บทที่ 215 เลื่อนระดับติดต่อกัน (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 215 เลื่อนระดับติดต่อกัน (1)

ชุมนุมร้อยเส้นสายเป็นงานชุมนุมใหญ่เพื่อทำลายสิ่งเก่าและสร้างสิ่งใหม่

ลู่เซิ่งค้นพบอย่างรวดเร็วว่า เคล็ดวิชาประหลาดเหล่านั้นที่ผู้อาวุโสใหญ่ถ่ายทอดให้ตนคล้ายกันกับลักษณะพิเศษของเคล็ดวิชาพื้นฐานในสำนักมารกำเนิดจำนวนมากที่บันทึกไว้ในหอเก็บหนังสือ ถ้าไม่ใช่เขาอ่านมาเยอะ มีความจำดีและเพราะการพัฒนาร่างกาย คงจะมองไม่ออก

ผู้อาวุโสใหญ่ทางหนึ่งสอน ทางหนึ่งก็พาลู่เซิ่งไปทั่วสำนัก สถานที่ที่เป็นความลับส่วนหนึ่ง เขาก็พาลูกศิษย์ไปตรวจดูโดยไร้ความกังวล

เหอเซียงจื่อส่วนใหญ่อยู่ด้านข้าง แต่ไม่พูดอะไรสักคำ ความจริงนางรู้แล้วว่าอาจารย์ได้เลือกแล้ว ดังนั้นสิ่งที่นางทำได้เพียงหนึ่งเดียวคือจัดการเรื่องหยุมหยิมให้แก่อาจารย์และศิษย์น้องเงียบๆ

ทั้งสามคนอยู่ในบรรยากาศพิลึกพิลั่นเช่นนี้เป็นเวลาสองเดือนกว่าๆ

ในสองเดือนนี้ ลู่เซิ่งใช้บึงมารตลอด เดือนแรกเลื่อนวิชาไร้มูลเหตุจากระดับห้าสู่ระดับหก จากนั้นปลายเดือนที่สองก็เลื่อนวิชาไร้มูลเหตุจากระดับหกเข้าสู่ระดับเจ็ดอย่างเงียบเชียบ

มาถึงขั้นนี้ การใช้ปราณขวดสมบัติเริ่มตามไม่ทันบ้างแล้ว ตอนเลื่อนถึงระดับเจ็ด พริบตาเดียวก็ใช้ปราณขวดสมบัติไปราวเก้าส่วน

ลู่เซิ่งคาดว่าวิชาไร้มูลเหตุระดับแปดต่อจากนี้ต้องใช้ปราณขวดสมบัติมากกว่าเดิม ถ้าหากตนยังไม่ใช้ปราณหยินยกระดับ เกรงว่าจะอันตรายต่อบ่อกำเนิดของตนเอง หนำซ้ำความรุนแรงในการกระตุ้นของปราณมารก็ไม่เพียงพอแล้วเช่นกัน

ดังนั้นการพัฒนาของเขาจึงเริ่มช้าลง สมาธิเริ่มไปอยู่ที่การค้นหาถ้ำในสำนักมารกำเนิด

สถานที่บางแห่งมีผู้อาวุโสใหญ่พาเขาไป สถานที่บางแห่งเป็นเขาค้นหาตามลำพัง

ลมเย็นพัดกรู เย็นเยือกเสียดกระดูก

ระหว่างถ้ำบึงมารอันกว้างขวาง ลู่เซิ่งเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า สายตากวาดมองถ้ำบึงมารที่ขนาดแตกต่างกันสองฟากไม่หยุด

ในกระถางทองแดงด้านหน้าบึงมารเหล่านี้เสียบธูปต่ำกว่าหกดอก หมายความว่าความเข้มข้นอยู่ในระดับต่ำกว่าหกก้านธูป

แต่ว่านี่ไม่มีส่วนช่วยต่อเขา หลังจากลู่เซิ่งทราบการฝึกฝนของศิษย์พี่คนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ก็รู้ว่าตัวเองหลงทางไปขนาดไหน

ถึงแม้เขาจะฝึกฝนแค่ในถ้ำบึงมารที่มีปริมาณน้อย แต่เป็นเพราะความเข้มข้นของปราณมารที่เลือดเนื้อดูดซับเข้ามาเหนือกว่าบึงมารอื่นๆ ทำให้แม้แต่บึงมารระดับเบญจลักษณ์และฉลักษณ์ยังสู้ความเข้มข้นที่เขาเจอไม่ได้

ควรทราบว่าตอนนั้นเขาชักนำปราณมารของธารหมอกพิษบริเวณนี้มาทั้งหมด ทำให้ศิษย์พี่คนอื่นๆ ไม่มีปราณมารให้ใช้ ระดับนี้ไม่ใช่ระดับห้าหกก้านธูปธรรมดาจะเทียบเคียงได้แล้ว

‘ตามคำพูดของอาจารย์ ช่วงนี้บึงมารจากธารหมอกพิษน่าจะมีความเข้มข้นสูงสุดอยู่ที่เจ็ดก้านธูป ระดับเจ็ดก้านธูปก็คือถ้ำถ้ำนี้…’ ลู่เซิ่งเจอที่หมายของตนอย่างรวดเร็ว

ถ้ำบึงมารที่กระถางทองแดงปักธูปเจ็ดดอก

แค่ยืนอยู่ด้านนอก ลู่เซิ่งก็รู้สึกได้ว่ามีปราณมารเข้มข้นหลายสายลอยเอื่อยออกมาด้านนอก ความเข้มข้นนั้น เทียบกับความเข้มข้นของปราณมารที่เขาดูดซับไปทั้งตัวเมื่อก่อนหน้า…

‘ต่างกันลิบลับ…’ ลู่เซิ่งใบหน้าไร้อารมณ์ ถอนใจเฮือกหนึ่ง ‘ยังไม่ถึงครึ่งของปราณมารที่เราดูดซับในตอนนั้น แต่ลองดูก่อนก็ได้’

นี่เป็นสถานที่ที่ธารหมอกพิษในบริเวณนี้เข้มข้นที่สุดแล้ว ถ้ายังไม่ไหว อย่างนั้นก็จนปัญญาจริงๆ

เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ ความเข้มข้นแบบนั้นไม่อาจเติมเต็มความต้องการในการพัฒนาวิชาลับของเขาได้อีกแล้ว

การกระตุ้นปราณมารที่ใช้ในวิชาไร้มูลเหตุระดับเจ็ดต้องรุนแรงกว่าก่อนหน้ามาก ถ้าหากว่ายกระดับความเข้มข้นก่อนหน้าเป็นห้าหกเท่า อาจจะฝืนเติมเต็มความต้องการในเวลานี้ของลู่เซิ่งได้เล็กน้อย

มองดูปากถ้ำตรงหน้า ลู่เซิ่งสูดลมหายใจลึก สาวเท้าเดินอ้อมกระถางทองแดง ก้าวเข้าไปด้านใน

ฟู่ว…

ในถ้ำดำสนิทโชยกลิ่นเหม็นเน่า ซากกระดูกมากมายกระจัดกระจายบนพื้นดิน ไม่ทราบว่าสิ่งมีชีวิตชนิดไหนตายที่นี่ หนำซ้ำยังถูกหมอกพิษกัดกร่อนจนส่งกลิ่นเหม็นร้ายกาจ

กระนั้นลู่เซิ่งไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เขากางสองแขน ปล่อยให้กายเนื้อของตนดึงดูดปราณมารที่อยู่รอบๆ

ไม่ต้องใช้เคล็ดวิชาใดๆ ชักนำ เลือดเนื้อของเขาก็เป็นสิ่งดึงดูดที่ดีที่สุดแล้ว หมอกพิษปราณมารอันคละคลุ้งรวมตัวกันเข้ามา แล้วทะลักกลบกลืนร่างเขาอย่างบ้าคลั่งเหมือนกับปลิงเห็นเลือด

ซู่…

หมอกพิษอันมหาศาลกลายเป็นพายุ เป็นเพราะมีแรงชักนำสูงเกินไป จึงไหลเวียนด้วยความเร็วสูง กลายเป็นพายุหมอกพิษ

พวกมันกลายเป็นวังวนที่ขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากัน ในขณะที่ไหลซัดเข้าร่างลู่เซิ่งอย่างคลุ้มคลั่ง

‘อือ…’ ลู่เซิ่งที่ชินกับการเปลี่ยนแปลงแบบนี้อยู่แล้ว ตอนนี้กลับขมวดคิ้วมุ่น

‘ความเข้มข้นนี้แรงกว่าก่อนหน้านิดหน่อยเท่านั้น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นขีดจำกัดของธารหมอกพิษสายนี้แล้ว เราต้องไปลำธารอีกสาย บึงมารที่ยื่นออกมาจากตรงนั้นมีความเข้มข้นสูงกว่า ที่นี่ไม่เหมาะกับระดับความก้าวหน้าในวันนี้ของเราอีกแล้ว’

ลู่เซิ่งทราบอย่างชัดเจนว่า ตนมีเงื่อนไขในการกระตุ้นปราณมารมากกว่าศิษย์คนอื่นๆ

คนอื่นๆ อย่างคนที่วิชาไร้มูลเหตุอยู่ในระดับเก้าอันเป็นระดับสูงสุด เช่นเหอเซียงจื่อที่ใช้บึงมารแค่ระดับห้าหกก้านธูปเท่านั้น ทว่าเขาแตกต่าง กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ ดังนั้นการกระตุ้นที่จำเป็นจึงต้องรุนแรงตามไปด้วย

ยืนอยู่ในถ้ำสักพักหนึ่ง ลู่เซิ่งเริ่มหงุดหงิดบ้างแล้ว ความเข้มข้นของปราณมารระดับนี้ไม่มีผลต่อเขาในปัจจุบัน

เขาพลันยื่นมือออกมาโบกรอบหนึ่ง

ซู่ว

ปราณมารขนาดใหญ่ถูกพลังฝ่ามือพัดสลายไปในทันใด จากนั้นลู่เซิ่งก็หมุนตัวถอยออกจากถ้ำ

หลังจากออกจากถ้ำบึงมาร เขามองธูปในกระถางทองแดงเป็นครั้งสุดท้าย นึกออกว่าผู้อาวุโสใหญ่เคยพูดถึงสถานที่อื่นที่มีบึงมารอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ

‘ดูเหมือนได้แต่ต้องไปที่นั่นแล้ว…’

ลู่เซิ่งสงบจิตใจ ก่อนจะเดินไปในความมืดที่อยู่ลึกกว่าเดิมโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

บึงมารเป็นถ้ำเล็กๆ หลายแห่งที่อยู่บนฝั่งข้างธารหมอกพิษโดยธรรมชาติ ถ้ำเปล่าเหล่านี้เนื่องจากว่ามีหมอกจากธารหมอกพิษมากมายลอยออกมา บรรพบุรุษของสำนักมารกำเนิดจึงค้นพบ พวกเขาใช้หมอกพิษหายากเหล่านี้มาฝึกฝนวิชามาร

นี่คือที่มาของบึงมาร

ในเมื่อบึงมารเหล่านี้มีแค่ไอน้ำที่ระเหยจากธารน้ำหมอกพิษแผ่กระจาย อย่างนั้นธารน้ำหมอกพิษที่แท้จริงจะเข้มข้นและมีความเป็นพิษขนาดไหน

ลู่เซิ่งอยากรู้เรื่องนี้มาก

มีที่ที่หนึ่งในสำนักมารกำเนิดซึ่งสามารถสัมผัสธารน้ำหมอกพิษที่แท้จริงได้

เขาไม่หยุดชะงักระหว่างทาง พุ่งอย่างรวดเร็วไปตามทางคดเคี้ยวหลายสายเลียบกลุ่มถ้ำบึงมาร เป็นระยะห่างหลายลี้

ในที่สุดก็เห็นเห็นป่าเสาหินที่มืดทะมึน และแหลมคมสุดเปรียบปานบริเวณหนึ่ง

ป่าเสาหินอยู่ในถ้ำที่กว้างขวาง ปราณมารหมอกพิษเข้มข้นกระจายอยู่ด้านในเหมือนกับทะเลเมฆ ใต้ทะเลเมฆสีดำทะมึนเป็นเสียงน้ำกระเพื่อมเบาๆ

กลิ่นฉุนจมุกลอยเต็มอากาศ

ลู่เซิ่งไม่ได้ไปมองหน้าผาหิน แต่ใช้สายตาค้นหาบนหน้าผาหินสองฟากของถ้ำ ไม่นานก็เจอเป้าหมายของตัวเอง

ถ้ำแคบเล็กมากมายที่มีคนเจาะไว้

ด้านหน้าถ้ำเหล่านี้ไม่มีกระถางทองแดงเป็นสัญลักษณ์ ผู้อาวุโสใหญ่บอกไว้ว่าทั้งหมดเป็นถ้ำบึงมารที่เหล่าบูรพาจารย์ในสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในอดีตมาเจาะเอาไว้ตอนฝึกฝน

ด้านในสามารถสัมผัสธารน้ำหมอกพิษได้เล็กน้อย ถ้ำบึงมารแบบนี้มีแค่ผู้เข้มแข็งระดับสุดยอดในสำนักเมื่อครั้งกระโน้นจึงมีคุณสมบัติเข้าไปฝึกฝน

‘ที่นี่นี่เอง…ป่าศิลาฝังกระดูก’ ลู่เซิ่งหายใจเฮือกหนึ่ง รู้สึกปอดก็แสบร้อนอยู่บ้าง

ต่อให้เป็นในอากาศของที่นี่ ความเข้มข้นของปราณมารที่กระจายอยู่ก็สูงกว่าความเข้มข้นที่เขาดึงมาใช้ฝึกวิชาเมื่อก่อนหน้า

‘เป็นที่ที่ดีจริงๆ’ ลู่เซิ่งกวาดตามองซ้ายแลขวา อาศัยแสงสว่างน้อยๆ จากตะไคร่น้ำที่ส่องแสงสีเขียวอ่อนบนยอดถ้ำ จึงพอจะเห็นสภาพรอบๆ ได้เล็กน้อย

เขากระโจนตัว โคจรวิชาแสงมายาอย่างแผ่วเบา พริบตาเดียวก็ดีดตัวออกไปราวกระสุนปืนใหญ่

ตึง

เท้าขวาเขายืมแรงบนเสาหินต้นหนึ่ง จากนั้นกระโดดขึ้นอีก อาศัยแรงจากเสาหิน เลี้ยวพุ่งไปยังถ้ำถ้ำหนึ่งที่อยู่ลึกที่สุดบนผาหิน

ตุบ

ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงในถ้ำอย่างแผ่วเบา ถ้ำเล็กๆ นี้บรรจุคนได้สองสามคน ด้านในมืดสนิท บนพื้นเต็มไปด้วยกองกระดูกสีขาว ยังมีเศษเสื้อผ้าส่วนหนึ่ง

‘น่าจะเป็นบูรพาจารย์ของสำนักเหลือไว้’ ลู่เซิ่งคาดเดาในใจพร้อมสัมผัสความเข้มข้นของปราณมารในถ้ำ

เทียบกับก่อนหน้านี้เข้มข้นกว่าไม่ต่ำกว่าสองสามเท่า ไม่เพียงเติมเต็มความต้องการในปัจจุบันของเขาเท่านั้น ถึงขั้นที่แม้แต่ระดับชั้นในภายหลังก็คาดว่าไม่มีปัญหา

‘ที่นี่แหละ ทำเลทองของแท้!’ ลู่เซิ่งหาที่ที่สะอาดเล็กน้อยนั่งลงขัดสมาธิ เตรียมปลดการป้องกันของวิชาไร้มูลเหตุ เพื่อให้ร่างกายรับการกระตุ้นอย่างเต็มที่

ตอนที่เขานั่งลง ก้นของเขาก็โดนใส่ของแข็ง รีบยื่นมือไปหยิบขึ้นมาดู

อาศัยแสงเรืองๆ จากตะไคร่น้ำ ลู่เซิ่งพอจะมองออกว่าเป็นแหวนวงหนึ่ง แหวนเหล็กสีดำที่ธรรมดาไม่มีความพิเศษ

ด้านบนไม่มีลวดลาย และไม่มีเครื่องประดับ ดูเหมือนของกึ่งสำเร็จรูปที่ใช้แผ่นโลหะเล็กๆ ทำขึ้นอย่างหยาบๆ

แต่ว่าพริบตาที่หยิบแหวน ลู่เซิ่งกลับมีสีหน้างุนงง

‘สิ่งนี้คือ…?’ เขาลุกขึ้นอีกครั้ง ก้มมองด้านล่างอย่างละเอียด

เห็นเป็นแขนของซากศพที่แห้งเหี่ยว แทบถูกลมพัดกระจาย วางขวางอยู่บนพื้น แหวนวงนั้นหล่นออกมาจากนิ้วชี้ที่ขาดไปของแขนข้างนี้

แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ลู่เซิ่งตื่นเต้น

สิ่งที่เขาประหลาดใจก็คือ บนแหวนวงนี้มีปราณหยินอยู่!

‘ถึงจะไม่มากแต่ก็เป็นปราณหยินจริงๆ!’ ลู่เซิ่งค่อยๆ ยกแหวนวงนั้นขึ้นพิจารณา

เห็นได้ชัดว่าตอนที่เจ้าของแหวนยังมีชีวิตอยู่ ได้ดูแลมันอย่างดี ผิวไม่เพียงไม่มีริ้วรอย ถึงขั้นที่สามารถทนทานการกัดกร่อนอันรุนแรงโดยไม่สลายได้ในหมอกพิษ แสดงให้เห็นว่าได้เพิ่มเติมบางอย่างเข้าไป

ลู่เซิ่งตรวจสอบหลายครั้ง ยืนยันว่านี่เป็นเหล็กดำธรรมดา ส่วนที่ว่าทำไมผ่านมานานแล้วถึงไม่ขึ้นสนิม เพิ่มเติมอะไรเข้าไป เขาไม่รู้แล้ว

‘ในเมื่อสิ่งนี้มีปราณหยิน จะต้องหาจากของอย่างอื่นได้เหมือนกัน’ ลู่เซิ่งนึกเอะใจ ลุกขึ้นยืน แล้วเริ่มค้นหาในถ้ำเล็กๆ แห่งนี้

เป็นเพราะการรบกวนจากหมอกพิษปราณมาร พลังการรับรู้ของเขาจึงลดลงมาก จำเป็นต้องอยู่ใกล้มากๆ จึงจะสัมผัสการดำรงอยู่ของวัตถุที่มีปราณหยินได้ แหวนวงก่อนหน้าเป็นเช่นนี้

ดังนั้นลู่เซิ่งจึงนั่งยองๆ ลง ยื่นมือไปลูบบนพื้น

ลูบอยู่พักหนึ่ง ก็เจอสิ่งของที่แฝงปราณหยินชิ้นหนึ่งเข้าจริงๆ

นั่นเป็นคันฉ่องสำริดครึ่งบาน

ถ้าหากบอกว่าในแหวนวงก่อนหน้ามีปราณหยินอย่างน้อยสิบหน่วย อย่างนั้นปริมาณปราณหยินในคันฉ่องสำริดบานนี้ก็มีเยอะมาก อย่างน้อยก็มีหลายสิบหน่วย

‘นี่มันลาภลอยชัดๆ!’ ลู่เซิ่งดีใจ ‘สัปหงกอยู่ดีๆ ก็มีคนส่งหมอนให้ กำลังหนักใจที่ตอนนี้ยกระดับวิชาไร้มูลเหตุต่อไปไม่ได้อยู่พอดี อย่างน้อยก็มีปราณหยินมาหาแล้ว’

ความจริงวันนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่า ปราณหยินเกิดขึ้นได้อย่างไรกันแน่

แบบแผนการเกิดของมันหลังจากมีสถิติมากกว่าเดิม ลู่เซิ่งก็เริ่มรู้ว่า การรวมตัวและการกำเนิดของปราณหยินต้องมีเงื่อนไขสองอย่าง

อย่างแรก ของที่มีปราณหยินต้องได้รับความลุ่มหลงงมงายจากเจ้าของตอนมีชีวิตอยู่ จะต้องเป็นของรักของหวง

อย่างที่สอง ก่อนที่เจ้าของจะตาย ได้รวมความรู้สึกทั้งมวล ฝังฝากไว้บนสิ่งของ

หลังเติมเต็มเงื่อนไขสองข้อนี้ จะก่อให้เกิดวัตถุมีปราณหยินได้อย่างง่ายดายเหลือแสน

นอกจากนี้ ปราณหยินบนสิ่งของมีมากขนาดไหน ขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแกร่งอ่อนแอของเจ้าของ และระยะเวลาสั้นยาวที่ฝากความรู้สึกไว้

‘หมายความว่าของสองอย่างนี้เป็นของที่เหล่าบูรพาจารย์ในนี้รักถนอมที่สุดตอนมีชีวิตอยู่’ ลู่เซิ่งคาดเดาในใจ

เนื่องจากวิชาไร้มูลเหตุเลื่อนถึงระดับเจ็ดแล้ว เขาในตอนนี้จึงมีการต้านทานหมอกพิษที่อยู่รอบๆ ได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงสามารถควบคุมไม่ชักนำหมอกพิษมาได้ เลยนั่งในถ้ำได้อย่างสงบสุข

……………………………………….