมองเห็นใบหน้าหล่อๆ ของผู้ชายตัวเอง

เฮ้อ ถูกความหล่อของผู้ชายตัวเองปลุกให้ตื่นขึ้นมาทุกๆ วันแบบนี้ มันช่างน่าภูมิใจจริงๆ เลย

“ตื่นแล้วเหรอ”

ในเวลานี้ซูรุ่ยก็ลืมตาขึ้น ในน้ำเสียงงัวเงียนั้นยังมีน้ำเสียงแหบพร่าอย่างเกียจคร้านผสมอยู่ด้วย

“อืม”

ซูหว่านลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างรู้สึกไม่ค่อยสบาย ถึงแม้ว่าบานประตูในห้องจะปิดสนิทอยู่ทุกบาน แต่ว่าการต่อสู้ฆ่าฟันทั้งวันทั้งคืนของเมื่อวานนี้ ทำให้มีสัตว์มารตายไปเยอะมากจริงๆ กลิ่นคาวเลือดที่ไม่น่าภิรมย์นั้นก็ได้ไปกระจายไปทั่วทั้งเมือง ในห้องนอนของนางขณะนี้ก็ยังมีกลิ่นนั้นลอยอยู่ในอากาศเต็มไปหมดอยู่เลย ถึงแม้ว่ากลิ่นจะไม่แรงมาก แต่ก็ทำให้คนรู้สึกไม่สบายอยู่ดี

“ไม่สบายเหรอ”

ซูรุ่ยที่อยู่บนเตียงนอนสวมใส่เสื้อผ้าไปก็มองมาทางซูหว่านด้วยสายตาเป็นห่วงไปด้วย

“ไม่เป็นไร”

ซูหว่านยักไหล่เบาๆ “วันนี้ทางนั้นจะเริ่มส่งสัตว์มารระดับกลางมาแล้ว ครั้งนี้ท่าจะต้องรับศึกหนักแล้วละ”

“นั่นสิ”

ซูรุ่ยก้าวลงมาจากเตียง ประกายตาที่เฉียบคมในดวงตาของเขากำลังลุกโชน

กระบี่อำมหิตจื่อหมิง ในที่สุดครั้งนี้ก็ถึงเวลาที่จะได้แสดงศักยภาพของมันให้เต็มที่แล้ว

ได้ยินมาว่าหากกระบี่อำมหิตนี้ได้ดื่มเลือดสดๆ มากพอแล้วละก็ จะสามารถมีความคิดเป็นของตัวเองได้ กลายเป็นศาสตราเทพที่สูงส่งที่สุด

จื่อหมิง ครั้งนี้ ฉันจะให้แกได้กินให้เต็มที่ไปเลย!

แสงอาทิตย์ในยามเช้ายังคงเจิดจรัสเป็นอย่างมาก แต่ว่าในตัวเมืองและนอกเมืองเหมยเท่อนั้นกลับเต็มไปด้วยเศษซากจากการต่อสู้

ในตัวเมืองมีกลุ่มคนรวมตัวกันทั้งประชาชนทั่วไปและหมอเป็นกลุ่มรักษาพยายาบาลผู้บาดเจ็บ พวกเขากำลังพยายามช่วยกันทำแผลให้กับผู้บาดเจ็บอย่างเต็มความสามารถ

และบนกำแพงเมือง เหล่านักอัญเชิญก็กำลังต่อสู้กันอย่างไม่ลดละ

แสงสนธยายามเช้าที่สดใสถักทอให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงสดใส ซากร่างของสัตว์มารที่ถูกสังหารไปเมื่อวานก็ถูกฝูงสัตว์มารที่มาใหม่เหยียบย่ำจนกลายเป็นโคลน สภาพพื้นที่นี้ช่างดูโหดร้ายยิ่งนัก

ในตอนที่ซูรุ่ยและซูหว่านเดินเคียงข้างกันมาถึงค่ายป้องกันของตระกูลซูแล้วนั้น ซูหยายังคงถือหงเหลียนไว้ในมือพร้อมกับเหล่าผู้อาวุโสกลุ่มใหญ่ที่กำลังโจมตีอยู่ในระยะไกล

มองดูสีหน้าของพวกเขาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล่า ดวงตาของซูรุ่ยวายประกายพาดผ่าน เขาเดินเข้าไปยกมือขึ้นมาสะกิดไปที่ไหล่ของซูหยา “ท่านพ่อ ท่านไปพักสักหน่อยก่อนเถอะ”

“จั้นเอ๋อร์?”

ซูหยาดึงสติของตัวเองกลับมา ก็เห็นซูรุ่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังมีสีหน้าที่สดใส

ไอ้เจ้าลูกคนนี้ ในที่สุดก็รู้จักเป็นห่วงพ่อของตัวเองแล้วสินะ

“สัตว์มารกลุ่มใหม่กำลังจะมาถึงแล้ว”

ในขณะนี้ ซูรุ่ยกลับมองไม่เห็นสีหน้าตื้นตันใจของซูหยา สายตาของเขามองไปยังฝูงสัตว์มารสีดำกลุ่มใหญ่ที่กำลังเคลื่อนเข้ามาอยู่ไกลลิบๆ น้ำเสียงที่เอยออกมาก็ดูจริงจังมากกว่าปกติ “สัตว์มารกลุ่มนี้แข็งแกร่งมาก ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา เพราะฉะนั้นพวกท่านก็ใช้เวลานี้ไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ”

ซูหยา “…”

อันที่จริงแล้วข้าถูกลูกชายตัวเองดูถูกอยู่หรือนี่

“จั้นเอ๋อร์ บิดาของเจ้าเป็นถึงนักอัญเชิญระดับสูงเชียวนะ”

ซูหยาอดไม่ได้ที่จะยึดอกที่ยังแข็งแรงกำยำของตัวเองขึ้น ให้ซูรุ่ยได้มองเห็นชุดคลุมของนักอัญเชิญระดับสูงที่ตัวเองสวมใส่อยู่ ถึงแม้ว่าระดับพลังของเขาจะหยุดอยู่ที่นักอัญเชิญระดับสูงขั้นสองมานานหลายปีแล้ว แต่ว่าเขาก็เป็นนักอัญเชิญระดับสูงตัวจริงเสียงจริงนะ!

“ข้ารู้”

ซูรุ่ยรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกตอบออกไป “ท่านพ่อต่อสู้มาทั้งวันทั้งคืนแล้ว ข้ารู้ว่าท่านมีความสามารถ แต่ว่าตระกูลเราต้องการท่าน ท่านจะมาล้มลงเอาตอนนี้ไม่ได้ ท่านต้องการพักผ่อนให้เต็มที่!”

“จริงขอรับ ท่านผู้นำตระกูล!”

“ท่านผู้นำตระกูลไปพักผ่อนก่อนเถอะ ทางนี้มอบให้นายน้อยใหญ่และพวกเราจัดการเอง!”

ผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ยินคำพูดของซูรุ่ยแล้วก็อดที่จะคล้อยตามไม่ได้ คำกล่าวที่ว่าหนึ่งแคว้นจะขาดผู้นำไม่ได้แม้เพียงหนึ่งวัน ตระกูลที่ใหญ่โตเองก็เช่นกัน จะขาดผู้นำตระกูลมาค่อยจัดการดูแลแม้เพียงหนึ่งวันก็ไม่ได้

บางที ซูหยาอาจจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไร แต่ว่าในความเป็นจริงในสายตาของคนในตระกูลซูแล้ว ผู้นำตระกูลของพวกเขาเป็นผู้นำตระกูลที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลกแล้ว

ในภาวะคับขัน พึงพาได้

ในเวลาอันตราย ช่วยเหลือได้

ในภาวะเป็นตาย ยืนหยัดได้

ได้ฟังคำพูของทุกคน ซูหยาก็พยักหน้ารับ “เอาเถอะ จั้นเอ๋อร์ ถ้าอย่างนั้นที่เหลือก็ฝากเจ้ากับซูหว่านด้วย หลังจากที่ศึกครั้งนี้จบลงแล้ว พ่อจะจัดงานแต่งงานให้กับพวกเจ้า ถึงเวลานั้น ตระกูลซูของเราจะจัดงานเลี้ยงให้ใหญ่โต ให้คึกคักไปสามวันสามคืนกันไปเลย!”

“ดี!”

“ท่านผู้นำตระกูลจงเจริญ!”

ได้ยินคำพูดของซูหยา ในค่ายป้องกันของตระกูลซูก็มีเสียงโห่อย่างยินดีขึ้นมาอีกครั้ง จากเดิมที่เหนื่อยล้ากันมาทั้งคืน ต่างก็มีพลังฮึกสู้กันใหม่อีกครั้ง

“ดี!”

เห็นพลังฮึกเหิมในการต่อสู้ของตระกูลซูแล้ว ซูรุ่ยก็รีบเดินอย่างรวดเร็วไปยังจุดสูงสุดของกำแพงเมือง “พี่น้องตระกูลซูที่สู้ศึกมาทั้งคืน พวกท่านไม่ต้องเข้าร่วมการศึกแล้ว พี่น้องทุกคนยืนโห่ร้องเป็นกำลังให้ข้าอยู่ตรงนี้ก็พอ วันนี้นายน้อยใหญ่อย่างข้าจะใช้เลือดเนื้อของเหล่าสัตว์มารมาขอซูหว่านแต่งงาน หากไม่สามารถฆ่าล้างพวกมันให้หมดได้ ข้าซูจั้นก็จะไม่แต่งงาน!”

ในขณะที่พูดอยู่นั้น พลังวิญญาณในร่างของซูรุ่ยก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว พลังวิญญาณที่บ้าคลั่งนั้นทำให้ผู้คำที่อยู่โดยรอบอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง

แสงสีม่วงระเบิดพลังออกมา กระบี่อำมหิตปรากฏกายขึ้น!

ในชั่วขณะที่กระบี่อำมหิตถูกอัญเชิญออกมา มันก็พุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของซูรุ่ย

กลิ่นคาวของเลือด เป็นกลิ่นที่จื่อหมิงชอบมากที่สุด

ฆ่า ฆ่า ฆ่า! ฆ่า ฆ่า ฆ่า!

บนโลกนี้ไม่มีรสชาติอะไรจะหอมหวานเท่ากับกลิ่นสาบของเลือดสด และไม่มีสิ่งไหนที่จะทำให้มันรู้สึกตื่นเต้นได้มากเท่ากับการฆ่าฟันได้อีกแล้ว

กระบี่อำมหิตที่กระหายเลือดลอยไปมาอยู่ท่ามกลางสัตว์มารอย่างตื่นเต้นดีใจ ฆ่าฟันไม่หยุด เลือดสีแดงสดไหลเป็นสายน้ำ…

บนกำแพงเมือง ซูหยายังไม่ทันจะได้เดินจากไป เขายืนมองไปยังกลุ่มสัตว์มารที่ดุร้าย ท่ามกลางพวกมันมีเงาร่างในชุดสีขาวที่ดูโดดเดี่ยว ท่ามกลางฝูงสัตว์มารจำนวนมหาศาล ทำให้เขาดูตัวเล็กมาก แต่กลับทรงพลังเหลือเกิน

“นายน้อยใหญ่!”

“ไร้เทียมทาน!”

“นายน้อยใหญ่!”

“ไร้เทียมทาน!”

เสียงโห่ร้องของคนตระกูลซูลอยละล่องไปบนท้องฟ้าเหนือเมืองเหมยเท่อ และยังดังลอดลอยไปถึงกลางเมืองเหมยเท่ออย่างไม่ขาดสาย

วันนี้ ต่างจากการต่อสู้อย่างดุเดือดของเซียวเหยี่ยนเมื่อคืนอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าวันนี้ มีเพียงซูรุ่ยคนเดียวกับกระบี่หนึ่งเล่มเพียงเท่านั้น!

เขาจะใช้แรงกายของเขาเพียงคนเดียว ต่อสู้กับสัตว์มารทั้งหมดของฝั่งตะวันออก นี่มันคือความบ้าคลั่งระดับไหนกัน!

“นี่คือ…”

ในเวลานี้ เซียวเหยี่ยนและกลุ่มคนของเขาที่ต่อสู้กันมาทั้งคืนแล้วกำลังเตรียมตัวจะกลับไปพักในตัวเมือง ได้ยินเสียงโห่ร้องมาจากฝั่งตระกูลซู เซียวเหยี่ยนจึงอดที่จะเดินมาดูยังนอกประตูเมืองฝั่งตะวันออกไม่ได้

ในตอนนี้คนที่มาพร้อมกับเซียวเหยี่ยนต่างก็ยืนมองดูคนคนนั้นด้านนอกเมืองที่มีท่วงท่าการต่อสู้ที่งดงามแต่กลับเหี้ยมโหดอย่างตกตะลึง

“เซียวเหยี่ยน คนนั้นก็คือ…ซูจั้นหรือ”

คนที่จะเดินมาพร้อมกับเซียวเหยี่ยนได้ ต่างก็เป็นสหายสนิทในสำนักศึกษาของเขาทั้งนั้น พวกเขาเคยได้ยินเซียวเหยี่ยนพูดถึงซูจั้น รู้ว่าซูจั้นเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากของเมืองเหมยเท่อ แต่ว่าเมืองเล็กๆ เช่นนี้ จะมีบุคคลที่มีพรสวรรค์ขนาดไหนกันเชียว

ต้องยอมรับว่าคนในเมืองหลวงนั้นต่างก็หัวสูงมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก แต่ว่าตอนนี้มองดูวิธีการต่อสู้ของซูจั้นแล้ว การต่อสู้ที่บ้าคลั่งเช่นนี้ ก็อดที่จะทำให้พวกเขามีความรู้สึกหวาดผวาไม่ได้

“หึ”

ในเวลานี้ ในกลุ่มคนกลุ่มนี้มีเสียงหึของหญิงสาวดังขึ้นมา “เมื่อคืนนี้เขาไม่ได้มาร่วมรบ เช้านี้พลังของเขาก็ต้องมีอยู่อย่างล้นเหลือเป็นธรรมดา ข้าเดาว่าเขาสู้ได้ไม่เกินหนึ่งชั่วยามก็ต้องถอยกลับมาแล้ว จะแกล้งทำตัวเป็นวีรบุรุษอะไรกัน!”

“นั่นสิ นั่นสิ ศิษย์พี่อวิ๋นพูดถูกแล้ว”

ได้ยินคำพูดของหญิงสาวคนนั้นแล้ว คนที่อยู่รอบข้างก็อดที่จะคล้อยตามไม่ได้ พวกเขาต่างก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ของแต่ละตระกูล พวกเขาไม่ยอมเชื่อเด็ดขาดว่าในช่วงอายุเดียวกันนี้ จะมีคนที่มีพรสวรรค์สูงกว่าพวกเขาเป็นร้อยเท่าเช่นนี้อยู่ นี่มันไม่วิทยาศาสตร์เอาเสียเลย!

ซูจั้น “…”

ได้ยินคำพูของอวิ๋นหลิง เซียวเหยี่ยนไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เขาเพียงแค่ยืนมองไปทางซูจั้นอย่างนิ่งๆ เวลานี้เขาลืมไปแล้วว่าจะกลับไปพักผ่อน เขาจะรอดูด้วยตาของเขาเองว่าซูจั้นจะสามารถทำได้ถึงขนาดไหนกัน!