บทที่ 207: ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ (1)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 207: ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ (1)

ฉินเย่ขมวดคิ้ว เขาไม่คิดเลยว่าการร่างวิจัยเพื่อตีพิมพ์จะยุ่งยากขนาดนี้

แต่…เขาก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้

นี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้เขาสามารถเข้าร่วมการประมูลใหญ่ในปลายเดือนมิถุนายนได้ ไม่เช่นนั้น…เขาก็ต้องยอมแพ้เรื่องการแย่งเศษเสี้ยววิญญาณโอดะโนบูนางะ และการเปิดเส้นทางการค้าทองคำสำหรับไม้ฮวงหัวลี่ของเขาก็คงต้องถูกผลักออกไปอีกหลายเดือน แต่ใครจะรู้ละว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการก่อจลาจลของเหล่าวิญญาณในระยะเวลานี้อีกหรือเปล่า?

“ผมอยากจะลองดูครับ” ฉินเย่สบตากับเถาหรานอย่างหมายมั่นและพยักหน้ายืนยัน

“โอเค” เถาหรานไม่พูดอะไรอีกต่อไป มันไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะต้องคัดค้านฉินเย่ในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะในฐานะศาสตราจารย์หรือตัวแทนของทางสถาบัน เขาเปิดลิ้นชักอีกครั้ง หยิบแบบฟอร์มออกมาและเริ่มกรอกรายละเอียดลงไป “คุณตั้งใจจะตีพิมพ์วิจัยที่ไหน?”

มันมีคำมากมายในแบบฟอร์มตรงหน้า แต่ฉินเย่ก็ไม่ได้อ่านมันอย่างละเอียดและเอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ครับ”

“ใจกล้าดี” เถาหรานถอนหายใจออกมา “ความโดดเด่นของมันนั้นเทียบได้กับการได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ People’s Daily เว้นแต่ว่านี่คือหนังสือพิมพ์ของโลกแห่งการบ่มเพาะ สามหัวข้อแรกถูกสงวนไว้เพื่อเหตุการณ์สำคัญในโลกแห่งการบ่มเพาะ ในขณะที่หน้าสุดท้ายคือหน้าของหัวข้อวิจัยล่าสุดในโลกวิชาการของการบ่มเพาะจะถูกตีพิมพ์ งานวิจัยทั้งหมดจะถูกพิจารณาอย่างละเอียดก่อนจะถูกคัดเลือก…คุณได้พิจารณาถึงจำนวนบทความวิจัยที่ถูกส่งให้กับทางสำนักพิมพ์ของผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ในแต่ละวันบ้างหรือเปล่า? แต่…ถ้างานวิจัยของคุณสามารถตีพิมพ์ลงในผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ได้ คุณก็สามารถมั่นใจได้เลยว่าจดหมายเชิญมากมายจะถูกส่งมาหาคุณจากทั่วทุกมุมของประเทศ และคำเชิญพวกนี้ก็อยู่ในระดับด้านการวิจัยของสถาบันเป็นอย่างต่ำ ไม่ว่าจะเป็น โปรเจ็กต์ 211[1] หรือ โปรเจ็กต์ 985[2]”

เถาหรานยังคงกรอกข้อมูลลงแบบฟอร์มต่อไป ในขณะที่ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “จากทั่วทุกที่เลยเหรอครับ?”

เถาหรานเอ่ยตอบโดยที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง “แน่นอน คุณคิดว่าศูนย์วิจัย SRC เป็นสถาบันวิจับเพียงแห่งเดียวของจีนหรืออย่างไร? ผิดแล้ว มันอาจจะเป็นสถาบันวิจัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่มันยังมีที่อื่นอีก ไม่ว่าจะเป็นศูนย์วิจัยแรกเริ่มในเฉิงตู ศูนย์วิจัยและพัฒนาโจวเฉิงในลั่วเหอ ฐานการวิจัยและทดลองทางดาราศาสตร์ในจูโจว และยังอาคาร 653 ในตงไห่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีเครื่องมือครบครันอย่างศูนย์วิจัย SRC แต่พวกเขาก็ยังเป็นสถาบันวิจัยที่โดดเด่นอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ และนั่นยังไม่รวมสถาบันวิจัยระดับสองนะ เมืองหลวงของมณฑลใหญ่ ๆ ต่างก็ก่อตั้งศูนย์วิจัยของตนเองในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะอย่างไรแล้วมันการมีฐานปฏิบัติการเป็นของตัวเองก็ย่อมดีกว่าการเดินทางไปที่สำนักงานใหญ่ที่ห่างไกลอยู่แล้ว”

ฉินเย่พยักหน้า ทันใดนั้นเถาหรานก็วางปากกาลงและเป่าลมไปที่กระดาษเพื่อทำให้หมึกแห้ง จากนั้นเขาก็หยิบตราประทับออกมาและประทับตรารับรองลงไปบนแบบฟอร์ม “นี่เป็นแบบฟอร์มการสมัครสำหรับหัวข้อวิจัยของคุณ ไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าโจวเพื่อขอการรับรองจากเขา เมื่อใบสมัครของคุณได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการแล้ว คุณก็สามารถเริ่มทำวิจัยได้เลย จากนั้นเมื่อคุณเขียนแบบร่างแรกเสร็จเมื่อไหร่ก็เอามันมาให้ผมตรวจดูอีกที ทีนี้คุณก็ไปได้แล้ว”

ฉินเย่หยิบแบบฟอร์มขึ้นมาและเดินออกจากห้อง ทันทีที่ประตูปิดลง เด็กหนุ่มก็เอนหลังพิงกำแพงและอ่านรายละเอียดทั้งหมด

เนื้อหาเฉพาะส่วนใหญ่ถูกปล่อยว่างไว้ ส่วนที่เถาหรานกรอกนั้นคือสิทธิ์และคำอนุญาตที่ฉินเย่จะได้รับเมื่อใบสมัครวิจัยของเขาได้รับการอนุมัติ

ยกตัวอย่างเช่น…เขาจะสามารถเข้าถึงเอกสารลับสุดยอดของทางสำนัก

เขายังจำมันได้เป็นอย่างดี ประตูบานใหญ่ที่สูงประมาณสามเมตรและกว้างสองเมตร มันถูกแกะสลักเป็นรูปของนฺหวี่วา [3] ตอนนั้นผู้อำนวยการทั้งสองเป็นผู้แนะนำมันในระหว่างการพาเที่ยวชมเบื้องต้น

แต่ถ้ามันมีแค่นั้น มันก็คงไม่สามารถติดตรึงอยู่ในใจของเขาได้นานขนาดนี้

สิ่งที่ทำให้เขาจำมันได้เป็นอย่างดีก็เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าชายสูงวัยที่ทำท่าทางราวกับนายประตูของเอกสารลับสุดยอดพวกนี้…อยู่ขั้นยมทูตขาวดำ!

ในตอนนั้น สวี่อันกั๋วพูดไว้ว่า “ด้านหลังของประตูบานนี้คือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติใหญ่ ๆ ทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นบนแผ่นดินจีนตั้งแต่อดีต เอกสารพวกนี้ไม่เคยถูกเปิดเผยสู่สาธารณะมาก่อน ยิ่งกว่านั้น มันยังบันทึกการทำงานอันยิ่งใหญ่ของอดีตผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ทั้ง 320​ คนจากยุคสมัยต่าง ๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งสมมติฐานหรืองานวิจัย เกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างหยินและหยางล้วนถูกเก็บอยู่ในนี้ทั้งสิ้น พวกเขาสามารถเห็นการพัฒนาของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติในแผ่นดินจีนได้ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ผ่านเอกสารเหล่านี้”

“แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงสำเนาเท่านั้น และฉบับจริงก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้แต่ทางศูนย์วิจัย SRC ก็มีข้อมูลพวกนี้ทั้งหมด นี่คือสิทธิพิเศษที่มอบให้กับสำนักฝึกตนแห่งแรกเท่านั้น ในตอนนี้ มีเพียงเหล่าศาสตราจารย์เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงเอกสารและเนื้อหาทั้งหมดนี้ได้ แต่ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ขอยืมมันได้”

แต่เถาหรานกลับมอบสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลพวกนี้ให้เขา!

นอกจากนี้ เขายังได้รับสิทธิ์ในการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ อย่างเช่นห้องปฏิบัติการ และเขาก็ได้รับสิทธิ์ในการมีอาจารย์ผู้สอนคนอื่นเป็นผู้ช่วยอีกด้วย

เด็กหนุ่มอ่านแบบฟอร์มต่อไปทีละบรรทัด และเขาก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น

มันเพียงพอแล้ว…วิธีที่กู่ชิงแนะนำมานั้นได้ผล! มันไม่ควรจะมีการยกเว้นใด ๆ สำหรับกฎข้อบังคับที่ว่าทุกคนห้ามออกไปนอกวิทยาเขตจนกว่าภาคการศึกษาถัดไปจะเริ่มขึ้น แต่ฉินเย่ก็สามารถหาวิธีก้าวข้ามเรื่องนี้ไปได้!

ตราบใดที่เขาสามารถเปิดประตูที่เรียกว่าวิทยานิพนธ์ได้ เขาก็จะสามารถออกไปข้างนอกได้!

“แต่เรามีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” ฉินเย่คลึงขมับของตนเพื่อสงบสติอารมณ์และพึมพำกับตัวเอง “หากเราพลาด เราก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากทางสถาบันอีกในอนาคต”

แล้วเราจะรออะไรกันอยู่ล่ะ?

ฉินเย่ถือใบสมัครไปที่ห้องทำงานของโจวเซียนหลงทันที และอีกฝ่ายก็อนุมัติมันทันทีที่อ่านเนื้อหาทั้งหมดจนจบในคราวเดียว จากนั้นฉินเย่ก็รีบกลับไปที่ห้องและวางเอกสารลงตรงหน้าของอาร์ทิสก่อนจะเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ถึงเวลาเริ่มงานแล้วคุณผู้หญิง!”

“เจ้าสามารถทำมันได้จริง ๆ น่ะหรือ?” อาร์ทิสไล่อ่านเอกสารทั้งหมดและมองฉินเย่ด้วยสายตาเหลือเชื่อ “…ท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ กับใบหน้าเจ้าเล่ห์นั่นของเจ้า จะสามารถทำมันให้สำเร็จได้อย่างไรกัน?”

“แน่นอนว่าเป็นเพราะความเชื่อใจที่ข้าได้สร้างเอาไว้อย่างไรล่ะ!” ฉินเย่กำลังอารมณ์ดี ดังนั้นเขาจึงเมินเฉยต่อคำดูถูกของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มเปิดโปรแกรมพิมพ์งานบนหน้าแล็ปท็อปของตัวเอง ยกมือของอาร์ทิสขึ้นมาวางที่แป้นพิมพ์อย่างแผ่วเบาและมองหน้าอีกฝ่ายอย่างคาดหวัง

มันเป็นภาพที่ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก

อาร์ทิสจ้องแล็ปท็อปนิ่ง ๆ ก่อนจะเริ่มพิมพ์โดยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา “ด้วยคำสั่งจากตุลาการนรกผู้ยิ่งใหญ่….”

พรึ่บ! ฉินเย่กดปุ่มลบทันทีโดยไม่ลังเลราวกับนักฆ่าที่โหดเหี้ยม “เขียนใหม่!”

“เดี๋ยวก่อนนะ…” สีหน้าของอาร์ทิสเริ่มแสดงร่องรอยของความอาฆาต “นี่เจ้า…กำลังบอกให้ข้าทำอย่างนั้นหรือ?”

ฉินเย่มองอีกฝ่ายอย่างงงงัน มันจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ?

“นี่เจ้ากำลังขอให้ข้าที่ถูกฝังไปตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนทำวิทยานิพยธ์ของปีค.ศ. 20XX จริง ๆ น่ะหรือ?”

ฉินเย่ยังคงกะพริบตาปริบ ๆ ให้อาร์ทิส ราวกับกำลังบอกว่า แล้วมันแปลกตรงไหน?

เสี้ยววินาทีหลังจากนั้น นางก็เตะอีกฝ่ายอย่างแรงจนเขาล้มลงไปที่เตียงอีกครั้ง ผมของนางพลิ้วไหวไปรอบ ๆ อย่างน่ากลัว “แล้วเจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำเช่นนี้ ทำราวกับว่าข้าติดหนี้เจ้าและต้องเขียนมันให้เจ้า?!”

“เบา ๆ…เบา ๆ หน่อย…หลังข้าคงได้หักกันพอดี…” ฉินเย่เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่บูดบึ้งขณะที่จับบริเวณหลังตัวเอง อาร์ทิสเหยียบลงมาอย่างรุนแรงจนอาหารเช้าที่เขาทานเข้าไปแทบจะพุ่งออกมา หลังจากพยายามตะเกียงตะกายอยู่นาน ในที่สุดเขาก็สามารถหลุดรอดจากเงื้อมมืออันชั่วร้ายของนางได้ เด็กหนุ่มลูบหลังของตัวเองอย่างน่าสงสารพร้อมกับกัดฟันกรอด

“ข้าขอเตือนท่านไว้เลยนะ! ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันแทบจะพังลงตั้งแต่เหตุการณ์ชุดชั้นใน อันเอ๋อเล่อ(แบรนด์ผ้าอนามัย) และถุงน่องนั่นแล้ว! และนี่ก็เป็นโอกาสเดียวที่ข้าจะมอบให้กับท่านเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ท่านทำลงไป! ทำมันเดี๋ยวนี้! อย่าคิดเนรคุณ!”

“เช่นนั้นก็ปล่อยให้มันพังไปเลย!” อาร์ทิสไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง “ไสหัวไปซะ อย่ามารบกวนข้า ในขณะที่ข้ากำลังดูละคร ไม่เช่นนั้นข้าอาจจะเอาตัวเองไปแขวนตากอยู่ที่หน้าห้องของเจ้า!”

บ้าไปแล้ว…นี่ท่านคิดอะไรแบบนี้ได้อย่างไรกัน?!

ฉินเย่มีคำพูดมากมายที่อยากจะพูด แต่เขาก็พบว่าทุกอย่างมันจุกรวมกันอยู่ที่ลำคอของตัวเอง เด็กหนุ่มมองอาร์ทิสอย่างหวาดกลัว ผู้หญิงคนนี้…รู้จักใช้ประโยชน์จากร่างที่นางได้มา…

ด้วยความคับข้องใจมากมายที่สุมอยู่ในอก เขาเดินออกจากห้องและตรงไปที่ชั้นบนสุดของห้องสมุดซึ่งเป็นที่เก็บเอกสารลับทั้งหมดเอาไว้

นี่คือครั้งที่สองที่เขามายังสถานที่แห่งนี้ เขาได้รับการต้อนรับโดยประตูบานใหญ่ที่สูงสามเมตรและกว้างสองเมตร มันถูกแกะสลักเป็นภาพที่งดงามของนฺหวี่วา ชายสูงวัยหัวโล้นคนหนึ่งนั่งอยู่ที่หน้าประตู กำลังพิมพ์คอมพิวเตอร์ของตนอย่างเฉื่อยชา แต่ทันทีที่เขาขึ้นไปถึงชั้นบนสุด แววตาของฉินเย่ก็วูบไหวเล็กน้อย

ผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำระดับสูง…เด็กหนุ่มเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเงียบ ๆ แม้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขามาที่นี่ เขาจะรู้สึกได้ถึงรัศมีความยิ่งใหญ่จากชายหัวโล้นแต่ฉินเย่ก็ไม่คิดอะไรมากนักในตอนนั้น เพราะอย่างไรแล้วช่องว่างระหว่างพวกเขามันก็กว้างเกินไป และมันเป็นหลังจากที่เขาได้เลื่อนขั้นเป็นขึ้นยมทูตขาวดำแล้วเท่านั้นเขาถึงตระหนักได้ว่าชายสูงวัยตรงหน้านี้น่ากลัวเพียงใด

พลังปราณหลั่งไหลออกมาจากร่างของชายสูงวัยราวกับสายน้ำ เขาเบื่อหน่ายจนหาความบันเทิงให้ตัวเองโดยการหล่อหลอมพลังปราณของตนเป็นรูปร่างสัตว์ต่าง ๆ ตั้งแต่ม้า กิเลน ไปจนถึงนกกระจาบ…ทุกอย่างลอยไปมาตามโถงทางเดิน ไม่สามารถมองเห็นได้ในหมู่ผู้ฝึกตนที่อยู่ระดับต่ำกว่าขั้นยมทูตขาวดำลงไป

มันเป็นหลักฐานได้อย่างดีเยี่ยมว่า ความสามารถในการควบคุมพลังของชายผู้นี้ไปถึงจุดสูงสุดแล้ว หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือชายแก่คนนี้อยู่ห่างจากการเลื่อนเป็นขั้นตุลาการนรกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น!

“หมายเลขลงทะเบียน ชื่อ จุดประสงค์” ชายสูงวัยเอ่ยถามโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์

“รหัส S9527 ฉินเย่ ค้นคว้าครับ” ฉินเย่เองก็ไม่พูดอะไรให้มากความ คำตอบของเขาชัดเจนและกระชับ

ติ๊ด…คอมพิวเตอร์ของชายสูงวัยส่งเสียงเบา ๆ ทันทีที่ฉินเย่เอ่ยข้อมูลของตนออกไป อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองฉินเย่เล็กน้อย จากนั้นการ์ดที่เป็นแม่เหล็กแผ่นหนึ่งก็ลอยมาอยู่ในมือของเด็กหนุ่ม

“ไปที่ประตูและบันทึกลายนิ้วมือและม่านตา จงจำเอาไว้ให้ดี หนึ่ง ทุกสิ่งที่คุณได้รับรู้จากเอกสารในห้องนี้ถือเป็นความลับสุดยอดและห้ามเผยแพร่ให้ผู้อื่นทราบ สอง เอกสารและหนังสือทั้งหมดในนี้ไม่สามารถนำออกไปได้ หาอ่านสิ่งที่คุณต้องการจะรู้เท่านั้น แต่ห้ามนำมันออกมาเด็ดขาด สาม พวกเราไม่จำกัดเวลาว่าคุณจะอยู่ในนั้นนานเท่าไร แต่คุณจะสามารถเข้าถึงเนื้อหาพวกนี้ได้ตราบใดที่สิทธิ์การเข้าถึงของคุณยังคงเหลืออยู่” ชายสูงวัยอธิบาย

“สิทธิ์ในการเข้าห้องนี้ของคุณมีอายุถึงอีกสี่เดือนข้างหน้า หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ คุณสามารถใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้ตลอด 24 ชั่วโมงไปได้อีกสี่เดือน ทีนี้…ไปทำสิ่งที่คุณต้องทำได้แล้ว”

ฉินเย่พยักหน้าและเดินไปที่ประตู เมื่อเดินไปถึงเขาก็พบว่ามีตัวล็อกที่สแกนลายนิ้วมืออยู่เหนือขึ้นมาจากพื้นประมาณหนึ่งเมตร

หลังจากที่บันทึกลายนิ้วมือและม่านตาของตัวเองแล้ว เสียงอู้อี้บางอย่างก็ดังมาจากทางเข้าและบานประตูขนาดใหญ่ก็ถูกเปิดออก ฉินเย่แปลกประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อเขาพบว่าทุกอย่างภายในห้องนั้นสว่างไปหมด

ชั้นหนังสือมากมายตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ แต่ขนาดของมันไม่ได้ใหญ่มากนัก เพราะอย่างไรแล้ว ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์จำนวน 320​ คนจะสามารถบันทึกข้อมูลได้มากเพียงใดกัน? นอกจากนี้มันยังมีตู้เหล็กอีกสิบกว่าตู้ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องทางด้านขวาของประตูทางเข้า

โซฟาที่ทำจากไม้มะฮอกกานีถูกวางเรียงติดผนัง พร้อมกับโต๊ะกาแฟขนาดพอเหมาะวางอยู่ตรงหน้า มีใครบางคนนั่งอยู่หน้าโต๊ะกาแฟอยู่ก่อนแล้ว ประตูทางเข้าถูกเปิดกว้างและคนที่อยู่ด้านในก็เงยหน้าขึ้นมาและสบตากับเขาอย่างพอดิบพอดี

เงียบ

มันเป็นความเงียบที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและน่าอึดอัด มันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าการเจอกันของแต่ละฝ่าย ทำให้พวกเขานึกถึงภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดก่อนหน้านี้ ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็ฝืนแย้มยิ้มกว้างและทักทายอีกฝ่าย “ศาสตราจารย์โหลว…คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ?”

ให้ตายเถอะ…นี่มันน่าอึดอัดสุด ๆ ไปเลย…

“ผมมาหาข้อมูลเพิ่มเติม” โหลวชวนยกหนังสือในมือให้อีกฝ่ายดูขณะยิ้มตอบ “อัน…อะแฮ่ม…เอ่อ ผมหมายถึงอาจารย์ฉิน คุณได้รับอนุญาตให้เข้ามาในนี้ได้ยังไง?”

สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที และใบหน้าของเขาก็บึ้งตึง อันอะไร?! พูดออกมาให้หมดสิ! คุณกำลังจะพูดว่าอันเอ๋อเล่อใช่ไหม?! ให้ตายเถอะ…ตาแก่พวกนี้จะต้องไปตั้งชื่อเล่นให้เขาลับหลังแน่ ๆ! สาบานได้เลยว่าหนึ่งในเราสองคนจะไม่ได้เดินออกไปจากห้องนี้โดยที่ยังมีชีวิตหากคุณเอ่ยคำนั้นออกมา!

เขาหลับตาลงและสูดหายใจเข้าลึก ๆ อยู่หลายครั้ง จากนั้นเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งมันก็มีรอยยิ้มกว้างประดับอยู่บนใบหน้าเยาว์วัย “หัวข้อวิจัยของผมเพิ่งได้รับการอนุมัติครับ ผมเลยมาเดินดูรอบ ๆ เพื่อเตรียมการ”

“หัวข้อวิจัย?” โหลวชวนชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด เขามองฉินเย่ก่อนจะพยักหน้า “ไม่เลว ในเมื่อที่นี่เป็นสถาบันการศึกษา มันก็เป็นธรรมดาที่จะให้ความสำคัญกับการแสวงหาความรู้ คุณเป็นคนแรกในสำนักเลยนะที่เริ่มศึกษาหัวข้อวิจัย แต่คุณคงไม่เคยมาที่นี่มาก่อนใช่ไหม? มาสิ เสี่ยวอัน เดี๋ยวผมจะแนะนำส่วนต่างๆให้คุณคร่าว ๆ”

อ๊ากกกก… เมื่อครู่คุณเรียกผมว่าอะไรนะ?!!

ฉินเย่แทบจะไม่สามารถต้านทานแรงกระตุ้นที่จะทุบอีกฝ่ายจนตายได้ เขากัดฟันกรอดและเตินตามโหลวชวนไปอย่างเงียบ ๆ แต่เห็นได้ชัดว่าชายสูงวัยไม่ได้สนใจถึงการหลุดปากของตัวเองเมื่อครู่เลยสักนิด

เขาชี้ไปที่ตู้เหล็กและอธิบายว่า “ตู้พวกนี้จะเก็บเอกสารเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติตั้งแต่ระดับ A ขึ้นไปที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อตั้งแผ่นดินจีนขึ้นมา”

“พวกที่ปรากฏในข่าวและถูกปกปิดล้วนเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง แต่ผลกระทบที่กว้างขว้างก็ไม่ได้จำเป็นต้องหมายความว่าพวกมันจะถูกจัดให้อยู่ในระดับสูงแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ที่ถูกพบเห็นโดยผู้คนนับพันอาจไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายมากนัก แต่ถึงอย่างนั้น…ข้อมูลที่อยู่ในนี้แตกต่างจากทั้งหมดนั้นอย่างสิ้นเชิง”

เขาเปิดตู้และไล่นิ้วไปตามแฟ้มแต่ละแฟ้ม “เหตุการณ์เหนือธรรมชาติบางเหตุการณ์อาจจะมีขอบเขตที่เล็ก แต่กลับมีผลกระทบที่ฝังรากลึก ซึ่งเหตุการณ์ที่เป็นอันตรายอย่างสูงหรือส่งผลกระทบที่ร้ายแรงที่ว่านี้ทั้งหมดจะถูกบันทึกอยู่ในเอกสารพวกนี้”

ในที่สุดเขาก็ดึงแฟ้มคดีออกมาแฟ้มหนึ่ง “นี่เรียกว่าไฟล์ไสยเวท หรือที่รู้จักกันในชื่อของเอกสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ลี้ลับ หน่วยสอบสวนพิเศษจะตรวจสอบรายงานทุกอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ และในทุกปลายปี พวกเขาก็จะรวบรวมรายงานเกี่ยวกับคดีที่ไม่สามารถแก้ไขได้และนำมันมาไว้ที่นี่ หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ เอกสารทั้งหมดที่คุณเห็นตรงหน้านี้ทั้งหมดล้วนเป็นคดีที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งสิ้น อันที่จริง ทุกวันนี้มันยังมีเงินรางวัลสำหรับผู้ที่สามารถไขคดีพวกนี้ได้อยู่เลยด้วยซ้ำ และคะแนนความดีที่ได้รับจากพวกมันก็มากมายจนเกินจะเอ่ยเลยล่ะ”

ฉินเย่ไล่สายตาไปตามมือของโหลวชวน ตงไห่ จูเจียง เสฉวน หมินเฟิง…แฟ้มคดีจากทุกที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด อันที่จริง มันยังมีตัวอักษรอยู่ด้านหลังของชื่อตำแหน่งพวกนี้อีกด้วย

ตัวอักษรพวกนี้แสดงถึงระดับความรุนแรงของคดีทั้งหมด มีไม่กี่คดีเท่านั้นที่อยู่ระดับ ‘A’ ในขณะที่คดีส่วนใหญ่นั้นอยู่ระดับ… ‘S’!

มันไม่ได้มีการบันทึกอย่างละเอียดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในระหว่างเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้ แต่ผลกระทบที่ตามมานั้นมากเกินจะจินตนาการได้ และสาเหตุของมันก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ เหตุการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้ได้คร่าชีวิตของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน และตอนนี้ พวกมันก็ถูกวางซ้อนกันอยู่อย่างเงียบ ๆ ราวกับเป็นหลุมศพที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบในสุสาน หมอบกราบกรานอยู่เบื้องหน้าของว่าที่จ้าวนรกองค์ต่อไป

[1] คือโครงการที่ถูกก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1995 ด้วยความต้องการที่จะยกระดับมาตรฐานการทำวิจัย ในความเป็นจริงแล้ว 211 นั้นเป็นตัวย่อของสโลแกนที่ว่า ‘เตรียมพร้อมสำหรับศตวรรษที่ 21 ด้วยการสร้าง 100 มหาวิทยาลัยให้ดีจนประสบความสำเร็จ’ จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกโดย Times Higher Education 2019/20 มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมในโปรเจ็กต์ 211 ปัจจุบันได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 1000 มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก

[2] นี่เป็นอีกโปรเจ็กต์หนึ่งที่ประเทศจีนก่อตั้งขึ้นมาในช่วงเดือนพฤษภาคมในปีค.ศ. 1985 (98/5) จึงใช้ชื่อย่อว่า 985 โปรเจ็กต์นี้ถูกพัฒนาขึ้นต่อเนื่องมาจากนโยบายเพื่อส่งเสริมและพัฒนาชื่อเสียงของระบบการศึกษาของจีน เพื่อสร้างศูนย์วิจัยใหม่ และปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก จัดงานประชุมระดับนานาชาติและดึงดูดนักวิชาการ ตลอดจนส่งพวกเขาไปต่างประเทศ จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกโดย Times Higher Education 2019/20 มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมในโปรเจ็กต์ 985 ปัจจุบันได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 500 มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก

[3] เทพีผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่งตามเทพนิยายจีน