ตอนที่ 243 ทัศนคติของแม่สามี

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 243 ทัศนคติของแม่สามี

วันเสาร์นี้เองหลี่จื้อก็ได้ถามจี้อวิ๋นอวิ๋นว่าพรุ่งนี้จะกลับบ้านไหม?

“ไม่กลับค่ะ” จี้อวิ๋นอวิ๋นไม่อยากกลับไปที่บ้านสามีของหล่อนเลย บ้านสามีของหล่อนน่ารำคาญมาก โดยเฉพาะกลิ่นมูลสุกรที่เหม็นคละคลุ้งไปทั้งบ้าน

หลี่จื้อจึงกล่าวว่า “งั้นคุณทำอาหารกินเองนะครับ ผมจะกลับมาตอนเย็น”

“ต้องเป็นตอนเย็นเลยเหรอคะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นพูดอย่างอดไม่ได้

หลี่จื้อไปแล้วใครจะเป็นคนทำอาหารให้หล่อน ตอนนี้ท้องของหล่อนเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนขี้เกียจเกินกว่าจะขยับตัวแล้ว

“ผมไม่ได้กลับไปตั้งนานแล้ว ยังต้องไปที่บ้านแม่ยายเอาสตรอเบอรี่กลับมาให้คุณด้วย” หลี่จื้อบอก

“ถ้างั้นคุณก็เอากลับมาเยอะหน่อยแล้วกันค่ะ” จี้อวิ๋นอวิ๋นกําชับ

“อืม” หลี่จื้อพยักหน้า

เขาขี่จักรยานกลับไปคนเดียว

เมื่อกลับมาถึงบ้าน คุณแม่หลี่ก็เอ่ยถามเขา “ภรรยาไข่ทองคำอันล้ำค่าของแกไม่กลับมาด้วยเหรอ?”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงก็รู้ทันทีว่าคุณป้าหลี่มีทัศนคติอย่างไรต่อลูกสะใภ้คนนี้

“แม่ครับ อย่าพูดแบบนี้สิ” หลี่จื้อจอดจักรยานแล้วพูด

“หึ ฉันก็ไม่อยากพูดนักหรอก ถ้าไม่เห็นแก่หน้าทางบ้านแม่ของหล่อน ฉันคงตบหน้าหล่อนไปหลายทีแล้ว คิดว่าฉันสนใจหล่อนนักรึไง?” สําหรับลูกชายของนาง คุณป้าหลี่ไม่ไว้หน้าเขาเลย นางพูดต่อหน้าเขาตรง ๆ

นางคิดว่าขนาดตนเองเป็นแม่สามีที่แยกกันอยู่แล้ว แต่สามารถทําให้นางโมโหได้ขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าลูกสะใภ้คนนี้มีความสามารถแล้ว

ตั้งแต่แต่งงานเข้ามา นางไม่เคยรู้สึกเห็นใจหล่อนเลย

นางกับสามียังไม่แก่และวางแผนกันมานานแล้ว เนื่องจากตอนนี้พวกเขาสองสามีภรรยากำลังออมเงินบำนาญ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับบ้านเดิม เช่นเดียวกับลูกสาวที่แต่งงานแล้ว ลูกชายคนสุดท้องก็แต่งงานแล้วเช่นกัน ทั้งยังมีงานที่มั่นคง จึงไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขา 

ดังนั้น เงินที่พวกเขาหามาได้ในตอนนี้สามารถเก็บไว้เพื่อดูแลตัวเองยามแก่ชราในอนาคต ไม่จําเป็นต้องเพิ่มภาระให้กับลูกชายทั้งสองของพวกเขา

ตอนนี้ที่บ้านเลี้ยงหมู 2 ตัว และไก่ซึ่งจำเป็นสำหรับเกษตรกร นอกจากนี้ยังมีเรือกสวนไร่นาที่ต้องดูแล เมื่อสามีไปเชือดหมู นางก็จะจัดการทุกอย่างตามลำพัง หากสามีไม่ต้องไปเชือดหมูก็จะไปทำด้วยกัน

โดยปกติแล้ว ตลอดทั้งปีไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร เงินที่ได้รับจะถูกบันทึกไว้ทั้งหมด

ด้วยเหตุนี้คุณป้าหลี่จึงมีความมั่นใจมาก ตราบใดที่ลูกสะใภ้ทําผิด นางย่อมพูดได้ แต่ปกติแล้วนางจะไม่มีปัญหามากนัก

อย่างเช่นสะใภ้ใหญ่ของนางที่ตอนนี้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองกับลูกชายคนโต เพื่อเปิดร้านขายของชำซึ่งขายเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์บนโต๊ะอาหาร และพาหลาน ๆ ไปอาศัยอยู่ในเมืองด้วย

แต่สะใภ้ใหญ่มักจะพาหลาน ๆ กลับมาเดือนละ 3 ถึง 4 ครั้ง ทุกครั้งที่กลับมา ไม่ใช่ว่าช่วยทําความสะอาดบ้านทั้งภายในและภายนอกให้นางหรอกหรือ? แม้แต่ให้อาหารหมูนางก็ไม่ต้องทำเอง ทำงานให้นางทุกอย่างแล้วยังทำอาหารให้นางอีกด้วย

ลูกสะใภ้แบบนี้นางเองก็อยากให้มาอยู่ที่บ้านเหมือนกัน แต่ไม่สามารถเห็นแก่ตัวได้ ลูกชายคนโตเปิดร้านค้าอยู่ในเมือง จะปล่อยให้ทำงานหนักอยู่คนเดียวได้อย่างไร?

ทั้งยังมีหลานอีก 2 คนต้องดูแลอีกด้วย หากเรียกให้สะใภ้ใหญ่กลับมาอยู่ที่บ้าน ลูกชายคนโตของนางคงไม่ได้กินแม้แต่ข้าวร้อน ๆ เนื่องจากเขามักมีเหตุให้ต้องไปช่วยคนซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งคนในเมืองซื้อทีวีไปนานแล้ว หากเสียเขาก็สามารถซ่อมให้ได้ ทั้งยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า พัดลม กิจการเฟื่องฟูงานจึงยุ่งตามไปด้วย

ดังนั้นเมื่อสะใภ้ใหญ่กลับมาเดือนละหลายครั้ง ทั้งยังช่วยทำงาน นางจึงพอใจมาก

แล้วเด็กน้อยคนนี้ล่ะ?

ก่อนหน้านี้ตอนที่หล่อนไม่ได้ท้องแล้วไม่เห็นหล่อนกลับมาก็ช่างมันเถอะ แต่เมื่อหล่อนกลับมาแล้วมีตอนไหนบ้างที่ไม่จู้จี้จุกจิก? คราวที่แล้วหลานชายคนโตของนางนำไข่มาทำซุปไข่ให้ดื่ม หล่อนเห็นแล้วก็บอกว่าอยากกิน แต่ไข่อีกฟองที่เหลือเป็นไข่เค็ม

ดังนั้นนางจึงให้หลานชายคนโตกินซุปไข่ เจ้าหล่อนก็ไม่พอใจ

เรื่องทำนองนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าสิ่งที่ทำให้นางไม่พอใจมากจริง ๆ คือการที่หล่อนไปบ่นกับเพื่อนบ้านว่าในบ้านนั้นเหม็นเน่ามาก ทำให้หล่อนไม่สามารถทนอยู่บ้านนี้ได้

นางอยู่ด้านในประตูได้ยินกับหูของตัวเอง หากไม่เกรงใจว่าเพื่อนบ้านจะเข้ามาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ นางก็แทบจะวิ่งไปตบหล่อนสัก 2 ฉาดและตะโกนด่าว่าให้กลับบ้านเดิมไปเสีย ที่บ้านแม่สามีคงไม่สามารถรับใช้พระประธานแบบหล่อนได้!

ถึงอย่างไรก็ตาม นางยังยับยั้งชั่งใจเอาไว้

นับตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่สามารถแสดงสีหน้าที่ดีได้อีกเลย จี้อวิ๋นอวิ๋นเองก็เช่นกัน ความขัดแย้งระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้คุณป้าหลี่ไม่แม้แต่จะไปมาหาสู่กับคุณแม่จี้อีกต่อไป

พูดตามตรง นางรู้สึกเสียใจกับการแต่งงานครั้งนี้ เดิมทีนางคิดว่าครอบครัวนี้ดีกันทุกคน แต่คาดไม่ถึงว่าท่ามกลางป่าไผ่ที่ดีจะมีหน่อไม้ที่เน่าเสียเช่นนี้ด้วย!

“แม่ครับ กว่าผมจะได้กลับมาสักครั้งก็ยากเย็น แม่อย่าพูดเรื่องนี้เลยครับ” หลี่จื้อพูดอย่างหมดหนทาง

“แกปล่อยให้หล่อนเคยตัวไปเถอะ มีภรรยาแบบนี้ไม่รู้จักจัดการ หล่อนสามารถพลิกฟ้ากลับด้านได้ขนาดนี้ ถึงตอนนั้นจะยิ่งทำเรื่องที่สุดโต่งกว่านี้ได้อีก!” คุณป้าหลี่แค่นเสียงอย่างเย็นชา

“หล่อนยังเด็กอยู่…”

คําพูดนี้เพิ่งพูดก็ถูกคุณป้าหลี่ขัดจังหวะ “เด็ก? ตอนที่ฉันอายุเท่าหล่อน ก็เกือบจะคลอดแกออกมาแล้ว ยังจะมาบอกว่าหล่อนยังเด็กอยู่อีกเหรอ?” นางมองไปที่ลูกชายของตัวเองอีกครั้ง “หล่อนจะเอาแต่ใจยังไงตอนที่ยังอยู่บ้านแม่ ฉันไม่สนใจ แต่ตอนนี้แต่งงานเข้ามาแล้ว ถือเป็นคนในตระกูลหลี่ของฉัน ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปล่อยหล่อนกลับไปที่บ้าน ถึงแม้ว่าพี่ชายคนที่สามของหล่อนจะมีความสามารถมาก แต่ตระกูลหลี่ของเราในหมู่บ้านต้าวานก็เป็นตระกูลใหญ่ หากทําผิดก็ต้องสอน รู้หรือเปล่า!”

“ครับ กลับไปผมจะคุยกับหล่อน” หลี่จื้อพยักหน้า

คุณป้าหลี่จึงไม่ต่อว่าอะไรอีก “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับแก ทำไมถึงน้ำหนักลดลงทุกเดือนแบบนี้? ทุกวันนี้หล่อนดูแลแกตอนที่อยู่ที่บ้านยังไง?”

“ตอนนี้หล่อนท้องแล้ว ทำอะไรไม่ค่อยสะดวกหรอกครับ” หลี่จื้อส่ายหน้า

“ท้องแล้วทำอะไรไม่สะดวกหมายความว่ายังไง มีใครบ้างไม่ท้อง? หล่อนคิดจะใช้การตั้งท้องของตัวเองมาเป็นข้ออ้างอีกเหรอ?” คุณป้าหลี่กล่าวตามตรง

“ไม่ใช่หรอกครับแม่ แม่อย่าคิดมากเลย เก็บน้ำตาลทรายแดง 2 ชั่งนี้ไว้ใช้นะครับ ผมจะเอาน้ำตาลทรายแดงถุงนี้กับลูกอมรสนมไปให้ที่บ้านแม่ยาย” หลี่จื้อพูด

กลับมาได้ไม่นานก็เข็นจักรยานออกไป

เมื่อเห็นลูกชายเป็นแบบนี้ คุณป้าหลี่ก็ขมวดคิ้วและรู้สึกสงสารลูกชายของนาง แต่นางก็ทนไม่ได้ จี้อวิ๋นอวิ๋นไม่กลับมาก็ช่างเถอะ แต่ถ้ากลับมาก็ต้องเชื่อฟังนางบ้าง กล้าทําตัวเป็นปีศาจต่อหน้านางเหรอ หล่อนยังไม่เก่งขนาดนั้นหรอก!  

เมื่อเห็นหลี่จื้อผู้เป็นลูกเขย คุณแม่จี้ก็ดีใจมาก แต่พอเห็นเขาผอมกว่าครั้งที่แล้ว ตรงกันข้ามกับลูกสาวของนางที่ทั้งอวบอิ่มและผิวพรรณดีในตอนเจอกันครั้งล่าสุด ก็ให้รู้สึกผิดอยู่ในใจ   

จึงลงมือทำอาหารกลางวันอย่างอุดมสมบูรณ์

“อวิ๋นอวิ๋นต้องถูกอบรมเสียบ้าง เธอสั่งสอนหล่อนได้เลยนะ อีกไม่นานจะกลายเป็นแม่คนแล้ว ถึงเวลาแล้วที่หล่อนควรจะรู้ความ” คุณแม่จี้หิ้วสตรอเบอรี่ให้เขาเอากลับไป ก่อนจะลังเลอยู่ครูหนึ่ง แล้วพูดออกมา

นางได้รู้ทัศนคติของแม่สามีจี้อวิ๋นอวิ๋นแล้ว ปีนี้ตอนที่นางส่งสตรอเบอรี่ไปให้ 1 ตะกร้า ในวันถัดมานางก็ได้รับไข่คืน 1 ตะกร้าทันที เห็นได้ชัดว่าทางฝ่ายนั้นไม่ต้องการรับสิ่งของโดยเปล่าประโยชน์

ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเคยมาช่วยเมื่อสวนผลไม้งานยุ่ง ทว่าตอนนี้กลับพูดและยิ้มกลบเกลื่อนว่าไม่ว่าง

คุณแม่จี้เข้าใจดี เนื่องจากลูกสาวของนางไม่เอาไหน จึงทำให้นางต้องขายขี้หน้า

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

งามหน้าไหมล่ะ ทำให้ทั้งสองครอบครัวมองหน้ากันไมติดแบบนี้ เธอนี่สามารถมากนะอวิ๋นอวิ๋น ถ้าเป็นคุณป้าหลี่จะฟาดมันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วยุให้ลูกชายหย่า

ไหหม่า(海馬)